พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมก่อนฉันเช้าวันที่ 23 กันยายน 2565
ในพระไตรปิฎกมีพระสูตรหนึ่ง พูดถึงเหตุการณ์หนึ่งในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ สวรรค์ชั้นดาวดึงส์เป็นที่ประทับของท้าวสักกะหรือพระอินทร์ มีคราวหนึ่งพระอินทร์ออกไปจากวิมานที่ประทับ ออกไปทำกิจ มียักษ์ตนหนึ่งพอรู้เข้าก็เลยตรงเข้าไปที่วิมานของพระอินทร์ แล้วก็ไปนั่งตรงที่ประทับเลย อุกอาจมาก
ยักษ์ตนนี้ผิวพรรณไม่ค่อยงามเท่าไหร่ หม่นหมอง คล้ำ แล้วก็ตัวเล็กต่ำเตี้ย แต่ว่าไปนั่งอยู่บนที่ประทับของพระอินทร์ เทวดาก็ไม่พอใจ เทวดาที่เป็นบริษัทบริวารของพระอินทร์ต่อว่าด่าทอ ขับไล่ยักษ์ตนนี้ แต่ปรากฏว่า ยิ่งด่า ยิ่งแสดงอาการโกรธเกรี้ยว ยักษ์ตนนี้ตัวก็ยิ่งใหญ่ขึ้นๆ แล้วก็ดูน่าเกรงขามกว่าแต่ก่อน ขับไล่ไปเท่าไหร่ ยักษ์ตนนี้ก็ยิ่งตัวใหญ่ ขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ
แล้วก็มีรังสีอำมหิตแรงกล้าขึ้น จากเดิมที่ผิวพรรณหม่นหมอง ตอนนี้รัศมีที่น่ากลัวนั้นก็สว่างเรืองเลย เทวดาไม่รู้จะทำยังไง ก็เลยพากันไปหาพระอินทร์ ไปตามหาพระอินทร์ แล้วก็เล่าเรื่องราวให้ฟัง แล้วบอกว่า สงสัยยักษ์ตนนี้กินความโกรธเป็นอาหาร เพราะว่าเวลาเทวดาต่อว่าด่าทอขับไล่ไสส่ง ยักษ์ตนนี้ตัวใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ มีกำลังวังชามากขึ้นเรื่อยๆ
พระอินทร์พอรู้เข้าก็ตรงไปที่วิมานของท่านเลย แต่แทนที่จะขับไล่หรือต่อว่ายักษ์ด่าทอยักษ์ ก็พูดดี พูดดีด้วยวาจาสุภาพ ไม่ได้แสดงความโกรธเคืองอะไรเลย ปรากฏว่ายิ่งพูดๆ ยักษ์ตนนี้ตัวก็หดเล็กลงๆๆ รัศมีที่ดูน่าเกรงขามก็ค่อยๆ คลายไป ผิวพรรณที่เคยดูสว่างเรือง ก็ค่อยๆ หมองคล้ำๆ ลงไป
เล็กลงไปเรื่อยๆ รูปร่างของยักษ์ตนนี้ สุดท้ายรู้สึกอับอาย ก็เลยหายวับไปเลย จากวิมานของพระอินทร์ พระสูตรนี้ก็จบลงเท่านี้
อันนี้จะว่าเป็นนิทานก็ได้ แต่ว่าที่จริงแล้ว เป็นธรรมะสอนใจ เพราะว่ายักษ์ที่ว่านี้ ไม่ได้อยู่ที่สวรรค์อย่างเดียว มันอยู่ในใจของคนด้วย ในใจของคนทุกคนก็มียักษ์ตนนี้ ซึ่งมันมีลักษณะเด่นคือ มันกินความโกรธเป็นอาหาร เขาเรียกว่ามีความโกรธเป็นภักษาหาร
