พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมก่อนฉันเช้าวันที่ 20 กันยายน 2565
อาหารมื้อหนึ่งเรากินไม่ค่อยมาก ถ้าดูๆไปแล้วก็ไม่ค่อยมากเท่าไหร่ แต่ถ้ารวมกันทุกวันๆ ตลอดทั้งชีวิตมันมีจำนวนมหาศาล มีคนประมาณว่า คนเรากินอาหารตลอดทั้งชีวิต ถ้าคิดเป็นน้ำหนักประมาณ 60 ตัน ก็ 60,000 กิโลกรัม หรือเปรียบเหมือนกับน้ำหนักเท่ากับรถคันเล็กๆ 60 คัน
ตลอดทั้งชีวิต 60 ตัน ที่เรากินเข้าไป ใส่ท้องเรา ใส่ปากของเรา ถ้าตัดเอาสิ่งที่เป็นของเสียที่เราขับถ่ายออกไป ในรูปอุจจาระปัสสาวะเหงื่อ สมมุติว่า 10% มันก็จะเหลือ 54,000 กิโล ที่อยู่ในร่างกายของเรา
ทั้งหมดนี้ก็ไม่ได้ไปไหน ถูกใช้สร้างเนื้อเยื่อ กลายเป็นเลือด กลายเป็นกล้ามเนื้อ กลายเป็นกระดูก กลายเป็นอวัยวะต่างๆของเรารวมทั้งเซลล์ รวมทั้งเม็ดเลือด พูดง่ายๆคือ 54,000 กิโล มันถูกสร้างมาเป็นร่างกายของเรา
สมมุติว่าคนเราหนักประมาณ 54 กิโล มี 54,000 กิโลที่สร้างเป็นร่างกายของเรา มันก็เทียบได้กับร่างกายของเราหนัก 54 กิโลกรัมประมาณ 1,000 ครั้ง หรือ 1,000 ร่างกาย ตลอดทั้งชีวิต อาหารที่เรากินจะสร้างเป็นตัวเราเป็นร่างกายของเรา 1,000 ครั้ง แล้วสมมุติว่าคนเรามีอายุ 80 ปี ร่างกายที่สร้างมา 1,000 ครั้ง ถ้าเอา 80 หาร ก็แปลว่า มีร่างกายที่สร้างใหม่ของเราประมาณ 12 ครั้งต่อปี
เรามีร่างกายใหม่ที่อาหารถูกใช้เพื่อสร้าง 12 ครั้ง ใน 1 ปี อันนี้พูดแบบหยาบๆนะ เพราะจริงๆ ตอนที่เราเริ่มกินอาหารครั้งแรก ก็อาจจะอายุประมาณสักไม่กี่เดือน ตอนนั้นก็หนักแค่ 2-3 กิโล
สมมุติเอาเริ่มต้นเลย ตอนที่เราหนัก 54 กิโลกรัม แล้วอาหารที่เรากิน 54,000 กิโลกรัม มันก็เอามาใช้สร้างร่างกายของเรา 1000 ครั้งหรือ 1000 ร่าง ใน 80 ปี แปลว่าร่างกายเราถูกสร้างใหม่ประมาณ 12 ครั้งต่อปี หรือว่าสร้างใหม่เดือนละครั้ง
นั่นหมายความว่า ร่างกายของเราเมื่อเดือนที่แล้วกับเมื่อเดือนนี้มันคนละร่าง ร่างเก่าเมื่อเดือนที่แล้วมันก็สลายหายไป แล้วก็เกิดร่างใหม่ขึ้นมาเพราะอาหารที่เรากิน
แต่จริงๆแล้วอาหารที่เรากินเข้าไปมันสร้างร่างกายของเราทีละนิดทีละหน่อย ไม่ได้สร้างทีเดียวพรวดพลาดเป็นร่างกายเต็มตัว มันค่อยๆสร้างวันละนิดวันละหน่อย ชั่วโมงละนิดละหน่อย ทดแทนส่วนที่เสื่อมไปส่วนที่เสียไป เม็ดเลือดเก่าตายไป เม็ดเลือดใหม่สร้างขึ้นมา หนังเก่าตายไป หนังใหม่ก็สร้างขึ้นมา ทีละนิดๆ ผมร่วงไปก็สร้างผมใหม่ขึ้นมา ทุกอย่างในร่างกายเรามันค่อยๆสร้าง ทีละนิดทีละหน่อย
