พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมก่อนฉันเช้าวันที่ 16 กันยายน 2565
มีฝรั่งคนหนึ่ง จะเรียกว่าเขาเป็นนักผจญภัยก็ไม่เชิง แต่ว่าสิ่งที่เขาทำมันเหมือนกับเป็นการผจญภัย คือเขามีรถเต่าอยู่คันหนึ่งโทรมๆ เขาเริ่มออกเดินทางจากเหนือสุดของทวีปอเมริกาเหนือ คืออลาสก้า อลาสก้าอยู่เหนือสุดเลยของอเมริกาเหนือ แล้วเขาขับรถลงมาจุดหมายคือใต้สุดของอเมริกา คืออเมริกาใต้ ก็คืออาร์เจนตินา ถนนนี่ยาวเกือบ 5 หมื่นกิโลเมตร
คือราว 48,000 กิโลเมตร ใช้เวลาหลายเดือน ที่น่าสนใจคือว่า เขาไม่พกเงินเลย เขาตั้งใจ ถ้าพูดภาษาไทยคือแม้แต่บาทเดียว แล้วเขาก็คาดหวังว่า เขาจะเอาชีวิตรอดถึงจุดหมายให้ได้โดยอาศัยน้ำใจของผู้คนระหว่างทาง
คือเขาอยากจะรู้ว่า คนเราถ้าไม่มีเงินสักบาทเลยหรือไม่มีสักเหรียญเลย จะอยู่รอดได้ไหม จะอาศัยน้ำใจของผู้คน ระยะทางเกือบ 5 หมื่นกิโลเมตรนี่ได้มั้ย แล้วเขาคงคิดว่ามันได้มั้ง เขาก็เลยทดลอง
แล้วเขาก็พบว่า มันได้จริงๆ ไม่มีเงินสักบาทไม่มีเงินสักเหรียญ ใช้วิธีการขอ ขอข้าวกิน ขอที่พัก ขอค่าน้ำมัน ก็ไม่ใช่ง่ายนะ เพราะสมัยนี้ไม่มีใครที่จะให้อะไรง่ายๆ โดยที่ไม่มีผลตอบแทน แต่เขาทำได้ จนกระทั่งถึงจุดหมายปลายทาง คือใต้สุดของอเมริกาใต้
แล้วก็พบอย่างหนึ่ง ที่จริงพบหลายอย่าง อย่างหนึ่งคือว่า คนในเมืองเล็กเขาจะมีน้ำใจมากกว่าคนในเมืองใหญ่ ในเมืองใหญ่นี่ขอข้าวขออาหาร ยากนะ แต่ในเมืองเล็กขอข้าวขอที่พัก ง่ายกว่า
แล้วยังพบอีกอย่างหนึ่งว่า คนจนจะมีน้ำใจมากกว่าคนรวย เขาเคยไปขออาหารตามย่านที่ผู้คนมีฐานะ ไม่ได้เลย
แต่ว่าวันหนึ่งเขาไปเจอเพิงเจอร้านแผงลอยเล็กๆ อยู่ในตรอกในซอย เขาบอกขออาหารกินได้มั้ย แม่ค้านี่นอกจากให้อาหารเขาแล้ว ยังชวนเขาไปพักที่บ้าน เพราะรู้ว่าผู้ชายคนนี้ ซึ่งเป็นชาวอังกฤษวัยกลางคน ไม่มีที่พัก เป็นคนเดินทาง เป็นคนแปลกหน้า
บ้านของผู้หญิงคนนี้ก็เป็นเพิงเล็กๆ มีคนอยู่ตั้ง 5-6 คน เขาได้อาหาร เขาได้ที่พัก พอเขาจะกลับคือเขาจะเดินทางต่อ เขาบอกขอบคุณมากนะ แล้วก็อยากจะตอบแทนน้ำใจ ผู้หญิงคนนั้นบอกว่า ไม่ต้องหรอกนะ ฉันให้ฟรี ฉันให้เปล่า
ผู้ชายคนนี้ก็ถามว่า แล้วทำไมถึงมีน้ำใจแบบนี้ ผู้หญิงคนนั้นบอกว่า ฉันเคยยากจนมาก่อน ที่จริงตอนนี้ก็ยังยากจน แต่ว่าทุกวันนี้ฉันเคยยากจนมาก่อน แล้วก็รู้ว่าชีวิตที่ยากจน ลำบากอย่างไร แล้วพ่อแม่ก็สอนว่า ต้องรู้จักช่วยเหลือคนอื่นอยู่เสมอ
นี่คือประสบการณ์ที่เขาได้รับจากการเดินทางที่เป็นแรมเดือน ที่เขาอยู่รอดได้เพราะน้ำใจของผู้คน โดยเฉพาะคนในเมืองเล็ก คนในหมู่บ้าน แล้วก็โดยเฉพาะคนยากคนจน น่าคิดนะ ว่าทำไมคนยากคนจนถึงมีน้ำใจ ทั้งที่เขาเองก็ไม่ค่อยมีอยู่แล้ว