ไม่เหมือนคนเรา คนเรายิ่งกินอาหารข้าวปลาอาหาร ตัวยิ่งโต ยิ่งแข็งแรง แต่ยักษ์ตนนี้ซึ่งอยู่ใจเรา มันกินความโกรธเป็นอาหาร ฉะนั้นเวลาพอมันแข็งแรง หรือมันเริ่มมีกำลังวังชา มันก็เริ่มไปก่อกวน ไปรังแกผู้คน หรือบางทีก็ไปพูดไม่ดี ไปต่อว่าด่าทอคนนั้นคนนี้ บางทีเจ้าตัวมันก็ไม่อยากทำนะ แต่ว่ามันตกอยู่ในอำนาจของยักษ์ตนนี้ มันก็เลยบังคับให้ทำในสิ่งที่ไม่น่าดู
คนเวลาถูกต่อว่าด่าทอ ก็ตอบโต้ พอยักษ์มันสั่งให้ด่า คนที่ถูกด่าก็โกรธ ก็ด่ากลับ พอด่าด้วยความโกรธหรือพูดด้วยความโกรธ มันก็เติมอาหารให้กับยักษ์ตนนี้ ทำให้มันมีกำลัง แล้วก็สามารถที่จะทำอะไรที่รุนแรง เบียดเบียนคนอื่น ต่อว่าด่าทอด้วยคำที่รุนแรงมากขึ้น แล้วถ้าคนอื่นพอถูกด่า ก็ไม่พอใจ เกิดความโกรธขึ้นมา ด่ากลับตอบโต้กลับ ก็ยิ่งเป็นการเพิ่มอำนายเพิ่มพลังให้กับยักษ์ตนนี้
แต่ว่าทำตรงกันข้าม ถึงแม้ว่ายักษ์ตนนี้มันจะสั่งให้ใครพูดอะไรไม่ดี ทำไม่ดี แต่คนอื่นพูดดีด้วย ทำดีด้วย หรือพูดจาสุภาพ ไม่ตอบโต้ด้วยความโกรธ ก็ทำให้ยักษ์ตนนี้ในใจของคนๆนั้น ค่อยๆเล็กลง มีกำลังวังชาน้อยลง
แต่ที่จริงแล้วไม่ใช่แค่ว่าการพูดดีการทำดีกับคนอื่น จะทำให้ยักษ์ในใจของคนนั้นลีบเล็กลงเท่านั้น จริงๆแล้วในใจของคนเรา ไม่ใช่มีแต่ยักษ์อย่างเดียว แต่มีเทวดาด้วย หรือจะพูดแบบภาษาง่ายๆคือ มีทั้งตัวร้ายและตัวดี
ตัวร้ายกินความโกรธเป็นอาหาร ยิ่งใครพูดไม่ดี ทำไม่ดี เท่ากับไปเพิ่มกำลังให้ตัวร้าย ทำให้มีอำนาจครองจิตของใจคนๆนั้นมากขึ้น แต่ทุกคนก็มีตัวดีอยู่ในใจด้วย
แล้วเวลามีใครก็ตามพูดดี กับนาย ก. นอกจากจะทำให้ตัวร้ายในใจของนาย ก. มันลีบเล็กลงแล้วเพราะไม่มีอาหาร มันยังเป็นการเสริมกำลังให้กับตัวดี หรือเทวดาในใจของนาย ก.ด้วย พ อเทวดาหรือตัวดีในใจของนายก.มีกำลัง ก็สามารถจะไปเอาชนะยักษ์ หรือว่าตัวร้ายที่อยู่ในใจของนาย ก.ได้ ทำให้ความคิดที่อยากจะทำร้ายตอบโต้พูดร้าย บรรเทาเบาบางลง
เพราะฉะนั้นเวลาใครพูดไม่ดีกับเรา เพราะว่าเขากำลังโกรธอยู่ แต่ว่าเราแทนที่จะพูดร้าย ต่อว่า เรากลับพูดดีด้วย แล้วก็ทำดีด้วย นอกจากจะเป็นการตัดอาหาร ไม่ให้ตัวร้ายหรือยักษ์นี่เติบโตแล้ว จะเป็นการเติมอาหารให้กับตัวดี หรือเทวดาในใจของคนๆนั้นด้วย ทำให้มีกำลังสามารถจะเอาชนะตัวร้าย
