พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมเย็นวันที่ 19 กันยายน 2565
มีหมอคนหนึ่งอยู่โรงพยาบาลศูนย์ในจังหวัดหนึ่งทางภาคอีสาน แกเล่าว่า วันหนึ่งก็มีชาวบ้านคนหนึ่งพาลูกชายซึ่งอายุไม่มาก 9-10 ขวบ มาหาหมอ หมอดูอาการแล้วรู้สึกว่าเด็กนี่ป่วยหนักก็เลยแอดมิท แล้วก็บอกพ่อว่าให้ช่วยดูแลลูกชาย นอนค้างที่โรงพยาบาลนั่นแหละ แล้วตอนเช้าเวลาหมอมาตรวจลูกชาย ก็ขอให้อยู่ด้วย เพราะว่าหมอซักถามอาการก็จะได้ถามจากพ่อได้ หรือว่าจะแนะนำให้ทำอะไรกับลูกชาย ก็ให้พ่อช่วยด้วย
เพราะว่าคนไข้ในโรงพยาบาลนี้เยอะ พยาบาลก็ไม่ค่อยพอ
เด็กก็อยู่โรงพยาบาลอยู่หลายวัน ตอนเช้าเวลาหมอไปตรวจเด็กคนนี้ ก็จะเจอพ่อของเด็ก แต่ผ่านไป 2-3 วัน หมอมาตรวจเด็กก็ไม่เจอพ่อ วันแรกก็อาจจะไม่เท่าไหร่ วันที่ 2 ก็ไม่เจอพ่ออีก หมอก็ฉุนเลยนะ เพราะว่าย้ำแล้วนะ ว่าให้อยู่กับลูกเวลาหมอมาตรวจ
พอวันต่อมาขณะที่หมอกำลังตรวจเด็กอยู่ พ่อของเด็กก็รีบมาเลย หมอเห็นพ่อของเด็ก ก็ต่อว่าพ่อของเด็กว่าหายไปไหนมา ทำไมไม่อยู่กับลูก บอกแล้วไงเวลาหมอมาตรวจให้อยู่ด้วย หมอจะได้ซักถามอาการของลูกจากพ่อได้ จะแนะนำอะไรก็แนะนำพ่อได้ ทำไมไม่รับผิดชอบ ทำไมไม่ใส่ใจ รู้ไหมว่าลูกอาการหนัก ทำไมไม่รับผิดชอบลูกแบบนี้
หมอนี่ก็ต่อว่าพ่อของเด็ก พ่อของเด็กก็ขอโทษขอโพยเลยนะ พนมมือไหว้เลย ขอโทษด้วยคุณหมอ ขอโทษจริงๆ เผอิญข้าวสารที่ผมเอามาจากหมู่บ้านมันหมด ก็เลยต้องไปกินข้าววัด กว่าพระจะฉันเสร็จมันก็สายแล้ว พอเขากินข้าวเสร็จก็ต้องช่วยล้างจานล้างชามให้พระ กว่าจะเสร็จก็สายเลย ก็เลยมาไม่ทันหมอ แต่ว่าวันนี้ผมรีบเลยนะ กินข้าวไม่ทันไรก็รีบมาเลย ต้องขอโทษหมอจริงๆ
หมอพอได้ฟังเหตุผลของพ่อของเด็ก หมอก็รู้สึกผิดเลย เพราะทีแรกไปว่าพ่อของเด็กไม่รับผิดชอบ ไม่ใส่ใจลูก แต่ไม่คิดเลยว่าจริงๆ แล้ว พ่อเขายากจน เขาไม่มีข้าวจะกินแล้ว ต้องไปกินข้าววัด ก็เลยเป็นเหตุให้ไม่ได้อยู่เจอหมอสองวันติดๆ กัน
พอได้ฟังเหตุผลของพ่อของเด็ก หมอก็รู้สึกเลยว่าเขาน่าสงสารนะ แม้แต่ข้าวที่จะกินนี่ก็ยังขาดแคลนเลย เราก็ไปคิดว่าเขาไม่รับผิดชอบ เผลอด่าไปแล้ว อันนี้ก็ทำให้หมอนี่ได้คิดเลยว่าอย่าด่วนสรุป เห็นอะไรเกิดขึ้นแม้ไม่ถูกใจก็อย่าเพิ่งผลีผลามไปต่อว่า เพราะว่าสรุปเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว ว่าเขาเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ อย่างน้อยๆ น่าจะสอบถามเสียก่อนว่าทำไมถึงหายไป ไม่ใช่ว่าพอเห็นหน้าก็ใส่ ต่อว่าเลย