ซึ่งนั่นหมายความว่า ร่างกายของเรา เป็นร่างใหม่จะเรียกว่าทุกขณะเลยก็ว่าได้ ร่างกายของเราเมื่อวานนี้กับร่างกายของเราวันนี้ มันก็คนละร่าง เพราะว่าเมื่อวานนี้ก็มีบางส่วนตายไป แล้วก็มีบางส่วนที่สร้างขึ้นใหม่ โดยเฉพาะสิ่งที่เป็นเซลล์ เป็นเม็ดเลือด อย่างเขาว่าคนเรา มีเซลล์ในร่างกายตายวันละห้าหมื่นถึงแสนล้านเซลล์ นี่อย่างน้อยนะ ที่ตายไปก็มีการสร้างขึ้นใหม่ขึ้นมา ด้วยอาหารที่เรากิน
เพราะฉะนั้น ที่ว่าเรามีร่างเก่าแล้วก็ในร่างใหม่ในแต่ละเดือน ที่จริงก็ยังเป็นการมองอย่างหยาบๆ เพราะว่าการสร้างร่างใหม่ทดแทนร่างเก่า หรือการสร้างอวัยวะเนื้อเยื่อใหม่แทนอวัยวะเนื้อเยื่อเก่า สร้างเม็ดเลือดใหม่แทนเม็ดเลือดเก่า มันเกิดขึ้นเรียกว่า ทุกชั่วโมง ทุกนาที ทุกวินาที
เพราะฉะนั้นเพียงแค่บอกว่า ร่างของเราเมื่อเดือนที่แล้วกับเดือนนี้ มันคนละร่าง นี่มันก็ยังหยาบอยู่ ต้องพูดว่า แม้กระทั่งร่างของเราเมื่อวานนี้กับวันนี้ ก็คนละร่าง หรือว่าร่างของเราชั่วโมงที่แล้วกับชั่วโมงนี้ ก็คนละร่าง ร่างของเราเมื่อนาทีที่แล้วกับนาทีนี้ ก็คนละร่าง เพราะว่ามันมีบางส่วนตายไป มีบางส่วนที่สร้างใหม่ อยู่ที่ว่าเราจะสังเกตเห็นหรือเปล่า
พูดอีกอย่างหนึ่งคือว่า ร่างของเราแต่ละขณะๆ ไม่ใช่ร่างเดิมแล้ว มันเป็นร่างใหม่ เป็นการเปลี่ยนแปลงอย่างช้าๆ
อันนี้จึงพูดได้ว่า นี่คือเหตุผลว่า ทำไมจึงบอกวา ร่างกายนี้จึงไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน เพราะการบอกว่าร่างกายเป็นตัวเป็นตน หมายถึงการมองร่างกายนี้เป็นแท่งๆ แล้วก็คงที่ด้วย แต่ที่จริงร่างของเราไม่คงที่เลย แล้วก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงในรูปเป็นแท่งๆด้วย มันค่อยๆเปลี่ยนแปลงทีละนิดๆ
เปรียบเหมือนกระแสน้ำ กระแสน้ำที่ไหลผ่านหน้าเรา แต่ละนาที แต่ละวินาที มันเป็นน้ำใหม่ น้ำที่ผ่านหน้าเรา นาทีที่แล้วกับนาทีนี้ คนละน้ำกัน วินาทีที่แล้วกับวินาทีนี้ มันก็เป็นน้ำที่ต่างกัน
จึงมีคนบอกว่า คนเราไม่สามารถที่จะเอาเท้าจุ่มน้ำในแม่น้ำสายเดิมได้สองครั้ง เพราะว่าตอนที่เราจุ่มครั้งแรก กับตอนที่เราจุ่มครั้งที่สอง เป็นแม่น้ำคนละสายแล้ว เพราะว่ามันมีน้ำใหม่มาแทนที่น้ำเก่า
เหมือนกับเทียน เทียนที่กำลังจุดเป็นเปลว เทียนเมื่อชั่วโมงที่แล้วกับชั่วโมงนี้ ก็เป็นคนละเล่ม นาทีที่แล้วกับนาทีนี้ ก็เป็นคนละเล่ม แต่ว่าเราดูเหมือนว่าเป็นอันเดียวกันเป็นเล่มเดียวกัน เพราะว่ามันมีความสืบเนื่อง ความสืบเนื่องเขาเรียกว่าความสืบเนื่องแบบเป็นกระแส
