พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมเย็นวันที่ 18 กันยายน 2565
ที่นี่ขณะนี้ฝนตกหนักมาก แต่ฝนไม่ว่าจะตกหนักแค่ไหน เราทุกคนในที่นี้ก็ไม่มีใครที่เปียกปอน เพราะอะไร ก็เพราะว่ามีหลังคาคอยป้องกัน ฝนตกหนักแค่ไหน จะกระทบหลังคาดังเพียงใด แต่ว่าเราไม่เปียก เราห้ามฝนไม่ให้ตกไม่ได้ เหตุปัจจัย พร้อมฝนก็ตก เราห้ามไม่ได้
แต่สิ่งที่เราทำได้คือว่าตกแล้วตัวเราไม่เปียก ก็เหมือนกับชีวิตของเรา จะห้ามไม่ให้มีเหตุร้าย จะห้ามไม่ให้มีอะไรมากระทบกับชีวิตของเรา มันทำไม่ได้ อาจจะทำได้เพียงแค่ช่วยบรรเทาไม่ให้เกิดเหตุการณ์ที่รุนแรง แต่ว่าในที่สุดมันก็เกิดขึ้นจนได้
มีเหตุการณ์ที่ไม่พึงประสงค์เกิดขึ้นกับทรัพย์สมบัติของเรา กับบ้านของเรา กับรถยนต์ของเรา ข้าวของเครื่องใช้ของเรา แม้กระทั่งกับร่างกายของเรา ตลอดจนคนที่เรารัก อันนี้เป็นสิ่งที่ห้ามได้ยาก ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม แต่ว่าเมื่อเกิดขึ้นแล้ว ไม่ให้มันกระเทือนไปถึงใจ ทำได้นะ พูดง่ายๆ คือว่าแม้จะเสียทรัพย์ แต่ว่าใจไม่เสีย แม้ว่าจะป่วยกาย แต่ว่าใจไม่ป่วย อันนี้ทำได้ แล้วก็เป็นสิ่งที่ควรทำด้วย
ทำนองเดียวกันเวลามีอะไรมากระทบเรา เช่น รูปกระทบตา เสียงกระทบหู หรือว่ากลิ่นกระทบจมูก โผฏฐัพพะกระทบกาย แต่ว่าไม่ให้กระเทือนไปถึงใจ มันทำได้ แต่ว่าคนส่วนใหญ่พอมีอะไรกระทบกาย มีเสียงกระทบหู ใจมันกระเทือนเลย เพราะอะไร ถ้าจะเรียกว่าเป็นเพราะขาดสติก็ได้ มันก็เลยเกิดการปรุงแต่ง เกิดปฏิกิริยาในทางลบ เช่น ไม่ชอบ อยากผลักไส หรือมีความรู้สึกลบกับมัน พูดง่ายๆ คือว่าวางใจไม่ถูก
อย่างที่เคยยกตัวอย่าง บุรุษไปรษณีย์ทั้งๆ ที่อากาศร้อน แดดก็แรง เหงื่อก็ออกไหลเต็มตัว แต่ว่าใจเขาก็ไม่ได้ทุกข์ ไม่ได้หงุดหงิด ตรงกันข้ามกับคนที่อยู่ในบ้าน เปิดแอร์เต็มที่ แต่ก็ยังรู้สึกหงุดหงิด เพราะว่ามันยังเย็นไม่พอ คนหนึ่งอยู่ในห้องแอร์หงุดหงิด อีกคนหนึ่งตากแดดแต่ว่าเขาไม่หงุดหงิด เพราะอะไร
