พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมก่อนฉันเช้าวันที่ 21 กันยายน 2565
มีนักศึกษาแพทย์คนหนึ่งใกล้จบแล้ว แล้วตามหลักสูตรต้องไปเยี่ยมผู้ป่วย จะเรียกเป็นการฝึกงาน แล้วก็เป็นการช่วยอาจารย์แพทย์ก็ได้ มีอยู่วันหนึ่งเธอไปเยี่ยมผู้ป่วยตอนกลางคืน เพราะเป็นเวรดึก ได้ยินเสียงเขย่าเตียง ก็เลยเดินไปที่ต้นเสียง
ผู้ป่วยเป็นคุณยายเป็นชาวบ้าน แล้วก็มีท่อช่วยหายใจสอดเข้าไปที่ปาก แล้วแขนก็ถูกมัดเอาไว้ทั้งสองข้างเลย แกเขย่าตั้งแต่หัวค่ำแล้ว พยาบาลบอก เขย่าอยู่เป็นระยะๆ นักศึกษาแพทย์หรือหมอก็เลยไปคุยด้วย แล้วถามว่า ยายหายใจไม่ออกเหรอ แกก็ส่ายหัว ยายเหนื่อยเหรอ ยายก็ส่ายหัว
เอ๊ะ..แล้วยายเป็นอะไรนะ ทำไมยายถึงเขย่าเตียง พอไปเห็นมือที่ถูกมัด ก็เลยถามยายว่า ยายอยากจะให้แกะผ้าที่มัดมือใช่ไหม คราวนี้แกหยุดเขย่าเตียงแล้ว แสดงว่าเป็นคำถามที่ถูกใจ ยายรำคาญใช่ไหม คราวนี้ยายพยักหน้าเลย รำคาญ ว่าไม่ได้รำคาญท่อที่ช่วยหายใจ แต่ว่ารำคาญมือที่ถูกมัด หรืออาจจะทั้งสองอย่างก็ได้
นักศึกษาแพทย์ก็บอกว่า ยาย แกะผ้าที่มัดมือยายไม่ได้นะ เพราะว่าถ้าแกะแล้ว ยายจะเผลอดึงท่อนี้ออกมา แล้วเวลาใส่กลับเข้าไปใหม่มันเจ็บใช่ไหมยาย แกก็พยักหน้า มันเจ็บ แกพูดไม่ได้เพราะว่าท่อคาปาก นักศึกษาเลยบอกว่า ถ้าอย่างนั้นหนูแกะผ้าให้ยายไม่ได้นะ ยายไม่พอใจเลย เขย่าเตียงใหญ่เลย เขย่าๆ
นักศึกษาก็เลยบอกว่า ยาย ตอนนี้มันดึกแล้วนะ คนอื่นเขานอนกันหมดแล้ว อย่าเขย่าเลย ยายก็ไม่ฟัง เขย่าๆ นักศึกษาแพทย์ไม่รู้จะทำอย่างไง ก็เลยดึงมือยายมากุมไว้ กุมไว้กับมือของเธอ แล้วก็สังเกตว่า ยายมองมาสบตาของนักศึกษา นักศึกษาก็เลยสบตายาย
ระหว่างที่สบตาอยู่ ก็สังเกตเห็นอะไรบางอย่าง ในแววตาของยาย มันเป็นแววตาที่เศร้าสร้อยเดียวดาย ก็เลยถามยายว่า ยายเหงาใช่ไหม พยักหน้าเลย เพราะว่าไม่มีใครมาเยี่ยมยายเลย ไม่มีญาติไม่มีใครมาเยี่ยมยายเลย ยายก็เลยเหงา พอนักศึกษาแพทย์ถามอย่างนี้ ยายรีบตอบเลย เหงา
นักศึกษาทำยังไง นักศึกษาก็เลยบอกว่า ถ้าอย่างนั้นหนูจะอยู่เป็นเพื่อนยายนะ ปรากฏว่ายาย เลิกเขย่าเตียงเลย แล้วนักศึกษาก็เลยอยู่กับยาย เป็นเพื่อนยาย ไปคุยกับยายยาวเลย ในขณะที่มือของยาย ก็กุมมือของนักศึกษาแพทย์เอาไว้ แล้วก็กุมแน่นเอาไว้ นักศึกษาก็เลยอยู่กับยาย นานเท่าไหร่ไม่รู้ แต่ก็นานทีเดียว
