พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมเย็นวันที่ 24 กันยายน 2565
มีอีกาตัวหนึ่งมันหิวน้ำมากเลย แล้วมันก็บังเอิญไปเจอขวดโหลขวดหนึ่ง ขวดโหลใบนี้ก็มีน้ำอยู่ประมาณครึ่งหนึ่ง แต่มันก้มลงไปกินน้ำไม่ได้ ทำอย่างไรจึงจะกินน้ำได้ แล้วมันก็นึกออก มันก็บินไปที่ลำธารแล้วก็ไปคาบเอากรวด แล้วก็เอากรวดใส่ลงไปในขวดโหล ใส่ไปทีละก้อนๆ
แต่ละก้อนก็ต้องบินไปที่ลำธาร แล้วก็ไปคาบเอากรวดนี่มาใส่ขวดโหล มันบินไปที่ลำธารแล้วกลับมา หลายสิบเที่ยวเลย จนกระทั่งขวดโหลมีกรวดอยู่เต็มเลย แล้วก็ทำให้ระดับน้ำขึ้นมาจนถึงขอบโหล อีกาก็เลยได้กินน้ำจากขวดโหลนั้นจนอิ่มเลย แล้วมันก็รู้สึกภูมิใจมาก ที่มันสามารถเอาน้ำในขวดโหลมากินได้
เราดูเรื่องนี้แล้วเรารู้สึกมันฉลาด สามารถแก้ปัญหา ทำให้น้ำซึ่งมีอยู่ไม่ถึงครึ่งในขวดโหล สามารถจะเลื่อนระดับขึ้นมา จนกระทั่งมันกินน้ำดับกระหายดับหิวได้ แต่ถ้าเราลองฉุกคิดสักหน่อย ลำธารี่มันไม่ได้มีแต่กรวด มันมีน้ำด้วย ที่จริงกาตัวนี้ไม่จำเป็นต้องบินกลับไปกลับมาหลายสิบเที่ยว เพื่อที่จะเอากรวดหยอดลงไปในขวดโหล มันไปที่ลำธารก็กินน้ำได้เยอะเลย
เวลาเราฟังเรื่องนี้เราก็อาจจะนึกว่ากามันฉลาด แต่ถ้าดูดีๆ มันก็ไม่เฉลียว มันอาจจะแก้ปัญหาที่ยากได้ด้วยความเพียร แล้วก็ด้วยปัญญา แต่ที่จริงมันไม่ต้องทำถึงขนาดนั้นก็ได้ เพราะว่าตอนที่มันบินไปที่ลำธารเพื่อไปเอากรวด มันก็มีน้ำให้มันกินเยอะแยะไปหมดอยู่แล้ว อันนี้เขาเรียกว่าฉลาดแต่ไม่เฉลียว ความสามารถในการแก้ปัญหาของกาอาจจะดูน่าทึ่ง แต่ถ้าเราดูภาพรวมแล้ว มันไม่ฉลาดเลย มันไม่เฉลียวเลย มันไม่จำเป็นต้องเหนื่อยขนาดนั้นก็ได้
แต่ทำไมมันทำอย่างนั้น ก็คงเป็นเพราะมันไปจดจ้องจดจ่ออยู่กับวิธีการแก้ปัญหา จุดมุ่งหมายของมันก็คือว่าหาน้ำดับกระหาย อันนี้คือปัญหาที่เป็นปัญหาหลักของกาตัวนี้เลย คือมันหิวน้ำ แล้วมันต้องการหาน้ำมาดับหิวดับกระหาย นี่คือจุดมุ่งหมาย แล้วพอมันเห็นขวดโหลมีน้ำ มันก็รู้ว่าวิธีการที่จะเอาน้ำขึ้นมาจนถึงขอบโหล จะช่วยมันดับหิวได้ นี่เป็นวิธีการที่มันคิดออก ซึ่งก็ต้องใช้ความฉลาด
แต่ว่ามันจดจ่ออยู่กับวิธีการนี้มาก ก็คือทำอย่างไรจะให้น้ำในโหลมันเลื่อนระดับขึ้นมา จนกระทั่งมันสามารถจะกินน้ำจากขอบโหลได้ มันจดจ่อตรงวิธีการนี้มากจนกระทั่งมันลืมคิดไปว่า ตอนที่มันไปเอากรวดจากแม่น้ำลำธาร น้ำในลำธารก็มากพอที่จะดับกระหายของมันได้ มันไปสนใจแต่วิธีการจนลืมเป้าหมาย
