พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมเย็นวันที่ 16 กันยายน 2565
เดี๋ยวนี้ การมาที่วัดป่าสุคะโตนี่ ไม่ใช่เรื่องยากแล้ว เพราะว่าถนนหนทางดีขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก อีกทั้งผู้คนจำนวนมากก็มีรถส่วนตัวกัน จะมาที่นี่ก็ไม่ต้องนั่งรถทัวร์รถประจำทางมาก็ได้ แต่ที่ยากก็คือการมาที่นี่แล้วก็มาปฏิบัติด้วย
ปฏิบัติในที่นี้หมายถึงการมาเจริญสติทำกรรมฐาน แม้ว่าจะใช้เวลาแค่ 3-4 วัน หรือ 4-5 วัน ก็เป็นเรื่องยากสำหรับหลายคน บางคนอาจจะบอกว่าไม่มีเวลา ยังมีภาระที่ต้องดูแลลูก ดูแลพ่อแม่ หรือตัวเองก็อาจจะเจ็บป่วย สุขภาพไม่ค่อยดี จะมาใช้ชีวิตที่ลำบาก ในความเข้าใจของตัวเอง ที่นี่มันไม่สะดวก
แต่ทั้งๆ ที่หลายคนก็มีเวลา แล้วก็ไม่ได้มีภาระที่บ้าน ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่ หรือลูก หรือคู่ครอง แต่ก็มีเหตุผลที่ทำให้รู้สึกว่าการมาที่นี่เป็นเรื่องยาก อาจจะเป็นเพราะรู้สึกว่าการมาปฏิบัติที่นี่ มันเป็นเรื่องที่น่าเบื่อ ไม่อยากที่จะมาอยู่กับตัวเองนานๆ เป็นวันๆ ไม่เหมือนอยู่ที่บ้าน ไม่เหมือนอยู่ที่ทำงาน
หลายคนก็รู้นะว่ามันดี การเจริญสตินี่ แต่ถึงเวลาจะมาก็มีข้ออ้างมีเหตุผลหลายอย่างว่า ยังมาไม่ได้ แต่ลึกๆ ก็อาจจะเป็นเพราะว่ายังไม่อยากมาเจอกับความเบื่อ หรือต้องมาเผชิญหน้ากับตัวเอง กับความรู้สึกต่างๆ ที่ประดังประเดเข้ามาในระหว่างการปฏิบัติ
หลายคนก็รู้สึกว่าการมาที่นี่ มันเป็นเรื่องยากเพราะการงาน อาจจะรู้สึกว่าการงานมันรัดตัว บางคนอาจจะรู้สึกว่าจะทิ้งงานมาอยู่ที่นี่ มาภาวนา เดินไปเดินมา ดูมันจะไม่มีอะไรเป็นมรรคเป็นผล หรือว่ารู้สึกผิดที่ทิ้งงานให้เพื่อนๆ ต้องรับภาระแทนเรา หรือบางคนอาจจะรู้สึกว่ามีงานเยอะแยะไปหมดเลย จะมาใช้เวลา 3-4 วัน หรือ 4-5 วันที่นี่ มันดูเปล่าประโยชน์ รู้สึกผิดที่จะต้องทิ้งงานมาอยู่ที่นี่
แต่ที่จริง ถ้ามองว่าการมาที่นี่ หรือการมาปฏิบัตินี่ มันก็เป็นงานอย่างหนึ่งนะ หลายคนพอรู้สึกว่านี่ก็เป็นงานอย่างหนึ่ง มันก็ทำให้รู้สึกเต็มใจที่จะมา เพราะมีคนบางประเภทที่เขาเรียกว่าเป็นพวกบ้างาน workaholic แม้แต่จะไปเที่ยว ไปสนุกสนานก็ยังรู้สึกผิดที่จะทำแบบนั้น หรือแม้แต่่จะนอนพักผ่อน บางทีก็รู้สึกผิด เพราะว่าไม่ได้ทำงาน โดยเฉพาะงานที่เป็นการช่วยเหลือผู้อื่น เช่น งานรักษาคนไข้ งานรักษาผู้ป่วย
