พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมก่อนฉันเช้าวันที่ 24 กันยายน 2565
เดี๋ยวนี้คนที่ป่วยด้วยโรคความจำเสื่อม นับวันจะมีมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะในเมืองใหญ่ๆ แต่เดี๋ยวนี้ในชนบทก็เริ่มมีแล้ว และโรคความจำเสื่อมที่รุนแรงคืออัลไซเมอร์ เดี๋ยวนี้คนไทยรู้จักโรคนี้กันมากขึ้น เพราะว่าคนใกล้ตัว เช่นพ่อแม่หรือปู่ย่าตายายก็เป็นโรคนี้กัน พอเป็นแล้วก็การดูแลรักษาเป็นเรื่องยากมาก ก็ ต้องอยู่กับเขาไปจนกว่าเขาจะหมดลม ซึ่งใช้เวลาหลายปี
โรคนี้ ทุกวันนี้ก็ยังไม่มีวิธีการรักษา หรือแม้แต่ป้องกันอย่างมีประสิทธิภาพ แต่ว่าถ้าหากรู้ล่วงหน้าได้ ถ้ารู้ได้ก่อนเร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดีเท่านั้น เพราะว่าจะได้ช่วยชะลอ ให้ความเสื่อมของสมองหรือของความจำนี่ช้าลง นี่เป็นโจทย์ใหญ่ของการแพทย์ทุกวันนี้
ส่วนใหญ่พอรู้ว่าใครเป็นโรคความจำเสื่อมหรืออัลไซเมอร์นี่ เรียกว่าอาการก็เป็นมากแล้ว จึงทำอะไรไม่ค่อยได้ แม้แต่จะชะลอก็ทำได้นิดหน่อย แต่ตอนนี้มีการค้นพบที่น่าสนใจ ซึ่งทำให้หมอมีความเชื่อหรือมีความมั่นใจว่า โอกาสที่จะรู้ล่วงหน้าก่อนที่อาการจะรุนแรง มันเป็นไปได้
อย่างเช่นเขาพบว่า คนวัยกลางคนถ้าเกิดว่าเวลานอนหรือเวลาหลับเกิดฝันร้าย ถ้าฝันร้ายอาทิตย์ละครั้ง มีโอกาสมากเลย มีมาก 4 เท่าของคนทั่วไป ที่จะมีปัญหาความเสื่อมในเรื่องการรับรู้ รวมทั้งความจำด้วย ในอีก 10 ปี 20 ปีข้างหน้า
พอจะบอกได้จากเวลาหลับ ว่าฝันร้ายหรือเปล่า ฝันร้ายฝันไม่ดี ถ้าบ่อยเฉลี่ยแล้วเดือนละ 4 ครั้ง หรืออาทิตย์ละครั้ง มีโอกาสจะเป็นโรคความจำเสื่อม ในอีก 10 ปี 20 ปีข้างหน้า เป็น 4 เท่าแล้วของคนที่ไม่มีปัญหานี้
แล้วยิ่งถ้าเป็นคนแก่ด้วย ผู้สูงวัยอายุ 60-70 แล้วถ้าเกิดว่ามีปัญหาเรื่องการหลับโดยเฉพาะฝันไม่ดีบ่อยๆ คือเดือนหนึ่งหลายครั้งเลยไม่ใช่แค่ 4 ครั้ง มีโอกาสจะเป็นโรคความจำเสื่อมมากกว่าคนทั่วไปในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ที่ว่ามากนี่คือเป็น 2 เท่าเลย
นี่ก็เป็นผลจากการศึกษาติดตามคน 2-3 พันคนเลย ทั้งวัยกลางคนทั้งวัยชรา ที่จริงเขาสอบถามหลายอย่าง แต่เขาพบว่าตัวบ่งชี้ตัวหนึ่งที่แข็งแรงมาก คือการฝันร้าย ซึ่งเขาสงสัยว่ามันเป็นเพราะอะไร การฝันร้ายจึงสัมพันธ์กับการเป็นโรคความจำเสื่อมในอีก 10-20 ปีข้างหน้า หรือบางทีอีกไม่กี่ปีข้างหน้า
มีมาจากข้อสันนิษฐานว่า พอหลับแล้วฝันร้าย ทำให้ตื่นกลางดึก แล้วก็นาน ทำให้การหลับไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ก็จะมีโปรตีนตัวหนึ่งสะสม โปรตีนตัวนี้แหละเขาพบว่าเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้ความจำเสื่อม หรือเป็นอัลไซเมอร์เลย