ถ้ามองในแง่นี้มันก็ดูเหมือนโง่ แต่ว่าคนเราบ่อยครั้ง ก็มีพฤติกรรมไม่ต่างจากกาตัวนี้ อย่างเช่นคนจำนวนมากปรารถนาความสุข ความสุขคือเป้าหมายของชีวิต ทำอย่างไรถึงจะมีความสุข หลายคนก็นึกถึงวิธีการว่ามันต้องมีเงินมีทอง ต้องมีบ้าน มีรถยนต์ ต้องมีงานมีการที่ดี ถึงจะมีบ้านมีรถ แล้วจึงจะมีความสุข หลายคนก็ทุ่มเทเพื่อการมีเงิน เพื่อการมีบ้าน เพื่อการมีรถ
ยอมทำงานหนัก จนไม่มีเวลาพักผ่อน บางทีไม่มีเวลาแม้กระทั่งให้กับคนใกล้ตัว และเพื่อที่จะได้มีงาน มีความสำเร็จ มีเงิน บางทีก็ต้องขัดแย้งกับผู้คน สุดท้ายก็ได้เงินมาเยอะ มีรถหลายคัน มีบ้านหลายหลัง แต่ไม่มีความสุข เครียด นอนไม่หลับ
แล้วคนก็ไม่ตั้งคำถามนะว่า เอ๊ะ เราทำถูกหรือเปล่านี่ ก็เราพยายามมีบ้าน มีรถ มีเงิน ก็เพื่อจะมีความสุขไม่ใช่หรือ แต่ว่าพอไปหาสิ่งเหล่านี้มาแล้ว แล้วเกิดความทุกข์ เกิดความเครียด กลับไม่เฉลียวใจว่า เอ๊ะ นี่เราทำผิดไปหรือเปล่านี่ และคนส่วนใหญ่ไปสนใจวิธีการจนลืมเป้าหมาย เป้าหมายคือความสุข แต่ไปๆ มาๆ กลับไม่มีความสุข
เพราะไปจดจ่ออยู่ที่วิธีการ ทำอย่างไรจะให้มีเงิน มีทอง มีบ้าน มีรถ มีสถานภาพ เป็นอย่างนี้กันเยอะเลย คือไม่ถามตัวเองว่าที่เรามีสิ่งเหล่านี้มากมายเพื่ออะไร เพื่อความสุขไม่ใช่หรือ แล้วตอนนี้เรามีความสุขไหม ทำไมไม่มีความสุข ก็เพราะไปหมกมุ่นอยู่กับการหาเงินหาทอง การแข่งขัน เพื่อได้มีบ้านหลังใหญ่ราคาแพง คนเราถ้าหากว่าไปหมกมุ่นอยู่กับวิธีการ มันก็ลืมเป้าหมายได้ง่าย และสุดท้ายก็ เหนื่อย แล้วก็ไม่พบหรือบรรลุถึงเป้าหมายที่ต้องการ
มีผู้หญิงคนหนึ่ง เธอก็อยากจะให้ครอบครัว สามี ลูกได้มีเวลาอยู่ด้วยกัน ก็เลยตั้งใจว่าจะชวนกันไปเที่ยว ไปค้างแรม ใช้เวลาอยู่ด้วยกัน จะได้กระชับความสัมพันธ์ จะได้ทำให้ครอบครัวอบอุ่น แล้วมีความรู้สึกที่ดีต่อกัน ก็เลยคิดว่าจะพาครอบครัวไปเที่ยว ก็หาว่าจะไปเที่ยวที่ไหนดี ก็ไปเสิร์ชข้อมูลต่างๆ ทางเว็บไซต์ทางกูเกิ้ลจนได้ ว่าน่าจะไปเที่ยวที่เชียงใหม่ เชียงใหม่นี่มันกว้าง ก็ต้องเจาะจงไปที่อำเภอไหน ไปที่รีสอร์ทไหน ก็ค้นคว้าจนกระทั่งได้สถานที่ที่คิดว่า จะเป็นที่ที่ครอบครัวจะได้อยู่ด้วยกัน จะได้สนุกด้วยกัน มีเวลาพูดคุยกัน ได้กระชับความสัมพันธ์ ให้ครอบครัวมีความอบอุ่น