เพราะเขารู้วิธีทำใจให้เย็น วิธีการของเขาก็ง่ายๆ คือเขาร้องเพลง ร้องเพลงลูกทุ่งขณะที่รอเจ้าของบ้านมารับไปรษณีย์ มารับพัสดุ เจ้าของบ้านออกจากห้องที่ติดแอร์ฉ่ำ มารับเอกสารด้วยหน้าตาที่หงุดหงิด แต่ว่าบุรุษไปรษณีย์นี่ยิ้มแย้ม ทั้งๆ ที่เจออากาศร้อน เหงื่อเต็มหลังเลย อันนี้เพราะรู้จักรักษาใจ
อย่างที่เขาบอกกับเจ้าของบ้าน เจ้าของบ้านถามว่า แดดร้อนอย่างนี้ ยังมามีอารมณ์ร้องเพลงอีกหรือนี่ เขาก็บอกว่าโลกร้อนแต่ถ้าใจมันเย็น มันก็เย็นครับ ผมร้องเพลงแล้วมันใจเย็น อันนี้เป็นวิธีรักษาใจไม่ให้ทุกข์ แม้ว่าแดดแรงๆ จะมากระทบกาย มาเผากาย แต่ว่าความร้อนแรงของแดดก็ไม่สามารถจะทำให้ใจเขาร้อนรุ่มได้ เพราะเขารู้วิธีง่ายๆ ก็คือการเติมความรู้สึกดีๆ ให้กับจิตใจ ด้วยการร้องเพลง
แต่เราก็ไม่จำเป็นต้องร้องเพลงก็ได้ หรือบางคนร้องไม่เป็น แม้ว่ากายจะร้อนแต่ใจเย็นก็ได้ อย่างคนที่เดินธรรมยาตราซึ่งก็จัดมา 20 ครั้งแล้ว หลายคนก็เดินกลางแดด แดดก็ร้อนเปรี้ยง แต่ว่าใจเขาก็ไม่ได้ร้อนด้วย ทั้งที่ไม่มีร่มกาง ไม่มีหมวกใส่ กายนี่รับแดดเต็มๆ แต่ว่าใจไม่ทุกข์ เพราะอะไร เพราะว่ามีสติรักษาใจ
กายร้อนแต่ว่าใจไม่ร้อนด้วย เวทนาที่เกิดขึ้นกับกาย ก็มีสติ ไม่ไปยึดเอาความร้อนของกายมาเป็นความร้อนของของกู กายร้อนแต่มันไม่มีกูร้อน กายร้อนนี่ไม่เท่าไหร่แต่พอมีความรู้สึกว่ากูร้อนนี่ โอ๊ยมันทุกข์ที่ใจเลยนะ แต่ถ้าเรามีสติ กายร้อนก็เห็นความร้อนที่กาย แต่ไม่เอาใจไปจดจ่อ ไม่ไปเกิดความยึดติดถือมั่นว่ากูร้อน หรือความร้อนเป็นของกู อันนี้คือเห็นไม่เข้าไปเป็น
คนเราแม้ว่าจะไม่ชอบความร้อน แต่ว่าพอมันร้อนทีไร ใจก็เข้าไปยึดทันที ยึดนี่ก็คือไปจดจ่อ ไม่ได้ไปจดจ่อตรงบริเวณที่ร้อนอย่างเดียวนะ แต่ว่าไปยึดเอาเวทนา หรือทุกขเวทนาที่เกิดขึ้นด้วย ไปยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นกู เป็นของกูไป แต่ถ้ามีสติมันเห็น เห็นเวทนา ไม่เข้าไปเป็น กายก็ร้อนไปแต่ว่าใจไม่ร้อนด้วย หรือใจไม่ทุกข์ด้วย อันนี้ทำได้นะ หากว่าเรามีสติ
สติเป็นเครื่องช่วยทำให้เกิดการปล่อยการวาง ในเมื่อเราไม่ชอบความร้อน เราไม่ชอบทุกขเวทนา เราไปยึดมันทำไม แต่ที่เรายึดเพราะเราไม่รู้ตัว เราหลง พอหลงก็เข้าไปยึดมันว่าเป็นเราเป็นของเรา เพราะฉะนั้นกายก็เลยไม่ได้แค่ร้อนอย่างเดียว แต่ใจก็ร้อนด้วย เพราะมันมีกูร้อนเกิดขึ้น กูร้อนๆ ๆ