อาจจะเป็นเพราะว่า คนยากคนจนรู้รสชาติของความหิวโหย รู้รสชาติของความไม่มีที่หลับที่นอน พูดง่ายๆคือ รู้รสชาติของความยากลำบาก แล้วก็รู้ด้วยว่าการได้รับการช่วยเหลือ หรือความมีน้ำใจจากคนอื่น เป็นเหมือนกับโชค หรือเป็นเหมือนกับพรอันประเสริฐ
คนที่ยากลำบาก ถ้าหากได้รับความช่วยเหลือจากคนอื่น ซึ่งเป็นคนแปลกหน้านี่ มันมีความสุขมาก มันเหมือนกับน้ำทิพย์ชโลมใจ เพราะฉะนั้นเมื่อเจอคนที่ทุกข์ยาก คนยากคนจน เขาจะรู้เลยถึงหัวอกของคนเหล่านั้น รู้ว่าลำบากยังไง แล้วก็รู้ด้วยว่า ถ้าช่วยเขาแม้เพียงเล็กน้อย มันจะช่วยทำให้เขามีกำลังใจมาก ก็เลยหยิบยื่นความช่วยเหลือให้
ผู้ชายคนนี้แกเล่าว่า ที่แกมีความคิดหรือมีโครงการนี้ เพราะว่าตอนเด็กๆ ถูกกลั่นแกล้ง ถูกคนเอาเปรียบ สมัยนี้เรียกว่าบูลลี่ (bully) แล้วก็รู้สึกคับแค้น แล้วก็อดไม่ได้ที่จะคิดว่า คนทั้งโลกเป็นแบบนี้หรือ แต่อีกใจหนึ่งคิดว่า คงไม่เป็นอย่างนั้นหรอก คนดีๆ คนมีน้ำใจ ก็น่าจะมีนะ ไม่ใช่มีแต่คนเห็นแก่ตัวอย่างเดียว
แล้วเขาก็เลยอยากจะพิสูจน์ ว่าในโลกนี้จะมีคนมีน้ำใจจริงหรือเปล่า หรือว่ามีแต่คนเห็นแก่ตัว เขาก็ดีนะ ก่อนที่เขาจะสรุปว่าในโลกนี้มันคนเห็นแก่ตัว เขาอยากจะพิสูจน์อยากจะทดลองว่าจริงไหม
แล้วเขาก็พบว่ามันไม่จริง คนมีน้ำใจก็มีเยอะแยะ มีน้ำใจกับคนแปลกหน้า ให้อาหาร ให้ที่พัก ให้เงินเป็นค่าน้ำมัน แล้วก็ให้อะไรต่ออะไรสารพัดอย่าง ยังมีอยู่นะ แล้วก็พบว่า น้ำใจได้จากคนยากคนจนนี่ไม่น้อย
อันนี้ทำให้นึกถึงประสบการณ์ของคนไทยคนหนึ่ง แกเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย แล้วก็ไปทำปริญญาเอกที่ประเทศฟิลิปปินส์ วิทยานิพนธ์ของเขา เป็นเรื่องของคนจรจัดหรือคนไร้บ้าน อยากจะรู้ว่าคนไร้บ้านอยู่กันอย่างไร เขาก็ไปเรียนรู้ที่ประเทศฟิลิปปินส์
วิธีการของเขาคือ ปลอมตัวเป็นคนไร้บ้าน แล้วก็ไปใช้ชีวิตปะปนอยู่กับคนไร้บ้านในฟิลิปปินส์ โดยเฉพาะในกรุงมะนิลา แล้วเขาก็ได้เรียนรู้อะไรหลายๆอย่างเกี่ยวกับคนไร้บ้าน ประสบการณ์อย่างหนึ่งที่เขาประทับใจคือ ความมีน้ำใจ
เวลาเขาอยู่กับคนไร้บ้าน เขาก็พกเงินไม่มาก แล้วก็ไม่แสดงตัวว่าเป็นนักศึกษา เขาใช้ชีวิตอย่างยากจน นอนข้างถนนเหมือนกับคนอื่น แล้วจะกินอาหารบางทีก็ไปขอเอา จากโบสถ์ที่เขามีการแจกอาหาร
มีคราวหนึ่งเขาจะไปหาเพื่อน เพื่อนๆที่เป็นคนไร้บ้านพอรู้เข้า เขาถามเลยว่ามีเงินมั้ย มีเงินค่ารถมั้ย บางคนควักเงินให้เลยนะ 5 เปโซ 10 เปโซ บอกว่าเอาไปเถอะ เผื่อตกรถจะได้มีเงินใช้เดินทาง
มีน้ำใจมากเลย ทั้งๆที่คนไร้บ้านเขาไม่ค่อยมีเงินอยู่แล้ว แต่พร้อมจะควักเงินให้กับเพื่อน ซึ่งเป็นคนต่างชาติเป็นคนไทย แต่ก็ไม่ได้สงสัยเลย ว่าคนไทยทำไมมาเป็นคนไร้บ้าน เขาก็ให้เหตุผลว่าไม่มีเงิน ไม่มีเงินกลับบ้านก็เลยมาเป็นคนไร้บ้านในกรุงมะนิลา