แต่พอไปเสนอไปบอกสามี สามีไม่เห็นด้วย บอกว่าไปภูเก็ตดีกว่า ภูเก็ตมีทะเลสวย แล้วก็หาดทรายก็งดงาม ไปเที่ยวเกาะก็ได้ ก็เลยเถียงกัน คนหนึ่งอยากได้เชียงใหม่ อีกคนหนึ่งต้องการไปภูเก็ต เถียงกันจนกระทั่งหน้าดำคร่ำเคร่งเลย เถียงกันไปเถียงกันมาก็เกิดความขัดแย้ง เกิดความรู้สึกที่ไม่ค่อยดีต่อกัน แล้วเขาก็ไม่ยอมแพ้นะ จนกระทั่งบรรยากาศนี่มันแย่เลย เพราะทางฝ่ายผู้หญิงก็จะต้องเอาให้ได้เชียงใหม่ ผู้ชายก็จะเอาภูเก็ต
แล้วทั้งสองคนก็ลืมไปว่าจุดหมายที่ไปเที่ยวคือเพื่ออะไร ก็เพื่อพักผ่อน เพื่อให้ครอบครัวได้มีเวลาอยู่ด้วยกัน กระชับความสัมพันธ์กัน แต่นี่ทะเลาะกันเสียแล้ว ความรู้สึกต่อกันนี่แย่ไปเลย ไปเที่ยวเพื่อจะให้ครอบครัวใกล้ชิดกันไม่ใช่หรือ แต่ทำไมตอนนี้กลับร้าวฉานเสียแล้ว ก็เพราะลืมเป้าหมาย
เป้าหมายของการไปเที่ยวคืออะไร ลืมเป้าหมายไปสนใจแต่วิธีการ ก็คือว่าจะต้องไปเชียงใหม่ให้ได้ เชียงใหม่ๆ อีกคนบอกภูเก็ตๆ แล้วเป็นอย่างนี้กันเยอะ ทะเลาะกันเรื่องที่ไปเที่ยว สถานที่ไปเที่ยว บางทีไม่ใช่เมืองแต่เป็นประเทศ
อันนี้เรียกว่าไปจดจ่อ ยึดติดถือมั่นกับวิธีการ จนกระทั่งลืมเป้าหมาย อันนี้จะว่าไปเพราะว่ามันเป็นเพราะความลืมตัวก็ได้ คนเราพอยึดมั่นถือมั่นมากๆ มันก็ลืมตัว มันก็ทำให้ลืมเป้าหมาย อีกามันก็คิดแต่ว่าทำอย่างไรจะให้กรวดในขวดโหลเต็ม มันจะได้มีน้ำได้กิน ส่วนสามีภรรยาก็คิดแต่ว่าทำอย่างไรจะได้ไปเที่ยวในที่ที่ตัวเองต้องการ ทั้งที่การยืนยันแบบนั้น ก็ทำให้ความสัมพันธ์ในครอบครัวมันหมองลง เสียลง หรือคนจำนวนมากที่ต้องการหาเงินหาทองเยอะๆ จนกระทั่งเกิดความทุกข์ ทั้งๆ ที่หาเงินหาทองก็เพราะปรารถนาความสุข
ความยึดติดถือมั่น ถ้าเราไม่ระวัง มันก็จะทำให้เกิดความเสียหาย จุดหมายที่เราต้องการแม้จะเป็นจุดหมายที่ดี แต่ว่ามันอาจจะพาเราไปคนละทิศคนละทางก็ได้ ทั้งๆ ที่บางครั้งเราไม่จำเป็นต้องไปยึดติดกับวิธีการเลยก็ได้ ขอให้เราแจ่มชัดในเป้าหมาย ว่าเป้าหมายของเราคืออะไร ส่วนวิธีการก็ยักเยื้องได้ มันไม่จำเป็นต้องเป๊ะแบบที่เราคิด
มีชายหนุ่มสองคน นักศึกษาทะเลาะกันในห้องสมุด ทะเลาะกันเรื่องอะไร บรรณารักษ์ได้ยินเสียงดังขึ้นเรื่อยๆ จากสองคนนี้ ก็เลยไปถามว่าเกิดอะไรขึ้น คนหนึ่งก็บอกว่าเขาต้องการให้เปิดหน้าต่างใกล้ๆ โต๊ะ สองคนนั่งอยู่โต๊ะเดียวกัน แต่คนหนึ่งอยากให้เปิดหน้าต่าง อีกคนหนึ่งอยากให้ปิด ก็เถียงกันว่าจะเปิดหรือจะปิดดี
คนหนึ่งบอกให้เปิด คนหนึ่งบอกให้ปิด บรรณารักษ์ก็เลยถามว่าจุดหมายของคุณที่ต้องการให้เปิดคืออะไร แกบอกว่าต้องการให้ลมมันเข้า เพราะว่ามันอับ มันร้อน ห้องสมุดนี่ก็ไม่ติดแอร์ด้วย ถามอีกคนหนึ่งว่าทำไมอยากให้ปิดหน้าต่าง แกบอกว่าถ้าเปิดหน้าต่างแล้วลมมันจะพัด กระดาษมันจะปลิว
