เมื่อสัก 30 กว่าปีก่อน มีเด็กอินเดียคนหนึ่ง อายุประมาณสัก 5 ขวบ บ้านยากจน อยู่ในชนบท พี่ชายอาชีพหนึ่งคือ ไปลักขโมยถ่านหินจากตู้รถไฟ เพื่อเอามาขาย แล้วเอาเงินมาซื้ออาหาร ทำอย่างนี้ทุกคืน ด้วยการเดินทางนั่งรถไฟไปอีกเมืองหนึ่ง ต้องใช้ช่วงเวลาค่ำคืนนี้แหละลักขโมย
เด็กอายุ 5 ขวบคนนี้ เห็นพี่ชายทำแบบนี้ทุกคืน ก็อยากจะลองดูบ้าง รบเร้าให้พี่ชายพานั่งรถไฟ ไปยังที่ที่พี่ชายลักขโมย เด็กก็ไม่ค่อยรู้ประสีประสาหรอก พี่ชายก็ไม่อยากให้ไป เพราะว่ากลางค่ำกลางคืนนี่ลำบาก แต่สุดท้ายก็ทนรบเร้าไม่ได้ ก็ให้น้องชายขึ้นรถไฟไปด้วยกัน ต้องแอบขึ้นเพราะว่าจะได้ไม่ต้องเสียเงิน จุดหมายนี่ต้องต่อรถไฟอีกที่สถานีหนึ่ง ก็เลยต้องลงเพื่อที่จะต่อรถไฟไปอีกคันหนึ่ง ปรากฎว่าน้องชาย เด็กอายุ 5 ขวบนี่ง่วงมากเลย พี่ก็เลยบอกว่าน้องนอนที่สถานีตรงนี้แล้วกันนะ เดี๋ยวพี่ไปต่อ เสร็จธุระแล้วจะกลับมารับ เด็กคนน้องนอนอยู่พักใหญ่ ตื่นขึ้นมาก็ไม่เห็นพี่ชาย แล้วก็รอ พี่ชายก็ไม่มารับสักที
จนกระทั่งเกือบจะสว่างแล้ว ไม่รู้จะทำยังไง เลยคิดว่าเรานั่งรถไฟกลับบ้านดีกว่า แต่เด็กไม่รู้หรอกว่า รถไฟมีหลายสายหลายขบวน ไม่ใช่ว่าจะมีแต่ขบวนเดียวที่แวะผ่านบ้าน พอขึ้นรถไฟปรากฏว่าผิดขบวน มันพาไปไหนก็ไม่รู้ แล้วก็ติดอยู่ในรถไฟหลายวันทีเดียว แล้วเด็กไม่รู้ว่าจะลงที่สถานีไหน นั่งไปเรื่อยๆ ปรากฏว่าไปสุดทางที่กัลกัตตา ไกลมากจากบ้านเดิม เด็กออกมาจากสถานีรถไฟนี่งงเลย คนเยอะแยะไปหมด รถก็พลุกพล่าน ไม่เหมือนกับหมู่บ้านของตัว แล้วที่แย่คือพูดภาษาท้องถิ่น หรือภาษากัลกัตตาไม่ได้ เพราะที่กัลกัตตาเขาพูดภาษาเบงกาลี
เด็กมาจากชนบทรัฐอื่นที่ไกลมาก พูดคนละภาษา พูดไม่รู้เรื่อง จะบอกใครว่าตัวเองบ้านอยู่ไหน ก็พูดไม่ได้ เพราะจำชื่อหมู่บ้านไม่ได้ จำนามสกุลตัวเองยังไม่ได้เลย เด็กตกใจมาก กลับบ้านก็กลับไม่ได้ อายุแค่ 5 ขวบ เลยต้องกลายเป็นเด็กเร่ร่อนอยู่แถวรอบๆสถานี
ลองคิดดู เด็กที่มีพ่อมีแม่ดูแล แล้ววันดีคืนดีพลัดที่นาคาที่อยู่ กลายเป็นเด็กเร่ร่อน ต้องไปรับจ้างบ้าง รับจ้างไม่ค่อยได้หรอก ก็ต้องขโมยร่วมแก๊งกับเด็กข้างถนน หลายอาทิตย์เลย จนกระทั่งถูกตำรวจจับได้ คุยกันไม่รู้เรื่อง สุดท้ายตำรวจก็รู้ว่าพลัดบ้านแล้ว เลยจับไปส่งสถานเด็กกำพร้า ไปฝากไว้ที่บ้านเด็กกำพร้า แล้วก็มีคนใจดีเขาติดประกาศตามหาพ่อแม่ แต่ว่าติดประกาศไปก็ไม่ได้ผล เพราะว่าพ่อแม่ซึ่งอยู่ไกลเลย อ่านหนังสือไม่ออก แล้วคนละภาษาด้วย เลยต้องติดค้างอยู่ที่สถานเด็กกำพร้านานทีเดียว