จนกระทั่งได้เวลาที่จะต้องกลับแล้ว เพราะว่าหมดเวรแล้ว เลยบอกกับยายว่า ยาย ตอนนี้ดึกแล้วนะ หนูจะต้องกลับแล้วล่ะ พอนักศึกษาดึงมือออกจากมือของยาย แล้วก็เดินไปที่ประตู ยายเขย่าใหญ่เลย เขย่า สุดท้ายนักศึกษาก็เลยต้องกลับมาหายาย แล้วบอกว่า ยายอย่าเขย่าเลยนะ เพราะว่าคนอื่นเขาหลับกันหมดแล้ว
เดี๋ยวพรุ่งนี้หนูจะมาเยี่ยมยายใหม่ แล้วจะมาอยู่เป็นเพื่อนยาย คราวนี้ยายเชื่อ ยายไม่เขย่าเตียงแล้ว แล้วนักศึกษาก็เดินไปที่ประตู ก็ไม่ได้ยินเสียงเขย่า คืนนั้นทั้งคืนยายก็ไม่ได้เขย่าแล้ว ทั้งๆที่ มือก็ยังถูกมัด ท่อก็ยังอยู่ในปาก แต่ไม่ได้เขย่าแล้ว รุ่งเช้านักศึกษาก็กลับมา แล้วก็มาคุยกับยาย อยู่เป็นเพื่อนยายตามที่รับปาก แล้วตอนหลังยายแกก็ไม่เขย่าอีกเลย
แล้วตอนหลังก็มีนักศึกษาแพทย์และคนอื่นมา เวลามาตรวจคนไข้ แล้วถ้ามาคุยกับยาย อยู่เป็นเพื่อนยาย แกก็ไม่เขย่า แต่ถ้าหากว่าอยู่คนเดียวเมื่อไหร่ แกก็จะเขย่า แต่ตอนหลังก็เขย่าน้อยลง เพราะอะไร เพราะว่าเริ่มจะหายเหงาแล้ว เพราะว่ามีนักศึกษาแพทย์ มีใครต่อใครมาคุยด้วย
อันนี้ชี้ให้เห็นเลยว่า คนไข้นี่ ความทุกข์ของเขา บางครั้งไม่ใช่ความทุกข์กาย แต่เป็นความทุกข์ใจ ที่เขาเขย่าเตียง ไม่ใช่เพราะว่าหายใจไม่ออก ไม่ใช่ว่าเพราะปวดเมื่อยหรือว่าเจ็บ แต่เป็นเพราะว่า ในใจมันเหงา เป็นเรื่องใจล้วนๆเลย ไม่ใช่เป็นเรื่องของกายเลย
แต่พอหายเหงา เพราะมีคนมาเยี่ยม เพราะมีคนมาให้ความใส่ใจ เพราะมีคนมารับฟังความทุกข์ โดยเฉพาะมีคนมาสัมผัส เกาะกุมมือของผู้ป่วย ด้วยความรู้สึกที่อ่อนโยน มีเมตตา ด้วยความเห็นใจ โอ้มันช่วยคนไข้ได้เยอะเลย
นักศึกษาคนนี้ก็เลยรู้ว่า การสัมผัสอย่างอ่อนโยน เช่นการเกาะกุมมือเอาไว้ แล้วก็การแค่อยู่นิ่งๆ เป็นเพื่อน แค่เป็นเพื่อนแม้จะอยู่นิ่งๆ ไม่ได้ทำอะไรเลย ไม่ได้ให้ยา ไม่ได้ทำหัตถการอะไรเลย โอ้มันช่วยคนไข้ได้ไม่น้อยเลย
จากคนไข้ที่มีความทุกข์มากจนกระทั่งเขย่าเตียง ก็เลยกลายเป็นความสงบไป มือยังถูกมัดอยู่ ท่อก็ยังอยู่ในปาก แต่พอใจรู้สึกหายเหงา มีเพื่อน มันรู้สึกสบายขึ้นมากเลย