พอรู้อย่างนี้บรรณารักษ์บอกไม่ยาก ก็ไม่ต้องเปิดหน้าต่างบานนี้ก็ได้ หน้าต่างอีกบานหนึ่งที่อยู่ไกล ก็ไปเปิดสิ พอเปิดแล้วเป็นอย่างไร มันก็มีลมพัดถ่ายเท ไม่ร้อน แล้วลมที่เข้ามาก็ไม่ได้พัดกระดาษของชายคนนั้นให้มันปลิว พอบรรณารักษ์เสนออย่างนี้ สองคนนี้ก็เห็นด้วย
ที่จริงการคิดแบบนี้มันก็ไม่น่าจะยาก ถ้าไม่ติดยึดกับว่าต้องเปิดบานนี้หรือปิดบานนี้ แต่ว่าเป็นเพราะไปยึดติดว่าต้องเปิดบานนี้ หรือไม่ก็ปิดบานนี้ มันก็เลยหาทางออกไม่เจอ แต่พอบรรณารักษ์เขารู้ เขาก็สามารถที่จะทำให้ทั้งสองคนพอใจ เพราะได้รับประโยชน์หรือบรรลุจุดหมายที่ต้องการ คนหนึ่งก็ได้อากาศที่ถ่ายเท คนหนึ่งก็ไม่ต้องห่วงว่าลมมันจะพัดกระดาษให้ปลิว ก็เรียกว่าวินๆ ทั้งคู่
แต่ถ้าไม่มีบรรณารักษ์ สองคนนี้คงจะทะเลาะกัน เพราะว่าไปจดจ่ออยู่ที่วิธีการ จนลืมเป้าหมายว่าตัวเองต้องการอะไร คนเราถ้าหากว่าเราไปมัวยึดติดถือมั่นกับวิธีการ เราก็ลืมเป้าหมายที่เราต้องการ ที่จริงมันก็ไม่ใช่เรื่องยากที่จะคิดออก หรือมองให้ออก แต่ว่ามันลืมตัว พอยึดติดถือมั่นแล้วมันก็ลืมตัว มันจะเอาให้ได้ๆ
แต่ถ้าเราลองถอยออกมาสักหน่อย แทนที่จะไปจดจ่ออยู่กับวิธีการ ถอยออกมามันก็จะเห็นภาพรวม หรือว่าถ้าหยุดคิดสักหน่อย มันก็จะเห็นว่าอะไรควรทำ อย่างกาตัวนั้น ถ้ามันหยุดคิดสักหน่อย แทนที่จะเอาแต่บินกลับไปกลับมา เพื่อที่จะไปคาบกรวดมาถมมาใส่มาหยอดในโหล มันหยุดคิดสักหน่อย มันก็อาจจะพบว่า เฮ้ย เราไม่เห็นต้องทำอย่างนั้นก็ได้นี่ ลำธารนี่น้ำเยอะแยะเลย ไม่เหนื่อย หรือคนเราถ้าอยู่คิดสักหน่อย เราหาเงินหาทองไปทำไม ทำแล้วเครียด ทำแล้วเกิดความขัดแย้งกับผู้คน
มีผู้ชายคนหนึ่งแกมาปรึกษาว่าเครียดมากเลย ตอนนี้จิตใจมันเต็มไปด้วยความโกรธ ถามไปถามมาก็โกรธ โกรธง่าย เพราะว่าลูกน้องมันจะทำอะไรไม่ถูกใจ แล้วคุยไปคุยมา เขาบอกตั้งแต่เปลี่ยนอาชีพ มาทำอาชีพนี้ เขาเครียดมากเลย เพราะว่าลูกน้องสอนไม่ค่อยเข้าใจ ทำผิดทำพลาด อาตมาก็บอกว่า คนเราจะให้คนอื่นเขาทำเก่งเท่าเรา มันยาก ถ้าไม่ใช่เขาทำสู้เราไม่ได้ เขาก็ทำเก่งกว่าเรา มันก็มีแค่นั้นแหละ จะให้เก่งเท่าเรานี่มันยาก