แต่ถ้าลองมองว่าการมาที่นี่มันก็คืองานอย่างหนึ่ง เป็นแต่ว่ามันเป็นงานภายใน งานที่เราทำ ที่เราทิ้งไว้ที่กรุงเทพฯ หรือที่ไหน มันเป็นงานภายนอก ชีวิตคนเรามันไม่ได้มีแค่งานภายนอก แต่เรามีงานภายในด้วย ซึ่งมันจะช่วยเสริมให้งานภายนอกเป็นไปด้วยดีมีคุณภาพ มันไม่ได้เป็นการเสียเวลา หรือไม่ได้เป็นการทำให้งานที่เราทำมันน้อยลงเลย จริงอยู่เราอาจจะต้องปลีกเวลามาทำงานภายใน แต่มันก็ช่วยเสริมให้งานภายนอกดีขึ้น
มันเหมือนกับคนที่มีอาชีพเลื่อยไม้ ถ้าเขาเอาแต่เลื่อยไม้อย่างเดียว โดยที่ไม่มีเวลาหยุดมาลับคมเลื่อยเลย เขาจะพบว่ายิ่งทำๆ นี่ คุณภาพของงานมันก็แย่ลง เดิมอาจจะใช้เวลาเลื่อยไม้แต่ละต้นๆ นี่ 1 ชั่วโมงเลื่อยได้ 1 ต้น แต่พอเลื่อยไปๆ มันอาจจะต้องใช้เวลา 2 ชั่วโมงกว่าจะเลื่อยได้ 1 ต้น คนบางคนอาจคิดว่าวันหนึ่งแต่เดิมเลื่อยได้ 10 ต้น แต่เดี๋ยวนี้เลื่อยได้แค่ 7 ต้น ทำยังไงจะเลื่อยได้ 10 ต้นเหมือนเดิม
หลายคนอาจจะคิดว่าก็ต้องทำงานให้นานขึ้น แต่ก่อนทำ 8 ชั่วโมง ก็ต้องเขยิบหรือขยายเป็น 10 ชั่วโมง เพื่อจะได้ตัดได้ต้นไม้จำนวนเท่าเดิม แต่ยิ่งทำไปๆ นี่ปรากฏว่า 10 ชั่วโมงมันไม่พอแล้ว มันต้องขยายเป็น 12 ชั่วโมงนะถึงจะได้ต้นไม้เท่าเดิม ครั้นจะบอกว่าทำไมไม่หยุดลับคมเลื่อยละ ก็บอกเสียเวลา ขนาดไม่ได้หยุดพักเลยทำ 12 ชั่วโมง ยังได้เท่าเดิมเลย แล้วถ้าหยุดมาลับคมเลื่อยสักชั่วโมงสองชั่วโมงนี่ มันก็ยิ่งทำให้ได้ผลงานน้อยลง
แต่ที่จริงมันตรงกันข้ามนะ ถ้าหากว่าเขาลองหยุดพักแล้วก็มาลับคมเลื่อย ก็จะพบว่าแค่ 8 ชั่วโมงก็สามารถจะเลื่อยต้นไม้ได้ 10 ต้นเท่าเดิม ไม่ต้องเลื่อยถึง 12 ชั่วโมงหรือ 13 ชั่วโมง เพราะว่าคมเลื่อยมันบิ่น ถ้าลองคิดแบบนี้จะพบว่าการพักแล้วมาลับคมเลื่อย มันไม่ได้เป็นการเสียงานเลย มันกลับเป็นการทำให้งานได้ผลดีโดยใช้เวลาน้อยลง
คนจำนวนไม่น้อยไม่ได้คิดแบบนี้นะ คิดว่าถ้าจะเอาเวลาทำงานมาทำสมาธิ มาเจริญภาวนา มาเจริญสติ ไม่ว่าจะเป็นครึ่งชั่วโมงใน 1 วัน หรือ 4-5 วันใน 1 ปี มันเป็นการเสียเวลางาน ที่จริงไม่ใช่นะ มันกลับเป็นการเสริมให้งานที่ทำมีคุณภาพ โดยอาจจะใช้เวลาน้อยลงก็ได้ ไม่ใช่ทำมากขึ้นแต่ว่าคุณภาพงานกลับแย่ลงๆ แล้วคุณภาพชีวิตของคนทำก็แย่ลงด้วยนะ ไม่ใช่แค่คุณภาพงาน