มีคราวหนึ่งเขาไม่สบาย เพื่อนที่เป็นคนไร้บ้านคนหนึ่งถามว่า เป็นอะไร มียากินมั้ย อย่างนี้ต้องกินยาพารานะ หายาพารามาให้ อีกคนหนึ่งบอกว่า พาราต้องกินหลังอาหารนะ กินข้าวหรือยัง สงสัยยังไม่ได้กินข้าวเลย เอาไปเลยนะ 20 เปโซ ให้เลยโดยที่ไม่ทันขอเลย ทั้งที่เจ้าตัวเองก็ไม่ค่อยมีเงิอยู่แล้ว
เขาพบเลยว่า คนยากจนนี่มีน้ำใจมาก ไม่ค่อยได้คิดถึงตัวเองเท่าไหร่ ตอนหลังเขาต้องเปิดเผยตัวเอง ว่าเป็นนักศึกษาปริญญาเอก แล้วก็ขอบคุณขอบอกขอบใจเพื่อนๆ ที่เป็นคนไร้บ้านมาก
ความมีน้ำใจหาได้ง่ายจากคนยากคนจน เพราะว่าพวกนี้เขารู้ว่า รสชาติของความทุกข์ยากเป็นอย่างไร แล้วก็รู้ว่าความช่วยเหลือแม้เพียงเล็กน้อย มันมีความหมายอย่างไร เขาเคยมีความสุขเมื่อได้รับความช่วยเหลือจากคนอื่น เขาก็เลยอยากแบ่งปันความสุขนั้นให้กับคนอื่นบ้าง เวลารู้ว่าเขาเดือดร้อน
อีกคนหนึ่งที่ทำคล้ายๆ กับฝรั่งคนนี้ แต่ว่าไม่ได้ทำแบบขับรถเดินทางไกล 5 หมื่นกิโล แต่ว่าใช้วิธีเดินเท้า จากเชียงใหม่ไปสมุย คืออาจารย์ประมวล เพ็งจันทร์ เดินเท้าเมื่อ 10 กว่าปีก่อน
นอกจากไม่พกเงินแล้ว ยังมีกติกาอย่างหนึ่งคือ จะไม่ขอ ฝรั่งคนที่ว่านี้ยังขอ แต่อาจารย์ประมวลจะไม่ขอเลย เอาชีวิตฝากไว้กับความเมตตากรุณาของผู้คนสองข้างทางล้วนๆ แล้วจะไม่แวะไปบ้านคนที่รู้จักด้วย
ปรากฏว่าตลอดเวลา 2 เดือน ระยะทางพันกว่ากิโลเมตร เดินเท้า ปรากฏว่าไปถึงสมุยได้ เพราะว่ามีคนช่วยเหลือเอื้อเฟื้อตลอดเส้นทาง ทั้งที่ไม่ได้ขอ แต่ว่าคนเห็นสารรูปแล้ว ก็มีคนถามเลย กินอะไรมาหรือยัง บางทีก็ยัดให้เลยอาหาร หรือบางทีก็ให้เงิน ยิ่งเห็นแกแต่งตัวปอนๆ เพราะว่าเดินทางมาไกล บางคนก็นึกว่าเป็นคนบ้า แต่ว่าก็ให้ เห็นเดือดร้อน
บางทีอาจารย์ประมวลนี่สลบเลย ไม่มีอาหารกิน คนรู้เขาก็ช่วยเลย ไปหาอาหารมาให้ แล้วส่วนใหญ่ก็เป็นคนที่เป็นคนยากคนจน ที่พอมีฐานะหรือเป็นคนชั้นกลางก็พอมีบ้าง เห็นสาระรูปแล้ว แต่ส่วนใหญ่เป็นคนยากคนจน เพราะคนยากคนจนเขาไม่ค่อยกลัวคนที่แต่งตัวปอนๆโทรมๆ ส่วนหนึ่งเพราะรู้ว่าเขาไม่มีอะไรจะให้เหมือนกัน ไม่มีอะไรจะสูญเสีย
ส่วนคนที่มีเงินเขาก็กลัวนะคนที่แต่งตัวปอนๆ กลัวว่าจะเป็นมิจฉาชีพมั้ย เป็นขโมยมั้ย ตัวเองมีเงินเยอะก็กลัวจะสูญเสีย แต่คนยากคนจนเขาไม่กลัวนะ เพราะเขาไม่มีอะไรจะเสีย แต่มีน้ำใจที่จะให้
อันนี้เรียกว่า คนยากจนก็จริง แต่ว่ารวยน้ำใจ ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ช่วยให้สังคมและโลกนี้อยู่ได้ ถ้าไม่มีคนที่มีน้ำใจ โลกนี้คงเหมือนกับนรกเลยก็ว่าได้.