แต่ก็ธรรมดานะคนเรา พอเจอเหตุการณ์อะไรบางอย่าง มันก็อดไม่ได้ที่จะมีความคิดเกิดขึ้น แล้วก็รีบสรุปเลยว่านี่คือความจริงที่เกิดขึ้น ทั้งที่มันเป็นแค่ความคิด แต่ว่าก็ด่วนสรุปไปเสร็จแล้ว หรือว่าด่วนเชื่อ พอด่วนเชื่อความคิดหรือด่วนเชื่อข้อสรุป มันก็ตามมาด้วยการต่อว่า แต่ก็ยังดีที่มารู้ความจริงจากเจ้าตัว แล้วก็ทำให้สามารถจะขอโทษขอโพย
แต่บางครั้งการด่วนสรุปของเรา พอเกิดความเสียหายแล้วมันแก้ไขได้ยาก หรืออาจจะแก้ไขไม่ได้เลย
อย่างมีผู้ชายคนหนึ่ง แกเป็นคนที่สูบบุหรี่จัดมาก ลูกห้ามว่าอย่าสูบบุหรี่มากเพราะว่าเดี๋ยวจะเป็นมะเร็ง ห้ามอย่างไรพ่อก็ไม่เชื่อ
สุดท้ายพ่อก็เป็นมะเร็งจริงๆ มะเร็งปอด ก็ต้องทำการรักษาฉายแสงฉีดคีโม คนไข้นี่อาการก็แย่ลงเรื่อยๆ ลูกชายก็เลยให้พ่อมาพักฟื้นที่คอนโดแห่งหนึ่ง อากาศดีหน่อย เป็นคอนโดที่ตัวเองซื้อเอาไว้แต่ยังไม่ได้มาอยู่เลย ก็ให้พ่อย้ายมาอยู่คอนโดเพราะมีคนคอยช่วยดูแล พ่อตอนนั้นก็ยังพอจะเดินเหินอะไรได้บ้าง ไม่ถึงกับติดเตียง ลูกชายก็มาเยี่ยมเป็นครั้งคราว
มีวันหนึ่งลูกชายเดินไปที่ระเบียง เห็นก้นบุหรี่ตรงพื้นระเบียงหลายอันด้วย พอเห็นนี่ก็โกรธเลยนะ ตรงไปต่อว่าพ่อ พ่อทำไมสูบบุหรี่อีกแล้ว ไม่รู้หรือไงว่าที่ตัวเองเป็นมะเร็งนี่เพราะสูบบุหรี่ แล้วพอเป็นมะเร็งแล้วเป็นอย่างไร ก็เป็นภาระของลูกๆ ทำไมไม่รักตัวเอง หรือถ้าไม่รักตัวเอง อย่างน้อยก็นึกถึงคนอื่นบ้าง ว่าเขาเดือดร้อนที่ตัวเองเป็นมะเร็ง ต่อว่าพ่อใหญ่เลย
พ่อก็บอกว่า “พ่อไม่ได้สูบ” ลูกบอก “ไม่ได้สูบได้อย่างไร นี่ก้นบุหรี่มันเยอะแยะไปหมดเลย มันเห็นชัดอยู่แล้วว่าพ่อนี่สูบบุหรี่ สูบแล้วยังปฏิเสธอีก” ลูกก็ว่าพ่อ พ่อก็ปฏิเสธอยู่นั่นแหละ แต่ลูกก็ไม่เชื่อ และนับแต่นั้นมาความสัมพันธ์ของพ่อกับลูกก็ไม่ค่อยดี ตอนหลังพ่อก็เสียชีวิต เสียชีวิตเพราะมะเร็ง