ถ้ามองในแง่นี้ งานภายในจึงเป็นงานที่สำคัญมาก แม้กระทั่งสำหรับคนที่เรียกว่าบ้างานหรือว่าเป็นคนที่มีภาระความรับผิดชอบที่เป็นการงานเยอะ จะว่าไปก็เหมือนกับต้นไม้นะ ต้นไม้ยิ่งสูง ยิ่งจำเป็นต้องมีรากที่ลึก ถ้าต้นไม้สูงแต่รากตื้น มันก็โค่นได้ง่าย เวลาเจอลมแรงๆ ก็โค่นลงมาได้ง่าย
แต่ธรรมชาติไม่ใช่เช่นนั้นนะ ธรรมชาตินี่ ยิ่งต้นไม้ลำต้นสูงมากเท่าไร รากก็ยิ่งลึกๆๆ หยั่งลงไปในดินเพื่อจะได้ยึดต้นไม่ให้โค่นล้มง่าย และทำให้มีน้ำสามารถจะมาหล่อเลี้ยงลำต้น กิ่ง ใบได้ ตลอดทั้งปีเลยก็ว่าได้ แม้ว่าถึงเวลาหน้าแล้งจะไม่มีฝน
พืชล้มลุกนี่ ถ้าไม่มีฝนเพราะเป็นหน้าแล้งหรือหน้าร้อน มันก็ตาย แต่ทำไมต้นไม้หลายชนิดนี่ หน้าแล้งหน้าร้อนก็ยังมีใบเขียว แม้ว่าจะไม่มีฝนตกลงมาเลย ก็เพราะรากเขาลึก ลึกจนกระทั่งอาจจะไปถึงน้ำใต้ดิน ดูดน้ำใต้ดินมาหล่อเลี้ยงต้น กิ่ง ใบ
คนที่ทำงานภายในจนกระทั่งจิตใจมีความสงบ มั่นคง หรือสามารถจะเข้าถึงความสุขภายในได้ ก็สามารถที่จะช่วยทำให้การทำงานแม้จะยากลำบากอย่างไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องรับผิดชอบด้วยมีตำแหน่งฐานะสูงมากเท่าไร ยิ่งต้องมีฐานภายในที่ลึก รับผิดชอบมากมีตำแหน่งสูงๆ แต่ว่าฐานภายในตื้นนี่ ไม่นานก็เสียศูนย์ หรืออาจจะเหนื่อยล้า งานไม่มีคุณภาพ หรือแย่กว่านั้น ก็คือกลายเป็นถูกกิเลสเล่นงาน ถูกอัตตาเล่นงาน แทนที่จะทำเพื่อผู้อื่น ก็กลับกลายเป็นการทำเพื่อตัวเอง
งานภายนอกถ้าหากว่าเป็นงานที่มีประโยชน์ ยิ่งต้องอาศัยงานภายในที่จะช่วยให้ด้านในใจเกิดความสงบเย็น มันจะเกื้อกูลกัน ทำให้ทำประโยชน์ได้ยั่งยืน แล้วก็ไม่ทำให้การทำประโยชน์กับผู้อื่นกลายเป็นการหาประโยชน์ใส่ตัว เพราะตกอยู่ในอำนาจของกิเลส
อย่างที่เราพบบ่อยๆ คนที่มีอุดมคติ ต้องการทำประโยชน์เพื่อสังคม แต่สุดท้ายกลายเป็นคนที่หาประโยชน์เข้าตัว เพราะว่าจิตใจไม่มั่นคง พ่ายแพ้ต่อกิเลส และที่สำคัญก็คือไม่สามารถที่จะเข้าถึงความสุขภายในได้ ก็เลยต้องไปพึ่งความสุขจากภายนอก ความสุขจากเงินทอง ชื่อเสียงเกียรติยศ อำนาจ พวกนี้มันก็ให้ความสุขกับคนเรานะ แต่ว่าเป็นความสุขชั่วคราว มันก็มีเสน่ห์นะโดยเฉพาะกับคนที่ไม่สามารถจะเข้าถึงความสุขภายในได้
ในทางตรงข้าม ถ้าคนเราเข้าถึงความสุขภายใน มันก็ไม่โหยหาความสุขจากภายนอก ความสุขจากทรัพย์สินเงินทอง ความสุขจากการเสพ ความสุขจากการมีครอบครอง ยศ ทรัพย์ อำนาจ แต่ถ้าหากไม่สามารถเข้าถึงความสุขภายในได้ มันก็ตกเป็นทาสของยศ ทรัพย์ อำนาจได้ง่าย เพราะมันเป็นแหล่งความสุขอย่างเดียวที่รู้จัก หรือเข้าถึงได้
เพราะฉะนั้น เราจึงควรเปิดโอกาสให้ตัวเองได้มาภาวนา ได้มาเจริญสติ ได้มาเติมฐานใจให้หยั่งลึก ถ้าฐานใจหยั่งตื้น มันก็คงคล้ายๆ กับธูปยักษ์ เมื่อสัก 20 ปีที่แล้วเคยมีธูปยักษ์ สูงมากเลยนะ คนสร้างต้องการสร้างให้เป็นธูปที่สูงที่สุดในโลก อยู่แถวนครปฐม ตั้ง 40 เมตร วันดีคืนดีธูปก็โดนพายุพัด พังลงมาเลย คงจะมีคนตายด้วย
มีคนบอกว่าน่าจะเป็นเพราะธูปมันสูงไป ที่จริงไม่ใช่เป็นเพราะธูปมันสูงไปหรอกนะ แต่เป็นเพราะว่าฐานของธูปมันตื้น ตึกที่สูงกว่า 40 เมตรมีเยอะแยะ 40 เมตรของธูปยักษ์นี่มันไม่ได้สูงไปหรอก แต่ที่มันเป็นปัญหาก็เพราะมันมีฐานที่ตื้น ถ้าฐานมันลึก จะเจอพายุมันก็ไม่โค่น ไม่ล้มพังครืนลงมา
ฉะนั้น ถ้าเรามองแง่นี้ การทำงานภายในเพื่อทำให้ฐานใจหยั่งลึกเพื่อนำให้เกิดความสงบ หรือความมั่นคงเข้มแข็ง รวมทั้งความสุขด้วยนี้ จึงเป็นสิ่งสำคัญ และเราก็ควรจะเปิดโอกาสให้ตัวเอง หรือจิตใจของตัวเองได้รับสิ่งนี้ด้วย เพราะมันจะช่วยทำให้จิตใจของเรามีความสุขสดชื่น คนจำนวนไม่น้อยไม่ยอมเปิดตัวเองให้ได้รับโอกาสนี้ แม้ว่าจะเจตนาดี แต่สุดท้ายก็ทำงานจนเสียศูนย์ แล้วคุณภาพชีวิตก็แย่ งานที่ทำก็แย่ลงไปเรื่อยๆ จนกระทั่งบางทีสร้างปัญหาให้กับผู้คน
การที่เรามาเจริญสติ มาภาวนาที่นี่ มันควรจะถือว่าเป็นงานอย่างหนึ่ง แต่เป็นไปเพื่อทำให้เกิดความสงบเย็นมั่นคงในจิตใจ และไปช่วยเสริมให้งานภายนอกเกิดประโยชน์อย่างแท้จริง
ท่านอาจารย์พุทธทาสบอกว่า “ชีวิตที่ดี คือ ชีวิตที่สงบเย็นและเป็นประโยชน์” สงบเย็นเพราะว่าจิตใจได้รับการดูแลเอาใจใส่ จนกระทั่งฐานใจมันลึก เข้าถึงความจริงที่ลึกซึ้ง อันนี้เรียกว่าเป็นเพราะรู้จักทำจิต ส่วนประโยชน์ก็หมายถึง การทำกิจหรือเป็นงานภายนอก
ชีวิตคนเราก็ต้องมีทั้ง ๒ อย่างนะ ทั้งทำจิตแล้วก็ทำกิจ หรือว่ามีทั้งงานภายในแล้วก็งานภายนอก และที่จริง ถ้าหากว่างานภายในเราทำได้ดี มันจะไม่ใช่แค่เกื้อกูลต่องานภายนอกอย่างเดียว มันเป็นประโยชน์ต่อชีวิตของเราทั้งหมดเลย มันไม่ใช่เพียงแค่ช่วยทำให้งานที่เราทำเป็นประโยชน์อย่างแท้จริง