คุยกันไปสักพักก็ถามเขาว่า ที่เขาทำอาชีพนี้แล้วเขามีความทุกข์ มันคุ้มไหม เขาก็ฉุกคิดขึ้นมาว่ามันคุ้มไหมอาชีพนี้ ไม่ได้บอกว่าอาชีพอะไร มันคุ้มไหมกับการที่เขามีเงินเยอะ ได้เงินมาง่าย แต่ว่าเครียด รุ่มร้อน เพราะมีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกับลูกน้องหรือคนรอบข้างอยู่เป็นประจำ เพราะว่ามันเป็นเรื่องเทคนิคที่มีความละเอียดอ่อน ซึ่งถ้าพลาดมันก็ต้องเสียหาย เขาก็เลยฉุกคิดขึ้นมาว่าเราทำอาชีพนี้เพื่อที่เราจะได้มีความสุขไม่ใช่เหรอ แต่ยิ่งทำกลับยิ่งเครียด ยิ่งทำยิ่งเครียด แล้วมันคุ้มไหมกับการที่เราจะเครียด ทุกข์ ได้เงินมาก็จริงแต่เครียดและทุกข์
ที่จริงเขาก็คงคิดนะ เราทำมาหาเงินก็เพื่อที่จะมีความสุข มีชีวิตที่สะดวกสบาย แต่ว่าตอนนี้มันกลับตรงข้าม แล้วก็ไม่ได้ฉุกคิดหรือเฉลียวใจว่ามันคุ้มไหมกับการทำงานได้เงินมาเยอะ แต่ว่าเครียด นอนไม่หลับ
ฉะนั้นการรู้จักฉุกคิด หรือว่าถอยกลับมามองให้เห็นภาพรวมหรือเห็นภาพกว้างๆ มันช่วยได้ อันนี้ทางพุทธศาสนาเรียกว่าสัมปชัญญะเหมือนกัน
เวลาเราพูดถึงสัมปชัญญะ มันไม่ได้หมายถึงความรู้ตัวทั่วพร้อมอย่างเดียว ยังหมายถึงความรู้ชัดในจุดหมายที่เราทำ ความรู้ชัดในงานที่เราทำด้วย สัมปชัญญะมีความหมายรวมไปถึงอันนี้ ซึ่งมันก็ต้องอาศัยความรู้ตัว เพราะว่าทำไปๆ บางทีมันลืมตัว มันจดจ่ออยู่กับวิธีการจนลืมจุดหมาย
คนทุกวันนี้ใช้ชีวิตอย่างผิดทิศผิดทาง ก็เพราะว่าลืมจุดหมายไป ว่าเราต้องการอะไรอย่างแท้จริง ไปสนใจจดใจกับวิธีการ บางทีเลยไม่ต่างจากคนที่พยายามผลักประตู ดันอยู่นั่นแหละ ผลักประตูอยู่นั่นแหละ มันไม่เปิดสักที ถ้าฉุกคิดสักหน่อยก็จะบอกว่า เป็นเพราะว่าประตูนี้มันไม่ได้ต้องดัน มันแค่ดึง แต่หลายคนไม่คิดจะดึงเลยนะ จะดันอย่างเดียวเลย จะผลักอย่างเดียวเลย ถ้าฉุกคิดสักหน่อยว่าประตูนี้เขาอาจจะใช้ดึงก็ได้ ไม่ใช่ผลักเอา แต่เป็นเพราะความลืมตัว หรือความมุ่งมั่นจะเอาให้ได้ๆ
ฉะนั้นการที่เรามาเจริญสติ มาฝึกความรู้สึกตัว มันถึงเป็นเรื่องสำคัญ มันไม่ใช่เป็นความฟุ่มเฟือย หรือไม่ใช่เป็นส่วนเกินของชีวิต แต่เป็นสิ่งสำคัญเลยทีเดียว เป็นเพราะเราหลง ไม่รู้สึกตัว เราจึงพาชีวิตผิดทิศผิดทาง อาจจะมีความสามารถในการแก้ปัญหา มีความสามารถในการหาเงินหาทอง แต่ก็ลงเอยด้วยความเครียดความทุกข์ ซึ่งก็ไม่จำเป็นต้องเป็นอย่างนั้นเลย
ถ้าหากเราเฉลียวใจสักหน่อยว่าทำเพื่ออะไร ถ้าเราทำเพื่อความสุข แต่มาลงเอยแบบนี้ มันคุ้มไหม มันถูกทางหรือยัง หรือว่าเราอาจจะฉลาดเหมือนกับกาตัวนั้น แต่มองภาพรวมแล้วมันไม่ฉลาดเลย มันโง่ แต่มันยังหลงเชื่อว่ามันฉลาด สามารถจะเอาน้ำในขวดโหลมากินได้ ทั้งๆ ที่มันไม่ต้องทำอย่างนั้นเลยก็ได้.