หลังจากจัดการเรื่องงานศพเสร็จ ลูกชายก็มาเก็บข้าวของของพ่อที่อยู่ในคอนโด แล้วก็มีช่วงหนึ่งก็เดินไปที่ระเบียง ปรากฏว่าเจอก้นบุหรี่หลายอันด้วย ก็แปลกใจ พ่อไปอยู่โรงพยาบาลตั้งนาน แล้วก้นบุหรี่นี่มาจากไหน สักพักก็ได้ยินเสียงคนคุยกันอยู่ข้างบน แล้วก็ได้กลิ่นบุหรี่ ก็เลยรู้เลยว่าก้นบุหรี่ตรงระเบียงในห้องพ่อนี่ มันไม่ใช่บุหรี่ที่พ่อสูบ แต่มันเป็นบุหรี่จากคนที่อยู่ชั้นสูงขึ้นไป
เวลาเขาสูบบุหรี่ทิ้งก้นบุหรี่ลงมา บางทีลมพัด ก้นบุหรี่ก็ตกมาที่ระเบียงของห้องที่พ่อพักฟื้นอยู่ ลูกชายเลยรู้ความจริงเลยว่าจริงๆ แล้วพ่อไม่ได้สูบบุหรี่ ระหว่างที่อยู่ที่คอนโดของลูก แต่ว่าตัวเองก็ด่าพ่อไปเรียบร้อยแล้ว แล้วพ่อก็เสียชีวิตไปแล้ว ตัวเองผิดนะที่ไปด่าพ่อ ทั้งที่พ่อก็ปฏิเสธ แต่ก็ไม่เชื่อพ่อ กว่าจะรู้ความจริงมันก็สายไปเสียแล้ว เพราะพ่อก็เสียชีวิตไปแล้ว แกรู้สึกผิดมากเลย เป็นความผิดที่ติดค้างใจ เพราะว่ามันไม่สามารถที่จะขอโทษพ่อได้
อันนี้ก็เป็นบทเรียนว่าคนเราอย่าด่วนสรุป แม้ว่าเหตุการณ์หรือว่าสถานการณ์มันจะชวนให้สรุปอย่างนั้น คือก้นบุหรี่มันอยู่ที่ระเบียงของห้องที่พ่อพัก แล้วใครจะสูบถ้าไม่ใช่พ่อ อันนี้ถ้าพิจารณาโดยใช้เหตุผล ใช้ตรรกะ
ที่จริงเรื่องนี้พระพุทธเจ้าก็เตือนเอาไว้แล้ว ว่าอย่าเชื่อเพียงเพราะรูปลักษณะมันน่าเชื่อถือ อย่าเชื่อเพียงเพราะตรรกะหรือการอนุมาน แต่คนเราพอเจอภาพแบบนี้ มันก็อดไม่ได้ที่จะสรุปเลยว่า พ่อสูบบุหรี่แน่นอน ทั้งที่เป็นมะเร็งแล้ว ก็ยังไม่เจียมสังขาร ยังไม่ห่วงตัวเอง พอด่วนสรุปเข้าอย่างนี้ มันก็อดไม่ได้ที่จะต้องต่อว่าด่าทอ แล้วเกิดผลเสียตามมา
คนเราเวลาเจอเหตุการณ์ทำนองนี้ มันก็อดไม่ได้ที่จะมีความคิดผุดขึ้นมา แต่ถ้าเรามีความสุขุมรอบคอบสักหน่อย มันก็จะไม่ด่วนเชื่อความคิดที่มันผุดขึ้นมา แต่ก็เป็นธรรมดาคนเราพอมีความคิดอะไรผุดขึ้นมาเป็นข้อสรุปของเหตุการณ์บางอย่าง มันก็เชื่อทันที แล้วก็คิดว่านี่คือความจริง
แต่ถ้าหากว่าเรามีความตระหนักว่าสิ่งที่เราคิด หรือความคิดที่มันเกิดขึ้น มันอาจจะไม่ถูกก็ได้ อาจจะไม่ใช่ความจริงก็ได้ มันก็จะทำให้คนเราพยายามหาความจริง และวิธีการหาความจริงคือการสอบถาม