แต่ถ้าเราไม่มีตรงนี้ ก็กลับกลายเป็นว่าแทนที่เราจะทำงาน งานมันก็ทำเราแทน คนทุกวันนี้ไม่ได้ทำงานหรอกนะ แต่ว่างานมันทำ ทำคืออะไร คือกระทำ ให้ตัวเองเหนื่อยล้า หรือชีวิตบิดเบี้ยวผิดเพี้ยน แต่ถ้าเรามีคุณภาพจิตที่ดี งานมันทำเราได้ยากนะ มีแต่ว่าเราทำงานมากกว่า
เพราะฉะนั้นเมื่อเรามาที่นี่ก็ให้ถือว่าสิ่งที่เราทำนี้มันมีคุณค่า แต่ทั้งๆ ที่เราพูดว่ามันเป็นการทำงานอย่างหนึ่งนะ แต่พอเราลงมือปฏิบัตินี้ ทัศนคติหรือวิธีการที่เราใช้ในการทำงานภายนอกนี่ เราอาจจะต้องวางลงก็ได้
เวลาทำงานภายนอกนี่ เราต้องอาศัยความมุ่งมั่น บางทีต้องอาศัยการทำอย่างหน้าดำคร่ำเคร่ง แล้วก็พยายามที่จะควบคุมปัจจัยต่างๆ เพื่อให้งานออกมาดี พยายามควบคุมตัวแปรต่างๆ เพื่อให้งานออกมาตรงตามเป้า บางทีมีเคพีไอ KPI มีพารามิเตอร์อะไรต่างๆ เยอะแยะไปหมด
แต่ว่าพอเรามาทำงานภายใน โดยเฉพาะการเจริญสตินี่ มันต้องใช้ท่าทีอีกแบบหนึ่งเลยนะ จะเรียกว่าคนละโหมดกันเลยก็ได้ โดยเฉพาะการเจริญสติที่นี่ ถ้าเราทำด้วยหน้าดำคร่ำเคร่ง มันก็จะยิ่งทำให้เราหลงทิศหลงทางมากขึ้น
เวลาเรามาเจริญสตินี่ ถ้าเราคิดจะควบคุมอะไรต่อมิอะไรอย่างที่เราทำในการทำงานนี่ บางทีกลับไปไม่ถึงไหนนะ เช่น พยายามควบคุมจิต พยายามควบคุมความคิด เพราะว่าเราตั้งใจจะมาเพื่อสัมผัสกับความสงบ เพื่อพักใจ เพราะฉะนั้นจะต้องพยายามไม่ให้มีความคิดเกิดขึ้น พยายามควบคุมความคิด อย่างที่เราพยายามควบคุมตัวแปรต่างๆ เวลาเราทำงาน ท่าทีแบบนี้มันกลับเป็นอุปสรรคต่อการทำงานภายใน
เราต้องยอมอนุญาตให้ความคิดและอารมณ์ต่างๆ เกิดขึ้นได้ อันนี้เป็นเรื่องยากเพราะเรามักจะมองว่าความคิดและอารมณ์ต่างๆ เช่น ความหงุดหงิด ความฟุ้งซ่าน พวกนี้เป็นอุปสรรคขัดขวางการภาวนา ทำให้ใจไม่สงบ แต่ที่นี่เราเน้นเรื่องการเจริญสติ เน้นเรื่องการสร้างความรู้สึกตัว มันไม่มี KPI มากมาย ไม่มีพารามิเตอร์มากมาย มันมีแค่ตัวเดียวนะ ความรู้สึกตัว ซึ่งอาจจะดูเหมือนว่าเป็นเรื่องพื้นๆ เรื่องที่ไม่สลักสำคัญเลย แต่ที่จริงมันสำคัญนะ
คนสมัยก่อนนี่ เวลาอวยพรลูกหลานเขาจะอวยพรว่า “ขอให้รู้เนื้อรู้ตัวนะลูก” ไม่ได้อวยพรอะไรมากมาย ลึกลับซับซ้อนอะไรเลย “ขอให้รู้เนื้อรู้ตัว” เพราะคนเฒ่าคนแก่เขารู้ว่า ถ้าเพียงแค่รู้เนื้อรู้ตัวนี่ มันช่วยได้เยอะเลยนะ ช่วยทำให้ชีวิตนี้เกิดความเจริญงอกงาม เบิกบานผ่องใส แค่ความรู้สึกตัวตัวเดียวนี่ มันมีคุณค่ามหาศาลเลย