อันนี้ก็เป็นบทเรียนที่นักศึกษาแพทย์เขาบอกว่า เขาได้เรียนรู้มากเลย ว่าสิ่งที่แพทย์จะช่วยคนไข้ได้ ไม่ใช่มีแค่การให้ยา หรือทำหัตถการ แต่แค่การใส่ใจ อยากรับฟัง อยากอยู่เป็นเพื่อน หรือการสัมผัสด้วยการกุมมือ มันช่วยคนไข้ได้เยอะ มันไม่ได้ช่วยทางกายโดยตรง แต่ช่วยทางจิตใจ แล้วก็มีผลต่อกายด้วย คนไข้ถ้าไม่ถูกความเหงารังควาน ร่างกายเขาก็จะฟื้นตัวได้เร็ว
แต่เดี๋ยวนี้คนไข้จำนวนมาก จะมีความทุกข์เพราะเหตุนี้มาก เพราะว่าแต่ก่อนเวลาป่วยรักษาตัวที่บ้าน อยู่บ้านก็ลูกมีหลาน มีพ่อมีแม่ มีลูกหลานญาติพี่น้อง มาเยี่ยมให้กำลังใจ ยาจะไม่พอ ยาอาจจะไม่ดี แต่ว่าใจเรียกว่า ไม่รู้สึกเหงาเลย
แต่พอมาอยู่โรงพยาบาล แม้ว่าจะมียามีเครื่องไม้เครื่องมือครบ แต่ว่าเหงา เพราะว่าลูกหลานมาเยี่ยมลำบาก หรือบางทีไม่มีมาเยี่ยมเลย เพราะว่ายายอยู่บ้านคนเดียว เวลาป่วยก็ต้องรักษาตัวคนเดียว
เดี๋ยวนี้ไม่ใช่แค่คนป่วย แม้ไม่ป่วย แต่อยู่บ้านคนเดียวก็เหงา เพราะคนแก่เดี๋ยวนี้เหงามาก เพราะว่าไม่มีใครอยู่เป็นเพื่อนที่บ้านอย่างน้อยเวลากลางวัน กลางคืนลูกหลานอาจจะกลับบ้าน แต่ตอนเช้าตอนกลางวัน เหงา พอเหงาแล้วสุขภาพก็เริ่มแย่ ยิ่งคู่ครองเช่นสามีภรรยาเกิดตายขึ้นมา ตัวเองอยู่บ้านคนเดียว หรือแม้จะอยู่กับลูก แต่ลูกก็ไม่ค่อยมีเวลามาให้
อันนี้ก็เป็นความทุกข์ของคนแก่จำนวนมากในเวลานี้ ทั้งในยามที่ไม่ป่วยและในยามป่วย แต่ว่าถ้าลูกหลานเข้าใจ พยายามเยียวยาบำรุงจิตใจ ด้วยการให้ความสำคัญ มาอยู่เป็นเพื่อน ให้เวลา สุขภาพจิตและสุขภาพกายก็จะดีขึ้น
อย่างไรก็ตาม จะหวังพึ่งคนข้างนอกอย่างเดียวไม่พอ บางทีต้องฝึกใจด้วย ให้อยู่กับตัวเองให้ได้ ถ้าอยู่กับตัวเองให้ได้ มันก็เหงาน้อยลง เพราะว่า มีใจเป็นมิตร มีจิตเป็นเพื่อน
อันนี้เป็นสิ่งที่เราต้องฝึกกัน จะได้พอแก่แล้ว แม้จะไม่มีลูกหลานมาอยู่รอบตัว แต่ก็ไม่เหงา แม้จะทำงานทำการไม่ได้ ก็ไม่เหงา หรือแม้จะป่วยติดเตียง ความเหงาก็ไม่รบกวนมาก เพราะว่าอยู่กับลมหายใจ อยู่กับความรู้สึกตัว โอ้..นี่เป็นเพื่อนที่วิเศษเลย สำหรับคนไม่ว่าในยุคใดก็ตาม.