ทั้ง 2 เรื่องนี้มันจะไม่เกิดการผลีผลามต่อว่า ถ้าเกิดว่ารู้จักสอบถามเสียก่อน ว่าความจริงเป็นอย่างไร ทำไมพ่อไม่อยู่กับลูกตอนที่หมอมา ถามเสียก่อน หรือไม่ก็ถามพ่อที่ป่วยเป็นมะเร็ง ว่าก้นบุหรี่นี่มาจากไหน แต่คนเราไม่ถาม เพราะเราเชื่อความคิดของเรา อันนี้เรียกว่าด่วนสรุป
และการด่วนสรุปนี่บางครั้งมันก็เกิดความเสียหาย ความคิดนี้มันก็มีประโยชน์ แต่ว่าถ้าเราเชื่อมันมากไป หรือด่วนเชื่อมัน มันก็พาเราเข้าเราเข้าพงได้ หรือพาเราไปสู่การกระทำที่เกิดความเสียหายตามมา
หลวงพ่อคำเขียนท่านเคยเล่าว่า เมื่อสัก 30 ปีก่อน มีชาวบ้านคนหนึ่งพาพระหนุ่มมาหาท่าน แล้วก็บอกว่าอยากจะให้หลวงพ่ออบรมสั่งสอนพระรูปนี้หน่อย เพราะเพิ่งบวชมา เป็นน้องชายของโยมที่พามา สีหน้าของพระหนุ่มนี่ก็ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ หน้าตาเครียด อมทุกข์
พอพระหนุ่มมาอยู่วัด ท่านก็พาเดินจงกรมเลยพาเดินจงกรม พาสร้างจังหวะ แต่ว่าทำไปได้สักวันสองวันเท่านั้นแหละ พระหนุ่มก็มาหาหลวงพ่อ บอกว่าจะขอสึก บอกว่าตัวเองไม่ได้มาบวชเพราะต้องการปฏิบัติธรรม ไม่ได้มาบวชเพื่อจะมาเดินจงกรม แต่บวชเพราะว่ารับปากพี่ผู้ชายเอาไว้ และตอนนี้ก็ได้ทำตามสัญญาแล้ว ก็จะขอสึก
หลวงพ่อคำเขียนก็ไม่ให้สึก บอกไปเดินจงกรมต่อ ก็ไปเดินได้สัก 2-3 ชั่วโมงก็กลับมาอีก มาหาหลวงพ่อ จะขอสึกให้ได้เลย หลวงพ่อไม่ยอม เพราะเพิ่งมาบวชได้แค่ไม่กี่วันเอง ไล่ให้ไปปฏิบัติต่อ ตอนเย็นก็มาอีก รบเร้าจะขอสึกให้ได้ เป็นครั้งที่ 3
หลวงพ่อก็เลยถามว่า อะไรทำให้คุณมาหาผม พระนั้นนิ่งสักพัก แล้วก็บอก ความคิดครับ หลวงพ่อก็เลยพูดว่า มันคิดแล้วต้องทำตามความคิดทุกอย่างเหรอ คนเราถ้าทำตามความคิดทุกอย่างนี่ไม่แย่หรือ ท่านก็ไม่สึกให้ แล้วก็บอกให้กลับไปดูความคิด ให้รู้จักทักท้วงความคิดบ้าง พระรูปนั้นก็ไม่พอใจ เดินออกไปด้วยสีหน้าที่ไม่พอใจ
วันรุ่งขึ้นตอนเช้าได้เวลาทำวัตร หลวงพ่อก็เดินไปที่ศาลา ก็เห็นพระหนุ่มนี่เดินมา แต่คราวนี้ไม่ได้เดินมาเพื่อจะขอสึก เดินมากราบหลวงพ่อ บอกขอบคุณหลวงพ่อที่ไม่สึกให้เมื่อวาน แล้วก็เล่าว่าเมื่อวานตอนที่เดินจงกรม คิดอยู่ตลอดเวลาว่าจะหาปืนหารถจากที่ไหน เพื่อที่จะฆ่าคนสองคน ก็คงเดาว่าเป็นเมียกับชายชู้ โกรธมาก