และการที่เราจะมีความรู้สึกตัวได้ หรือกลับมาสู่ความรู้สึกตัวนี่ มันก็มีเคล็ดลับนะ ก็คือว่าต้องยอมอนุญาตให้ความคิดและอารมณ์ต่างๆ เกิดขึ้น อย่าไปมองว่ามันเป็นอุปสรรค ใหม่ๆ หลายคนอาจจะไม่ยอมนะ จะเข้าไปพยายามบังคับควบคุมจิตเพื่อไม่ให้มีความคิด ไม่ให้มีอารมณ์ต่างๆ แต่การทำเช่นนั้น มันก็ยิ่งทำให้เกิดความเครียด
หลายคนทำแล้วเครียดเพราะพยายามไปควบคุมความคิด พยายามไปบังคับจิตไม่ให้คิด พยายามผลักไสอารมณ์ต่างๆ ต้องยอมนะ อนุญาตให้มันเกิดขึ้นได้
พระพุทธเจ้าท่านเปรียบจิตว่าเหมือนกับ “บ้าน” หรือ “เรือนพักคนเดินทาง” เรือนพักคนเดินทางนี่ คนจากทั่วสารทิศก็มาพักได้ บางทีก็มีพระราชา บางทีก็มีเศรษฐี บางทีก็มีวณิพกมาพัก จิตของเราก็เหมือนกันนะ มันก็มีอารมณ์ต่างๆ ความคิดต่างๆ สารพัดเกิดขึ้นมา หรือเข้ามาในจิตของเรา ห้ามไม่ได้ แต่ว่าเรารู้ทัน มันได้รู้ เมื่อมันมารู้ เมื่อมันเกิดขึ้น และยิ่งรู้นี่นะ สติก็จะยิ่งพัฒนา ความรู้สึกตัวก็จะยิ่งเกิดขึ้น
หลวงพ่อเทียนท่านพูดย้ำอยู่เสมอนะ อย่าไปห้ามคิด ท่านถึงกับบอกว่า “ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้” นะ “รู้” ในที่นี้ คือ “รู้สึกตัว” รวมทั้ง “รู้ทัน” ความคิดด้วย แต่ก่อนคิด 100 ไม่รู้เลยนะ มันไหลไปตามความคิดหมด หรือมันหลงไปกับความคิด แต่พอเริ่มปฏิบัติ แล้วก็ไม่ควบคุมความคิดนี่ มันคิดก็เริ่มจะรู้แล้ว คิดร้อยก็รู้ 10 ทำไปเรื่อยๆ ก็จะรู้ 20 แล้วก็รู้ 30 คือ รู้ทันความคิด
ที่รู้ทันเพราะอะไร เพราะว่ามีความคิดเป็นแบบฝึกหัด เหมือนกับเป็นการบ้าน และยิ่งรู้ทันความคิด มันก็ยิ่งเกิดความรู้สึกตัวตามมา อันนี้คือสิ่งสำคัญที่คนขยันทำงาน ทำงานด้วยความมุ่งมั่นนี่ จะทำใจลำบาก เพราะเขาจะพยายามมุ่งให้ได้ความสำเร็จ ความสำเร็จคือจิตที่สงบ พอหวังผลสัมฤทธิ์แบบนี้ เขาจะพยายามควบคุมทุกตัวแปรเพื่อให้จิตสงบ ซึ่งรวมไปถึงการควบคุมความคิด สุดท้ายจิตก็ยิ่งเครียดยิ่งฟุ้ง ทำไปก็ยิ่งทุกข์
เพราะฉะนั้น ต้องยอมนะ อนุญาตให้ทุกอารมณ์มันเกิดขึ้นได้ แล้วมันก็จะเป็นตัวที่ค่อยๆ ฝึกจิตของเราให้มีสติ มีความรู้สึกตัวมากขึ้น อันนี้เป็นการบ้านอย่างแรกที่เราควรจะฝึกหรือทำให้ได้ แล้วมันก็จะนำไปสู่ความก้าวหน้าในการปฏิบัติในลำดับต่อๆไป.