แทนที่จะปล่อยให้ตัวร้ายครองจิตครองใจ แล้วทำอะไรที่ไม่ดี ตัวดีก็เข้ามีอำนาจแทน แล้วก็มาน้อมใจเรา ให้เราทำดี หรือพูดดี หรือมีเมตตากรุณาด้วย อันนี้พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า เวรย่อมไม่ระงับด้วยการจองเวร แต่ระงับด้วยการไม่จองเวร
มีเรื่องราวของนักสร้างหนังคนหนึ่งที่มีชื่อมากในเวลานี้ชื่อว่า สตีเว่น สปีลเบิร์ก คนรุ่นอาตมาจะรู้จักดี แต่คนรุ่นใหม่อาจจะไม่รู้จัก ยกเว้นจะเป็นคนที่ชอบดูหนัง สตีเว่น สปีลเบิร์ก เป็นคนที่ชอบทำหนังตั้งแต่เล็กแล้ว
เขาเล่าว่าตอนที่เขาเป็นนักเรียน อายุประมาณสัก 12-13 เขาไม่อยากไปโรงเรียนเลย เพราะโรงเรียนมีรุ่นพี่คนหนึ่งอายุประมาณ 16-17 เป็นวัยรุ่น ชอบแกล้งเขา แกล้งนี่คงไม่ใช่แค่ด่าว่า หรือพูดจาดูถูกอย่างเดียว บางทีก็อาจจะตบหัว หรือว่าแย่งเอาอาหารเอาของที่มีค่าจากเขาไปด้วย สตีเว่นก็ไม่อยากไปโรงเรียนเลย เพราะไม่อยากเจอหน้าขาใหญ่คนนี้ แต่ก็ต้องไปโรงเรียน
แล้ววันหนึ่งเขาเกิดความคิดขึ้นมา เจอขาใหญ่แทนที่จะวิ่งหนี เขาเดินไปหาเลย เขาบอกว่าตอนนี้เขามีโครงการจะทำหนัง ตอนนั้นเขามีกล้องถ่ายหนัง 8 มิล สมัยนั้นไม่มีกล้องวีดีโอ มีกล้องถ่ายหนัง 8 มิล เขากำลังจะทำหนังเรื่องตามล่านาซี ขาดพระเอก คุณจะมาเป็นพระเอกให้ฉันได้ไหม
ขาใหญ่คนนั้นทีแรกก็งงว่า เอ๊ะสตีเว่นนี่มันจะมาไม้ไหน เพราะเราแกล้งมันเป็นประจำ แต่ว่าวันนี้มันมาชวนเราไปเป็นพระเอก แต่สุดท้ายเขาก็ยอมตกลง สตีเว่นก็เลยทำหนัง ถ่ายหนังโดยมีขาใหญ่คนนี้เป็นพระเอก หนังก็ไม่ยาว แล้วก็ไม่รู้ว่าฉายที่ไหนด้วย
แต่ปรากฏว่าหลังจากสร้างหนังเสร็จ ขาใหญ่คนนี้วัยรุ่นอันธพาลคนนี้ กลายเป็นเพื่อนของเขาไปเลย เลิกแกล้งเลิกรังควาน แล้วก็กลับมีน้ำใจกับเขา เผลอๆ คอยเป็นองครักษ์ให้กับเขาด้วย เพราะสตีเว่นตอนนั้นตัวยังเล็ก เปลี่ยนไปเลยนะ อันธพาลขาใหญ่ที่เคยแกล้งสตีเว่น ตอนนี้กลายเป็นเพื่อนที่ดีไปแล้ว เรียกว่าเปลี่ยนจากยักษ์กลายเป็นเทวดา