ตัวกูมันเกิดขึ้นได้เพราะมันเกิดการปรุงแต่ง และที่มันปรุงแต่งได้เพราะความหลง และเราก็มักจะโทษว่าที่เราทุกข์เพราะแดดร้อน ที่จริงไม่ใช่หรอกนะ ทุกข์เป็นเพราะใจของเราไปยึดเอาความร้อนที่กาย หรือไปยึดเอาเวทนามาเป็นเรา เป็นของเราไป
คนเราถ้าหากว่าเราไม่ดูใจให้ดี เราจะโทษว่าสิ่งภายนอกเป็นเหตุแห่งความทุกข์ เคยพาเดินคนเดินจงกรม แล้วก็บอกเส้นทางจงกรมนี่บางทีมันมีมดอยู่ตามทางบ้าง แถวสนามหญ้าบ้าง แล้วก็บอกให้คนเดินจงกรมด้วยอาการสงบ แต่ปรากฏว่าระหว่างที่เดินนี่ก็มีเสียง เสียงคนปัดขากางเกง เพราะอะไร เพราะมดมันไต่ไปตามขา ไต่เข้าไปข้างใน ก็มีเสียงปัดกางเกง ปัดผ้าถุง อาการที่เคยเดินสำรวมนี่ก็กลายเป็นไม่สำรวม
เดินเสร็จก็มาพูดคุยกันพอถามว่า ที่ปัดขากางเกงเพราะอะไร แทบทุกคนบอกเลยเพราะมดมันไต่ตามตัวครับ ไต่ตามขาค่ะ ก็บอกเขาว่ามันไม่ใช่นะ ที่ปัดไม่ใช่เพราะมดมันไต่ตามตัวตามขานะ ดูดีๆ นะ ที่เราปัดเพราะอะไร เพราะว่ามันอยากปัด มันมีความอยากเกิดขึ้นก่อน มีความอยากจะปัด แล้วก็เลยลงมือปัด
ถามว่าทำไมถึงอยากปัด หลายคนตอบว่าเพราะมันเจ็บ มดมันกัดเจ็บ ที่จริงมดกัดเจ็บนี่มันไม่ได้ทำให้เกิดความอยากปัดมดหรือปัดขากางเกงนะ มันต้องมีความรู้สึกไม่ชอบความเจ็บที่เกิดขึ้นจากมดกัด มันต้องมีความไม่ชอบก่อน มีความรู้สึกลบต่อความปวดที่เกิดขึ้น ความเจ็บที่เกิดขึ้นเพราะมดกัด
แล้วพอมันมีความรู้สึกไม่ชอบ มันก็เลยอยากจะบรรเทาความปวด บรรเทาความเจ็บ เพราะความอยากบรรเทาความเจ็บก็เลยเป็นเหตุให้อยากปัด แล้วพอมีความอยากปัดก็เลยลงมือปัด
แต่ที่จริง ถ้าดูละเอียดนะมันมีอะไรมากกว่านั้นในตอนที่เจ็บ ก่อนที่จะรู้สึกไม่ชอบความเจ็บ อยากจะบรรเทาความเจ็บออกไป มันจะมีความรู้สึกว่ากูเจ็บ มันไม่ใช่แค่เจ็บขาอย่างเดียว แต่มันรู้สึกว่ากูเจ็บด้วย คือเป็นความทุกข์ที่ใจ ก็เลยเกิดความไม่ชอบความเจ็บ เกิดความรู้สึกเป็นลบ มันรู้สึกลบกับความเจ็บ และทำให้อยากจะบรรเทาความเจ็บลง ก็เลยเกิดความอยากปัด แล้วก็ลงมือปัด