พอเขารู้แบบนี้แล้วก็พอมีความหวังว่า จะมีทางที่จะชะลอโรคความจำเสื่อมหรืออัลไซเมอร์ได้ โดยเฉพาะในคนที่เป็นวัยกลางคน เพราะว่ากว่าอาการจะแสดงออก หรือพูดง่ายๆว่ากว่าจะเป็นโรคนี้ในอีก 10-20 ปีข้างหน้า ดังนั้นก็ยังมีเวลาที่จะชะลอ มีเวลาที่จะเยียวยา หรืออาจจะมีเวลาป้องกันเลยด้วยซ้ำ
อันนี้ก็เป็นความก้าวหน้าที่น่าสนใจ ซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญมาก เพราะเดี๋ยวนี้คนอย่างที่ว่า เป็นโรคความจำเสื่อมกันเยอะ แล้วส่วนใหญ่ก็มาเป็นเอาตอนแก่
ปัญหาแบบนี้ไม่ค่อยมีในสมัยก่อน แม้กระทั่งรุ่นปู่ย่าตายายของเรา ส่วนหนึ่งเขาพบว่า สมัยก่อนคนที่มีโอกาสจะแก่มีไม่มาก ส่วนใหญ่ก็ตายไปก่อน ตายเพราะอะไร ตายเพราะโรคติดเชื้อ แต่ก่อนนี้เป็นอหิวาต์ เป็นบิด ท้องร่วง ไทฟอยด์ คอตีบ ไอกรน นี่ก็ตายแล้ว
แต่เดี๋ยวนี้โรคพวกนี้ การแพทย์แผนใหม่บอกสบายมาก แล้วก็สามารถที่จะป้องกันได้ ทั้งด้วยวัคซีน ยา หรือว่าการใช้ชีวิตอย่างถูกสุขอนามัย เพราะฉะนั้นคนที่ตายเพราะโรคติดเชื้อก็เลยน้อย พอน้อยก็เลยทำให้มีอายุยืนมากขึ้น อันนี้เรียกว่าเป็นผลพวงของความเจริญ
ความเจริญเราก็ทราบดีว่าทำให้คนมีอายุยืน แล้วก็ไม่ใช่แค่นั้น มีชีวิตที่สุขสบายมากขึ้น หรือสะดวกสบายมากขึ้น แต่ว่าทั้งสองอย่างก็ไม่ใช่ดีอย่างเดียว ก็มีเสียด้วย
อย่างเช่นชีวิตที่สะดวกสบาย ก็ทำให้คนป่วยด้วยโรคเรียกว่าโรคที่รักษายาก ไม่ใช่โรคติดเชื้อ เขาเรียกว่าโรคแห่งความเสื่อม เช่นโรคอะไร โรคหัวใจ มะเร็ง เบาหวาน ไตวาย อันนี้จะเรียกว่าเป็นผลพวงของชีวิตที่สะดวกสบายก็ได้
พอสะดวกสบายก็แปลว่าไม่ต้องใช้แรงในการทำมาหากิน แต่ก่อนนี้ต้องใช้แรงเพราะต้องทำนาทำไร่ แต่เดี๋ยวนี้มีอุปกรณ์เครื่องทุ่นแรง แล้วคนเราก็ไม่ต้องทำการผลิต บางทีก็มีอาชีพบริการ อยู่ในออฟฟิศ ฝทำงานนั่งโต๊ะ ไปไหนมาไหนก็มีรถขับ นั่งรถเอา
มิหนำซ้ำก็ยังมีอาหารการกินที่อุดมสมบูรณ์ ซึ่งทำให้คนมีโรคภัยไข้เจ็บมากขึ้น เพราะว่าโรคสมัยใหม่เกิดจากสองอย่างใหญ่ๆ คือรับมากไป กับใช้น้อยไป
รับมากไปคือ รับอาหารอุดมไปด้วยไขมัน โปรตีน แคลอรี่ รับเข้าไปเต็มที่เลย บางทีรับเข้าไป 3 พัน 4 พันแคลลอรี่ ซึ่งแต่ก่อนแค่ 1,500 นี่ก็ไม่รู้จะหาได้หรือเปล่า รับเข้าไปเยอะ แถมเป็นสิ่งที่ไม่มีประโยชน์เพราะมีสารเคมี แต่มันน่ากิน
อาหารที่ผ่านกระบวนการอุตสาหกรรม เขาเรียกว่าอาหารขยะ แต่มันน่ากิน คนก็กินเข้าไป มิหนำซ้ำยังสูบบุหรี่ กินเหล้าเข้าไปอีก แล้วก็ใช้ไปน้อย ใช้พลังงานที่สะสมมาน้อย คือออกกำลังกายน้อย นี่คือเรียกว่า รับเข้ามามาก แล้วก็ใช้ไปน้อย