ที่ว่าเทียนไม่ใช่ตัวตนก็เพราะอย่างนี้แหละ เพราะว่าที่สิ่งที่เราเห็น มันเป็นความสืบเนื่องของเก่าแล้วมาเป็นใหม่ แล้วใหม่ก็กลายเป็นเก่า เวลาเราบอกว่าสิ่งทั้งปวงไม่ใช่ตัวตน เช่นว่าร่างกายไม่ใช่ตัวตน ก็หมายความว่า ร่างกายนี้ที่ไม่ใช่ตัวตน เพราะมันเป็นกระแส
เหมือนกับจุด จุดเล็กๆ ที่มาต่อๆกัน ต่อๆกัน ถ้าเรามองรวมๆ ก็เห็นเป็นเส้น แต่ที่จริงมันไม่ใช่เส้น มันเป็นแค่จุดต่างๆ ที่มาต่อกัน เส้นเป็นแค่สมมุติ ที่ใช้เรียกจุดที่อยู่ติดๆกัน เส้นนี่เป็นสมมุติ แต่ที่จริงมันก็คือจุดแต่ละจุดที่มาเรียงกัน ต่อเนื่องกันจนกระทั่งมองว่าเป็นตัวตน แต่ที่จริงแล้วเป็นกระแส
ร่างกายเรามีความสืบเนื่องแบบเป็นกระแส แต่เราเห็นว่าเป็นตัวเป็นตน เป็นแท่ง เป็นดุ้น เป็นเพราะว่าสายตาเรามองไม่ละเอียดพอ แต่ถ้าเราพิจารณาอย่างที่ว่ามา เราจะเห็นเลยว่า ร่างกายเรามีการเกิดดับ เกิดดับ อยู่ตลอดเวลา
ร่างกายเก่าตายไป ร่างกายใหม่สร้างขึ้นทีละนิดๆ มันดำรงอยู่แบบเป็นกระแส ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน เช่นเดียวกับสิ่งต่างๆ ไม่ใช่เฉพาะร่างกาย แต่ข้าวของด้วย รวมทั้งรูปธรรมและนามธรรมด้วย
นามธรรมเช่น ความคิดและอารมณ์ ที่ว่ามันไม่ใช่เป็นตัวเป็นตนเพราะมันเป็นกระแส มันเกิดดับ เกิดดับถี่ยิบ จนดูเหมือนว่ามันเป็นก้อน อยู่ในความรู้สึกของเรา เป็นชั่วโมงๆ เป็นวันๆ แต่ที่จริงไม่ใช่ มันเกิดดับเกิดดับถี่ยิบ แต่เป็นเพราะเราไม่สังเกต ไม่ละเอียดพอ เราก็เลยเห็นมันเป็นก้อนอารมณ์ แล้วเราก็เลยไปทึกทักว่ามันเป็นตัวเป็นตน
ฉะนั้นถ้าเรามองแบบนี้เราก็จะพบว่า รูปธรรมนามธรรมทั้งหลาย มันไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน มันดำรงอยู่แบบเป็นกระแสที่มีความสืบเนื่อง เกิดดับ เกิดดับ ฉะนั้นถ้าเราเข้าใจตรงนี้ เราจะรู้ว่า ไม่มีอะไรที่จะยึดมั่นถือมั่นได้ เพราะมันแปรเปลี่ยนไปตลอด
ฉะนั้นถ้าเรามองความจริงแบบนี้บ้าง เราก็จะรู้ว่า ไม่มีอะไรเป็นตัวเป็นตนให้ยึดถือได้เลย เพราะว่ามันเกิดดับ เกิดดับ แปรเปลี่ยนไปตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นรูปธรรมนามธรรม
แล้วเวลาเรากินอาหารลองพิจารณาดูว่า อาหารที่เรากิน 6 หมื่นกว่ากิโลกรัม หรือ 60 ตันต่อทั้งปี มันไม่ได้หายไปไหน มันอยู่ในร่างนี้แหละ แต่มันสร้างร่างใหม่ตลอดเวลา
จึงพูดได้ว่าร่างของเราเมื่อวานนี้กับวันนี้ ชั่วโมงที่แล้วกับชั่วโมงนี้ นาทีที่แล้วกับนาทีนี้คนละอัน นี่คือเหตุผลว่าทำไมร่างกายไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน มันเป็นแค่กระแส.