ที่จริงที่เขาเปลี่ยนเพราะอะไร เพราะว่าสตีเว่นพอมีน้ำใจกับเขา ให้โอกาสเขาได้เป็นดารา พูดง่ายๆคือ ทำดีกับเขา มันก็ไปเติมพลังกับตัวดี หรือตัวใฝ่ดีในใจของขาใหญ่คนนั้น ทำให้มีพลังมากขึ้น
ในใจของขาใหญ่คนนั้น ก็มีตัวยักษ์หรือตัวไม่ดีตัวร้ายอยู่ด้วย แต่ว่าพอตัวใฝ่ดีในใจของขาใหญ่คนนั้นมันมีพลัง เพราะว่ามันได้รับความเอื้อเฟื้อ ได้รับความสำคัญ ได้รับน้ำใจจากสตีเว่น มันก็มีกำลังจนกระทั่งสามารถที่จะกำราบยักษ์ หรือว่าตัวไม่ดีในใจของขาใหญ่คนนั้นได้
ก่อนหน้านั้นตัวดีในใจของขาใหญ่ มันไม่มีพลัง มันเหมือนกับคนตัวลีบ แต่ว่าที่มีพลังคืออะไร คือไอ้ตัวร้าย มันก็คอยรังควานคนนั้นคนนี้ โดยเฉพาะคนที่ตัวเล็กกว่าอย่างสตีเว่น แต่พอตัวดีในใจของขาใหญ๋มันมีกำลังมากขึ้น มันก็ไปกำราบไปทัดทานตัวร้ายในใจของขาใหญ่ ไม่ให้กำเริบเสิบสาน
ฉะนั้นจากเดิมที่ชอบไปรบกวนรังควาน กลั่นแกล้งคนโน่นคนนี้ ก็กลายเป็นคนมีน้ำใจโดยเฉพาะกับสตีเว่น ซึ่งเป็นคนที่ทำดีกับเขา ให้โอกาสเขา เพราะว่าแต่ก่อนเขาอาจจะเป็นคนที่รู้สึกต่ำต้อย ไม่ได้รับความสำคัญจากใคร เด่นทางดีไม่ได้ ก็เด่นทางร้าย แต่พอได้รับโอกาสจากสตีเว่น ความรู้สึกดีหรือตัวใฝ่ดีก็มีกำลัง จนกระทั่งเปลี่ยนนิสัยของตัวขาใหญ่คนนั้น ให้กลายเป็นคนที่มีน้ำใจได้
แล้วเวลาเราเจอใครที่เขาทำตัวไม่น่ารัก พูดจาไม่สุภาพ กลั่นแกล้ง ให้เรารู้ว่า จริงๆเขาก็มีความดีอยู่ในใจเขา หรือมีตัวดีอยู่ในใจเขา แต่ว่าตัวดีมันอ่อนแอ สิ่งที่เราควรจะทำคือ ช่วยเสริมตัวดีในใจ หรือเติมพลังให้กับเทวดาในใจเขา เพื่อที่จะได้เป็นกำลังในการที่จะข่ม ในการที่จะกำราบไอ้ตัวร้ายหรือยักษ์ในใจของคนๆนั้น ไม่ให้มาบงการชีวิตหรือการกระทำของเขา
คนเราเปลี่ยนได้เพราะเหตุนี้แหละ เปลี่ยนได้เพราะความใฝ่ดีในใจ มีกำลังเหนือใฝ่ไม่ดีหรือตัวร้าย เป็นอย่างนี้ทุกคน อยู่ที่ว่าอะไรจะมีกำลังมากกว่ากัน ยักษ์หรือเทวดาในใจของเรา
เพราะฉะนั้นไม่ใช่แค่เติมพลังให้กับเทวดาในใจของเราอย่างเดียว เราต้องช่วยกันเติมพลังให้กับเทวดาในใจให้กับคนอื่นด้วย ไม่ว่าคนใกล้ตัว เช่นลูก หรือเพื่อนฝูง จนกระทั่งไปถึงคนไกลตัว จะทำให้ความเป็นมิตรเกิดขึ้น แทนที่จะเป็นศัตรู หรือเอาเปรียบเบียดเบียนกัน.