คิดแต่จะหาทางวางแผนฆ่าสองคนนี้อย่างไร จะเอาปืนมาจากไหน จะเอารถจากที่ไหน ถ้าเสร็จแล้วจะเอาปืนไปทิ้งไว้ที่ไหน จะหนีอย่างไร มันคิดแต่เรื่องนี้แหละ เป็นเหตุให้อยากจะสึก แต่ว่าการที่หลวงพ่อไม่สึก แล้วให้พระนี่กลับไปดูความคิด กลับไปทักท้วงความคิด ทำให้เปลี่ยนใจ ก็เลยมาขอบคุณหลวงพ่อที่ทัดทานเอาไว้ แล้วก็แนะนำให้อย่าไปหลงเชื่อความคิด
ที่หลวงพ่อท่านพูดนี่สำคัญมากนะ คนเราถ้าทำตามความคิดทุกอย่างมันไม่แย่หรือ ความคิดคนเรามันก็มีทั้งดีและก็ไม่ดี ฉะนั้นถ้าเราเชื่อความคิดทุกอย่าง มันก็อาจจะพาเราทำสิ่งที่เลวร้ายก็ได้ ไม่ใช่แค่ต่อว่าด่าทอคนที่อยู่ใกล้ แต่อาจจะรวมถึงการไปทำร้ายคนที่ตัวเองรักก็ได้
คนเรามันต้องรู้จักทักท้วงความคิด ไม่หลงเชื่อความคิดทุกอย่างที่มันเกิดขึ้นในใจ แต่จะทำอย่างนั้นได้ การที่มีสติเห็นความคิดนี่สำคัญ เพราะถ้าเราไม่มีสติ ไม่เห็นความคิด มันคิดปุ๊บก็ไปยึดเลยว่าเป็นเรา เป็นของเรา ด้วยอำนาจของความหลง พอไปยึดว่าความคิดเป็นเรา เป็นของเรา มันก็เชื่อความคิดนั้นเลย
แล้วมันก็แปลกนะ พอไปยึดว่าความคิดเป็นเราเป็นของเรา เราเป็นของมันเลย อะไรก็ตามที่เราไปยึดว่าเป็นของเรา ทันทีทันใดนั้นเราเป็นของมันเลย ไม่ว่าจะเป็นเงินทอง รถยนต์ โทรศัพท์ หรือความคิดที่เป็นนามธรรม ทันทีที่ไปยึดว่าความคิดเป็นเราเป็นของเรา เราเป็นของมันเลย ก็คือเราถูกมันสั่งให้ทำอะไรก็ตามเพื่อมัน ปกป้องมัน ทำร้ายคนที่มีความคิดต่างจากมัน มันในที่นี้คือความคิดที่เกิดขึ้นในหัวของเรา แล้วเราไปยึดว่าเป็นของเรา
ทุกวันนี้คนเราตกเป็นทาสของความคิดมากเลย ทั้งที่ความคิดนี้มันก็เกิดจากการปรุงแต่งของเรา แต่ทันทีที่เราปรุงความคิดขึ้นมา แล้วไปยึดว่าความคิดเป็นเรา เราเป็นของมันเลย เราทำทุกอย่างเพื่อปกป้องมัน พร้อมที่จะทะเลาะกับคนที่คิดต่างจากมัน บางทีก็ถึงกับไปทำร้ายกำจัดคนที่คิดต่างจากมัน เพื่อให้มันโดดเด่น หรือว่าสามารถจะแพร่กระจายไปได้
แต่ถ้าหากว่าเรารู้ทันความคิด เราจะไม่เผลอไปยึดว่ามันเป็นเราเป็นของเรา หรือพูดอีกอย่างคือเราจะไม่ไปหลงเชื่อมัน ไม่หลงตกอยู่ในอำนาจการบงการของมัน