แต่อยากปัดนี่มันไม่ทำให้ลงมือปัดทีเดียวนะ มันไม่ใช่เป็นอัตโนมัติอย่างนั้น มันต้องลืมตัวด้วย ตอนที่อยากปัดนี่ ทำไมบางคนเขาอยากปัดแต่เขาไม่ปัด เพราะเขาตั้งสติได้ เขารู้ว่านี่กำลังเดินจงกรมอยู่ ต้องสำรวม เขาก็หักห้ามใจไว้ แต่บางคนพออยากปัดแล้วมันลืมตัว ลืมตัวก็คือขาดสติ เลยเผลอปัด
ฉะนั้นถ้าเราดูจะเห็นได้ว่าตอนที่มดมันไต่ตามขา อันนั้นไม่ใช่เป็นสาเหตุให้ผู้ปฏิบัติปัด เรามักจะพูดว่าที่ปัดขา ปัดมด เพราะมดกัด ไม่ใช่ อย่าไปโทษมดนะ แต่ต้องพิจารณาว่ามันเกิดจากอาการทางจิต หลายขั้นตอนทีเดียว ตั้งแต่ว่ามีความเจ็บ มีความปวด แล้วเกิดผู้ปวดขึ้น แล้วก็เลยรู้สึกลบ เกิดความยินร้ายกับความเจ็บ แล้วก็เลยอยากจะบรรเทาความเจ็บ ความอยากบรรเทาความเจ็บก็เลยทำให้อยากจะปัด อยากจะปัดแล้ว ไม่พอ มันต้องลืมตัวด้วย ขาดสติมันก็เลยลงมือปัด
ฉะนั้นจะเห็นได้ว่ามันมีอะไรต่ออะไรเกิดขึ้นมากมายในใจของเรา ระหว่างการถูกมดกัด กับการลงมือปัด นั่นแหละคือสาเหตุที่ทำให้เราปัดมด หรือว่าปัดขากางเกง นั่นแหละคือสมุทัย ถ้าเราดูดีๆ มันไม่ใช่มดกัด แต่ว่าเป็นเพราะอาการทางใจที่ทำให้เราลงมือปัด
ถ้าดูอย่างนี้เราจะเห็นเลยว่า สิ่งที่เกิดขึ้นในใจของเราคือตัวการสำคัญ ที่ทำให้เกิดทุกข์ขึ้นมา แต่เพราะเราดูไม่ละเอียด เราดูอย่างหยาบๆ เราก็เลยไปโทษมด
วงจรปฏิจจสมุปบาทแสดงไว้อย่างดีเลยว่า เมื่อเกิดผัสสะ มันยังไม่ได้เกิดทุกข์ทันที ไม่ใช่เกิดผัสสะปุ๊บเกิดทุกข์ปั๊บ ไม่ใช่ มันยังมีเวทนา ตัณหา อุปาทาน ภพ ชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ แล้วทุกข์ คือก่อนที่จะเกิดทุกข์ มันไม่ใช่เป็นเพราะมีผัสสะเกิดขึ้นทันทีแล้วทุกข์ แต่มันมีกระบวนการต่างๆ ในใจ ซึ่งล้วนแต่เป็นการปรุงแต่งในใจ
ฉะนั้นถ้าเราพิจารณาดูให้ละเอียด ความทุกข์ใจมันไม่ได้เกิดขึ้นเมื่อมีการกระทบ ไม่ว่ากระทบทางตา ทางหู แต่มันเกิดการปรุงแต่งต่างๆ ในใจ ตรงนี้แหละคือเหตุแห่งทุกข์ ซึ่งถ้าเราไม่เข้าใจ เราก็จะไปแก้ทุกข์แบบผิดฝาผิดตัว หรืออย่างน้อยก็ไปโทษว่าตัวการแห่งทุกข์อยู่ที่ข้างนอก คนเขาจะด่าว่าเราอย่างไร มันไม่ได้ทำให้เราทุกข์หรอก จนกว่าเราจะถือสาคำพูดเหล่านั้น หรือไม่ก็เอาตัวตนเข้าไปรับคำด่าว่า