ที่จริงโรคความจำเสื่อม ซึ่งโยงกับการฝันร้าย เขาพบว่ามันสัมพันธ์กับเรื่องที่พูดมาเมื่อตะกี้คือถ้าสูบบุหรี่เยอะ กินเหล้ามาก หรือว่ากินอาหารที่เป็นอาหารขยะ แถมออกกำลังกายน้อย ก็ทำให้การหลับไม่ดี ฝันร้ายได้ง่าย อันนี้เป็นเรื่องของความสะดวกสบายที่ความเจริญสมัยนี้มอบให้กับเรา
แต่อย่างที่ว่า เราไม่ได้แค่มีชีวิตที่สะดวกสบายกว่าเดิมเท่านั้น ความเจริญก็ทำให้เรามีอายุยืนยาวขึ้น แต่ว่าการที่มีอายุยืนยาวขึ้น ไม่ได้แปลว่าเราจะมีชีวิตที่ดีขึ้นเท่าไหร่ เพราะว่าพอยืนยาวขึ้น แต่ปรากฏว่าเป็นโรคอื่นแทน ถ้าไม่ใช่มะเร็ง โรคหัวใจ ก็โรคความจำเสื่อม อัลไซเมอร์
เหมือนกับว่าได้อย่างเสียอย่าง มีชีวิตที่ยืนยาวขึ้นนะคนสมัยนี้เพราะเทคโนโลยีเพราะความเจริญ แต่พอมีชีวิตที่ยืนยาวขึ้นก็ไปเจอกับความเจ็บความป่วยที่รักษาได้ยาก
เพราะฉะนั้นการที่คนเรามีชีวิตยืนยาวขึ้นก็ไม่ใช่ว่าดีเสมอไป คนนี่ปรารถนาจะมีชีวิตที่ยืนยาว แต่เดี๋ยวนี้เขาพบว่าคนที่มีชีวิตที่ยืนยาว ก็ต้องไปเจอกับโรคภัยไข้เจ็บอีกหลายชนิด ซึ่งบางทีสร้างความทุกข์ สร้างความทรมาน มากกว่าโรคเดิมๆก็ได้
เขาพูดว่าสมัยนี้ คนเรามีชีวิตที่ยืนยาวมากขึ้นก็จริง แต่ในขณะเดียวกันความตายก็ยืนยาวด้วย หมายความว่า กว่าจะตายนี้ต้องทรมานมากเลย เพราะโรคมันรักษาให้หายขาดไม่ได้ เช่นโรคมะเร็งกว่าจะตายก็ 10 ปี บางทีก็ 5 ปี หัวใจก็เหมือนกัน โรคไตวายก็เหมือนกัน เบาหวานก็เหมือนกัน
ไม่เหมือนกับโรคติดเชื้อเป็นไม่กี่วันก็ตายแล้ว แต่ว่าโรคสมัยใหม่ยิ่งอัลไซเมอร์ด้วยแล้วกว่าจะตาย 10 ปี 20 ปี อันนี้เรียกว่า ชีวิตยืนยาวก็จริง แต่ว่ามันไม่ได้ทำให้คุณสภาพชีวิตดีขึ้นเท่าไหร่ เป็นสิ่งที่คนไม่ค่อยได้คิดเท่าไหร่
มีคนคำนวณบอกว่า ความเจริญทำให้คนมีชีวิตยืนยาวขึ้นก็จริง แต่ว่าแต่ละปีที่มีชีวิตยืนยาวขึ้น จะมีสุขภาพดีแค่ 10 เดือน ได้ชีวิตยืนยาวขึ้นมา 12 เดือน แต่ว่า 10 เดือนเท่านั้นที่มีสุขภาพดี อีก 2 เดือนคือป่วย ชีวิตยืนยาวเท่าไหร่นะ ยืนยาว 20 ปีสมมุตินะ ก็แปลว่าชีวิตต้องเจอความเจ็บป่วยเอา 2 คูณ 20 เข้าไปก็เท่ากับป่วย 40 เดือน
อันนี้เป็นสิ่งที่คนต้องตระหนักว่า การมีชีวิตยืนยาวไม่ใช่เป็นเรื่องที่ดีเสมอไป แล้วก็ไปหวังพึ่งเทคโนโลยีไม่ได้ แต่ว่าถ้าเรามีธรรมะ ถึงแม้ว่าจะป่วยก็ป่วยแต่กาย แต่ใจไม่ป่วย
แล้วยิ่งถ้าเข้าใจธรรมะว่า ร่างกายสังขารนี่ ความเจ็บความป่วย หรือความชรา ก็เป็นธรรมดา ยอมรับมันได้ ก็ไม่มีความคับแค้นคร่ำครวญ อยู่กับร่างกายที่ป่วยด้วยใจที่ไม่ทุกข์ก็ได้ อันนี้คือสิ่งที่เทคโนโลยีความเจริญช่วยเราไม่ได้ แต่ว่าธรรมะช่วยเราได้.