ฉะนั้นลองดูนะถ้าเกิดว่าไปสรุป ไปเชื่อความคิด ว่าพ่อของเด็กไม่รับผิดชอบ ทิ้งเด็กทั้งที่ป่วยหนักไปไหนไม่รู้ พอคิดแบบนี้เชื่อแบบนี้ มันก็อดไม่ได้ที่จะต้องต่อว่าต้องด่า หรือว่าถ้าลูกชายพอเชื่อแล้วว่าพ่อนี่สูบบุหรี่ทั้งที่เป็นมะเร็งปอด มันก็ต้องด่าต้องว่า มันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตามมาอย่างหลีกเลี่ยงได้ยาก เพราะความคิดมันสั่งให้เราทำ นี่เป็นเพราะว่าไม่รู้ทันความคิด เพราะไม่รู้จักทักท้วงความคิด
แต่ถ้าเราอย่างน้อยฉลาดสักหน่อยก็จะรู้ว่า ความคิดที่เกิดขึ้นนี่มันก็เป็นเพียงแค่ความคิด สิ่งที่เกิดขึ้นต่อหน้าเรา อาจจะมีเหตุผลอย่างอื่นก็ได้ เช่น พ่อไม่อยู่ดูแลลูก เป็นเพราะเขาอาจจะมีธุระ เขาอาจจะมีเหตุสุดวิสัย อันนี้ประสบการณ์มันอาจจะทำให้เรารู้จักคิดเผื่อได้
คิดเผื่อว่าเขาอาจจะมีเหตุผลอื่น ที่ทำให้ไม่ได้อยู่กับลูกตอนที่หมอมาเยี่ยม หรือลูกเห็นก้นบุหรี่ที่ระเบียง ถ้าเป็นคนที่มีสติปัญญาหน่อย ก็อาจจะฉุกคิดว่าอาจจะมีเหตุผลอื่นก็ได้ ที่บุหรี่จะมาอยู่ตรงนี้ อันนี้เรียกว่ารู้จักคิดเผื่อ คิดออกไปในหลายๆ ทาง ถ้ารู้จักคิดแบบนี้ มันก็ช่วยทำให้ไม่หลงไปยึดติดความคิดใดความคิดหนึ่ง
แต่ว่าคนเราไม่ชอบการที่มีความคิดหลายทางแบบนั้น เพราะว่ามันทำให้ไม่สามารถจะฟันธงได้ คนเรานี่ชอบฟันธง เพราะมันแน่นอนดี อะไรที่ไม่แน่นอนนี่คนเราไม่ค่อยชอบ คนเราชอบอะไรที่มันแน่นอน เพราะฉะนั้นฟันธงสรุปไปเลย และนี่แหละก็คือสาเหตุที่ทำให้คนเราทำผิดทำพลาดได้
ไม่อย่างนั้นพระพุทธเจ้าไม่เตือนหรอกนะ ว่าอย่าเชื่อเพียงเพราะการอนุมาน อย่าเชื่อเพียงเพราะรูปลักษณะมันน่าจะเป็นไปได้ เพราะว่าบทเรียนจากผู้คนมากมาย มันบอกว่าการสรุปของคน ถ้าด่วนสรุปก็อาจจะผิดได้ ทั้งๆ ที่ดูมีเหตุผล แต่ถึงแม้ว่าเราไม่มีความสามารถในการคิดเผื่อได้ แต่อย่างน้อยถ้ามีสติ มันรู้ทันความคิด มันก็ไม่หลงเชื่อความคิด ก็ดูมัน แล้วก็สุดท้ายความจริง ที่ปรากฏก็อาจจะตรงข้ามกับความคิดที่เกิดขึ้นก็ได้
ฉะนั้นเราต้องรู้จักทักท้วงความคิด อย่าไปหลงเชื่อมัน และสิ่งที่จะช่วยทำให้เราเป็นนาย เป็นอิสระจากความคิดได้ ไม่ตกเป็นทาส คือการที่เราเห็นมัน ไม่เข้าไปเป็น ถ้าเราทำอย่างนี้ได้ เราก็จะเป็นนายมัน เราก็จะใช้ความคิด แต่ถ้าไม่เช่นนั้น ความคิดมันก็ใช้เรา ความคิดนี่เป็นบ่าวที่ดี แต่เป็นนายที่เลว ถ้าเราใช้มัน มีประโยชน์นะ แต่ถ้ามันใช้เรานี่ เราแย่เลย พาเราเข้ารกเข้าพงไปได้ง่ายๆ