เวลาคนบ้าคนเมาด่าว่าเรา เราไม่รู้สึกเจ็บแสบอะไรเลย หรือโกรธแค้นอะไรเลย เพราะอะไร เพราะเราไม่ถือ แต่ที่เราเป็นทุกข์ เราร้อนเพราะเราถือกับคำพูดของเขา แถมเอาตัวตนเข้าไปรับด้วย คนที่ด่าเราบางทีเหมือนกับคนที่พ่นตะปูใส่เรา แล้วเราก็เอาตัวไปรับ ก็เลยเจ็บ แต่ที่จริงเราทำมากกว่านั้น เพราะว่าบางครั้งตะปูนี่มันตกหล่นอยู่บนพื้น แต่เราก็กลับคว้าเอาตะปูนั้นมาทิ่มตัวเราๆ
ตอนที่เราถูกเขาด่าว่าแล้วเราเจ็บเราปวด ในช่วงเวลานั้น มันก็สมเหตุสมผล เหมือนกับว่าเขาพ่นตะปูใส่เรา แล้วเราก็เอาตัวไปรับก็เลยเจ็บ แต่หลังจากที่เขาด่าว่าไปแล้ว คำต่อว่าเป็นอดีตไปแล้ว แต่ทำไมเรายังเจ็บอยู่ ทำไมเรายังปวดอยู่ ก็เพราะว่าเราเอาคำต่อว่าของเขาซึ่งเป็นอดีตไปแล้วมาทิ่มแทงใจของเรา เหมือนกับว่าตะปูนี่มันตกหล่นอยู่บนถนนแล้ว เราก็ไปหยิบมาทิ่มเรา
ตอนที่เราทุกข์หรือปวดครั้งแรกเมื่อถูกด่า อันนี้ก็อาจสมเหตุสมผล แต่ว่าทุกข์ครั้งที่ 2 ปวดครั้งที่ 3 ครั้งที่ 4 นี่ หลังจากที่เหตุการณ์มันผ่านไปแล้วเป็นวันหรือเป็นเดือน แต่ที่เรายังเจ็บอยู่เพราะอะไร เพราะเราไปคว้าเอาตะปูที่มันตกอยู่บนถนนอยู่บนพื้น มาทิ่มแทงเราอีกครั้งที่ 2 ครั้งที่ 3 ครั้งที่ 4 เสร็จแล้วเราก็ไปโทษว่าเป็นเพราะเขาว่าเราๆ แต่เราไม่ได้ดูให้เห็นว่าจริงๆ เป็นเพราะใจของเรา
นี่เป็นเพราะเราไม่ได้สังเกตดูใจของเรา ถ้าเราสังเกตดูใจของเรา จะเห็นเลยว่าเป็นเพราะใจของเราต่างหาก เหมือนกับที่ชี้ให้ดูว่าที่ปัดมดระหว่างเดินจงกรม ปัดขากางเกง ไม่ใช่เพราะมดกัดหรอก แต่เป็นเพราะความรู้สึกว่ากูเจ็บ ความรู้สึกลบ ยินร้ายกับความเจ็บ รวมทั้งความอยากจะให้ความเจ็บนั้นบรรเทา ความอยากจะให้ความเจ็บมันหายไป รวมทั้งความอยากปัด รวมทั้งความลืมตัว ขาดสติ
ทั้งหมดนี้เป็นกระบวนการทางจิต ซึ่งเป็นเหตุแห่งการกระทำ ฉะนั้นถ้าเรามองให้ละเอียด เราจะเห็นว่าสาเหตุมันอยู่ที่ใจ ไม่ใช่อยู่ที่ภายนอก ไม่ใช่สาเหตุแห่งการที่เราปัดอย่างเดียว สาเหตุแห่งความทุกข์ด้วย ถ้าเราหมั่นดูใจของเรา มันจะเห็น แต่ถ้าเราไม่สังเกต ไม่ดูใจของเรา เราก็จะโทษภายนอก แล้วเราก็ไม่สามารถจะแก้ทุกข์ได้อย่างแท้จริงหรืออย่างถูกต้อง.