แต่ว่าวันหนึ่งโชคดี มีคนมารับไปอุปการะ คนที่รับไปอุปการะเป็นฝรั่ง อยู่ออสเตรเลีย เนื่องจากเด็กคนนี้ไม่มีพ่อไม่มีแม่ แล้วติดต่อไม่ได้ สถานเด็กกำพร้าเลยอนุญาตให้ครอบครัวออสเตรเลียรับไปเป็นลูกบุญธรรม กลายเป็นว่าจากกัลกัตตา ต้องเดินทางต่อยาวไปถึงออสเตรเลีย เมล์เบิร์น แล้วก็ถูกเลี้ยงดูจนโตเป็นหนุ่มเลย อายุ 20 กว่า มีชื่อใหม่ นามสกุลเป็นฝรั่งตามพ่อแม่บุญธรรม ชีวิตดูจะไปได้ดี เพราะว่าความรู้ก็มี จบมหาวิทยาลัย พ่อแม่อุปการะก็ดูแลเอาใจใส่
แต่ว่าเจ้าตัว ลึกๆ ยังมีความไม่สบายใจ เพราะว่าคิดถึงบ้าน โดยเฉพาะวันหนึ่งไปกินอาหารแขก ได้กลิ่น เป็นกลิ่นที่คุ้นเคยสมัยเป็นเด็ก ก็เลยคิดถึงบ้านมากเลย แล้วก็นึกถึงพ่อแม่ที่แท้ของตัวว่าจะอยู่อย่างไร จะทุกข์ทรมานอย่างไร ที่ลูกหายไปเป็นเวลาถึง 20 กว่าปี แต่ว่าจะไปตามหาพ่อแม่ หรือกลับไปบ้านได้อย่างไร ในเมื่อไม่รู้เลยว่าหมู่บ้านที่ตัวเองอยู่ หมู่บ้านอะไร รัฐอะไรยังไม่รู้เลย เพราะเด็กตอนนั้นเล็กมาก นามสกุลของตัวเองก็ไม่รู้ รู้แต่ชื่อจริงสั้นๆ ทำยังไงนะ
มีเพื่อนแนะว่าลองใช้ Google Earth สิ เพราะว่าเด็กถึงแม้จะจำชื่อไม่ได้ หมู่บ้าน รัฐ แต่ว่าคงจะพอจะจำสถานที่ได้บ้าง บ้านเกิดก็คงจะมีสถานที่บางแห่งที่คุ้นเคย แต่ก็เสี่ยงนะ เพราะว่าเวลา 20 ปี สถานที่ที่คุ้นเคยหรือแม้แต่สถานที่ที่เป็นธรรมชาติ ก็ต้องเปลี่ยนแปลงไป
แต่ว่าหนุ่มคนนี้แกไม่ลดละความพยายาม ทำงานเสร็จก็กลับมาบ้าน ใช้ Google Earth ค้นเลย Google Earth มีภาพถ่ายสถานที่ แล้วก็สามารถขยายได้ แล้วอินเดียกว้างใหญ่ไพศาล ขนาดเป็นอนุทวีปเลย หนุ่มคนนี้แกก็ไม่ละความพยายาม พยายามที่จะใช้ Google Earth ส่องไปเรื่อยๆ
ใช้เวลาคงจะหลายเดือน เพราะว่าภาพ Google Earth ที่เห็นแต่ละที่ๆ ก็กินพื้นที่ไม่กี่ตารางเมตร สุดท้ายไปเจอก้อนหิน ไปเจอหมู่หินอยู่หมู่หนึ่ง จำได้ว่าตัวเองตอนเป็นเด็กเคยเห็นก้อนหินกลุ่มนี้ มันคล้ายๆเป็นหน้าผา เลยเช็คว่ามันอยู่ที่ไหน หมู่บ้านอะไร ตำบลอะไร รัฐอะไร แล้วก็เดินทางไปเลย เดินทางไปโดยที่ไม่รู้ว่าจะไปเจออะไร ปรากฏว่าได้กลับไปบ้านของตัวเองในที่สุด ไม่น่าเชื่อเลย จากภาพๆเดียวเป็นสื่อที่พาตัวเองกลับไปสู่บ้าน แล้วโชคดีแม่ก็ยังอยู่ แล้วแม่ก็ไม่ได้ย้ายไปไหน
แม่เห็นหนุ่มคนนี้ ดีใจมาก แล้วแม่บอกว่า ตัวเองมีความหวังเสมอว่าลูกยังมีชีวิตอยู่ และวันหนึ่งก็จะกลับมา และนี่คือเหตุผลที่แม่ไม่ยอมย้ายบ้าน ความรักของแม่นี่ยิ่งใหญ่ ยังมีความหวังว่าลูกซึ่งหายไป 20 กว่าปี จะกลับมา ก็เลยไม่ยอมย้ายบ้าน เพราะคิดว่าถ้าลูกกลับมาจุดที่ตัวเองเคยเป็นเด็ก ก็คงจะได้เจอแม่ ตอนนั้นพูดกันไม่ค่อยรู้เรื่องนะ เพราะหนุ่มคนนั้นก็ลืมภาษาไปแล้ว แต่ว่าในที่สุดก็ได้กลับบ้าน เป็นความสุขมาก อันนี้เรียกว่าเป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์ แล้วก็น่าทึ่งมาก คนที่ทิ้งหรือจากบ้านไป 20 กว่าปี แต่อะไรที่ทำให้การกลับมาบ้าน กลับมาเจอพ่อแม่เกิดขึ้นได้ ก็เพราะความรักความคิดถึง คิดถึงบ้าน คนเราเมื่อมีความผูกพันในบ้าน ย่อมหาทางที่จะกลับบ้านให้ได้
แล้วที่จริงคนเราไม่ใช่แค่มีบ้านทางกาย เรามีบ้านทางใจด้วย คนเรารู้ว่าบ้านที่ตัวเองเกิด หรือบ้านตัวเองอยู่นี่อยู่ไหน ส่วนใหญ่รู้ ถึงแม้อยู่ห่างไกลก็คิดถึง แต่ว่าบ้านไม่ได้ประกอบหรือสร้างด้วยอิฐก่อด้วยปูนอย่างเดียว บ้านในใจก็ต้องมีเหมือนกัน
คนเรารู้จักแต่บ้านทางกาย แต่ว่าไม่รู้ว่าบ้านทางใจก็มีอยู่ คนจำนวนมากมีจิตใจเหมือนกับคนไร้บ้าน จิตใจเป็นจิตที่จรจัด ลืมไปว่าตัวเองมีบ้าน บ้านของใจ
บ้านของใจคืออะไร อย่างต่ำๆ ก็คือกาย กายคือบ้านของใจ ถ้าเราคนเรารู้จักทำกายให้เป็นบ้านของใจ เวลาใจลอยไปไหน ไหลไปอดีต ลอยไปอนาคต ตกระกำลำบาก เพราะความคิดนึกเรื่องอดีตหรืออนาคต หรือความกังวลในเรื่องอดีตหรืออนาคต มันจะนึกถึงบ้าน แล้วก็กลับมา
พอใจกลับมาที่กาย ก็เกิดความรู้สึกตัวขึ้นมา แล้วทำให้เกิดความอบอุ่น สลัดความทุกข์ออกไปได้ คนเราต้องรู้จัก ทำกายให้เป็นบ้านของใจ หรือทำความคุ้นเคยว่า กายคือบ้านของใจ
แล้วที่เราเจริญสติกันทุกวันนี้ที่นี่ ให้มารู้กายรู้ใจเพื่อให้ตระหนักว่า กายเป็นที่พักพิงของใจได้ เมื่อรู้กายหรือว่าเมื่อรู้สึกว่ากายทำอะไร ใจก็มาอยู่กับกาย รู้เนื้อรู้ตัว มันก็หลุดจากอารมณ์ที่เป็นอกุศลได้ เวลาเราใจลอย เวลาเราจมอยู่ในความทุกข์ นึกถึงกายเมื่อไหร่ กลับมา
บางคนอาจจะนึกถึงลมหายใจ บางคนอาจจะนึกถึงมือที่ขยับไปมา ความรู้สึกที่เกิดขึ้น ช่วยดึงจิตให้กลับมาอยู่กับกาย แล้วต่อไปก็จะพบว่า ไม่ใช่แค่กายที่เป็นบ้าน แท้จริงคือปัจจุบัน ปัจจุบันคือบ้าน บ้านของใจ
ทำความคุ้นเคยเอาไว้ ระลึกนึกถึงเอาไว้ว่า ปัจจุบันคือบ้านของใจ เวลาใจทุกข์เพราะไปจมอยู่กับอดีต ไปหมกหมุ่นอยู่กับอนาคต ที่สร้างภาพในทางลบทางร้าย ระลึกถึงบ้าน ระลึกถึงปัจจุบันขี้นมา เพราะปัจจุบันคือบ้าน
เหมือนอย่างหนุ่มคนนี้ไม่ได้ทำอะไร ก็นึกถึงบ้าน ชีวิตนี้จะยังไม่แล้วเสร็จ จนกว่าจะได้กลับบ้าน กลับบ้านก็รู้สึกเต็มอิ่ม เติมเต็มในจิตใจ แต่แค่นั้นยังไม่พอ อย่างที่ว่าแม้ว่าเราจะรู้ว่าบ้านของเราคืออะไร แต่ให้รู้ว่านั่นคือบ้านทางกาย อย่าพาแต่กายกลับบ้าน ต้องพาใจกลับบ้านด้วย แล้วบ้านที่ว่า ที่เราควรจะระลึกนึกถึงอยู่เสมอคือ ปัจจุบันขณะ