แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมเย็นวันที่ 11 กันยายน 2565
เรือนจำแห่งหนึ่งมีการจัดคอร์สสมาธิภาวนาให้กับผู้ต้องขัง แต่ให้เวลาไม่นาน อาทิตย์ละ 1 ครั้ง ๆละ 1 ชั่วโมง ก็มีผู้ต้องขังหลายคนสนใจก็เลยเกิดกลุ่มภาวนาขึ้น คนสอนเป็นอนุศาสนาจารย์ เน้นเรื่องการเจริญสติ ให้มาเห็นความคิดและอารมณ์ที่เกิดขึ้น รับรู้ความเป็นไปที่เกิดขึ้นกับกายและใจ
มีนักโทษคนหนึ่ง พอเลิกภาวนาเสร็จ แกก็มาพูดกับอนุศาสนาจารย์ซึ่งเป็นอาจารย์สอนสมาธิว่า “ผมไม่เคยมีความโกรธเลยนะ” จู่ ๆ แกก็พูดประโยคนี้ขึ้นมา ตัวนักโทษคนนี้อายุประมาณ 50 นะ ก่อนที่จะติดคุกนี่ก็เป็น CEO เป็นผู้บริหารองค์กรธุรกิจ เป็นคนที่ฉลาดมีความรู้ แล้วก็ดูสุภาพเรียบร้อย เป็นที่เคารพของลูกน้อง แต่ว่าจู่ๆ วันหนึ่งเกิดทะเลาะกับภรรยา ถึงขั้นตบตีเลยนะ โกรธมากนะ ภรรยาก็ร้องหนี ผู้ชายคนนี้ก็ไล่ทำร้าย เรียกว่าความโกรธนี่มันทะลักทลายเข้ามา แต่ตอนหลังก็รู้ตัวนะ ไปที่สถานีตำรวจยอมมอบตัว สารภาพนะว่าทำร้ายภรรยา บอก”ทำร้ายเขาเกือบตายเลยเนี่ย” แล้วแกก็สงสัยว่า เอ๊ะ..ฉันทำไปได้ยังไงเนี่ย เป็นคำถามที่เขาสงสัยมาตลอด แต่แม้เกิดเหตุการณ์แบบนี้นะ แกยังยืนยันว่าผมไม่เคยมีความโกรธเลย แบบนี้ก็มี ทำร้ายภรรยานี่เกือบตาย จนติดคุก ก็ยังกล้าที่จะพูดเต็มปากเต็มคำว่า “เนี่ย..ผมไม่มีความโกรธเลยนะ” พูดกับอาจารย์ที่สอนกรรมฐาน
อาจารย์ก็ไม่ได้ว่าอะไร ไม่ได้คาดคั้นว่า ไม่โกรธได้ยังไง คุณทำร้ายเมียเกือบตายเนี่ย อาจารย์ก็ไม่ทำอย่างนั้นนะ ไม่ต่อล้อต่อเถียงด้วย แต่ก็แนะนำว่าให้คุณลองสังเกตดูใจของคุณนะ ลองสังเกตดูว่ามีความโกรธหรือเปล่า นักโทษคนนั้นก็ฟังไปอย่างงั้นๆ แหละ เพราะว่าคิดมาตลอดเลยนะว่า “เนี่ย..ฉันไม่มีความโกรธหรอก” นี่ขนาดติดคุกเพราะทำร้ายภรรยา ก็ยังเชื่อเต็มที่เลยนะว่าฉันไม่เคยมีความโกรธ แต่ว่าหลังจากผ่านไป 2-3 อาทิตย์แกก็ยอมรับกับอาจารย์นะว่า “เนี่ย..ผมมีความโกรธ” แต่แทนที่จะเสียใจแกกลับรู้สึกดีใจนะ ผมเห็นความโกรธเป็นครั้งแรก พูดกับอาจารย์ ผมเห็นความโกรธแล้ว ผมเห็นความโกรธเป็นครั้งแรกเลย ดีใจนะที่เห็นความโกรธ
ดีใจเพราะอะไร เพราะว่าได้ค้นพบตัวเอง ค้นพบสิ่งที่ตัวเองปฏิเสธมาตลอด ซึ่งสำหรับบางคนนี่ การค้นพบว่าตัวเองมีความโกรธนี่มันเป็นข่าวร้ายนะ เพราะเคยเชื่อว่าไม่มีความโกรธมาก่อน เพราะรู้สึกว่าฉันเป็นคนดี แต่พอเห็นความโกรธนี่ บางคนรู้สึกแย่เลยนะ เหมือนกับที่หลายคนพอมาปฏิบัติธรรมแล้วเห็นว่าตัวเองเป็นคนขี้อิจฉาบ้างละ หรือว่าเป็นคนที่มีความโกรธแค้น หรือว่ามีความเห็นแก่ตัว หลายคนรู้สึกแย่เลยนะ ทำไมฉันมีนิสัยเลวร้ายแบบนี้ เคยคิดว่าตัวเองเป็นคนดี เป็นเหมือนนักบุญเลย หรือเป็นแม่พระ แต่ว่าพอมาทำกรรมฐานแล้วก็เห็นอารมณ์ร้ายๆ ของตัวนี่มันรู้สึกแย่เลย เหมือนกับว่าไอ้ตัวอัตตานี่มันถูกเล่นงาน แต่ว่าสำหรับนักโทษคนนี้กลับดีใจนะ ที่เห็นความโกรธของตัวเอง เพราะนั่นคือการค้นพบตัวเองที่ไม่เคยพบมาก่อน ถึงแม้ว่าจะเป็นการค้นพบตัวเอง หรือได้เห็นสิ่งที่ตัวเองปฏิเสธ แต่ว่ามันก็เป็นเรื่องที่น่ายินดีนะ เพราะว่าไอ้การที่จะเห็นอารมณ์ที่เกิดขึ้นในใจตัวเอง มันไม่ใช่ว่าจะเห็นได้ง่ายนะ โดยเฉพาะคนที่ติดดี
ฉันเป็นคนดี ฉันเป็นคนที่สุภาพเรียบร้อย พอมีความโกรธเกิดขึ้นนี่ มันยอมรับไม่ได้ คิดว่านี่คงเป็นสิ่งที่เขาเป็นมาตลอด การที่เขาไม่ยอมรับว่าตัวเองมีความโกรธ แล้วพยายามกดข่มความโกรธเอาไว้ วันดีคืนดีมันก็ระเบิดออกมา ถึงขั้นทำร้ายภรรยาซึ่งมันเป็นเรื่องที่แย่มากนะ ไปทำร้ายเขาด้วยกำลังจนกระทั่งเขาเกือบตายเลย ไอ้ความโกรธนี่ ถ้าหากว่าไม่เห็นมัน หรือว่าไม่ยอมรับเพราะพยายามกดข่มมันเอาไว้นี่ ไม่ใช่ว่าเราจะมีชัยชนะเหนือมันนะ ที่จริงความโกรธมันฉลาด มันก็รู้จักหลบรู้จักซุกซ่อน เวลาเรากดข่มมัน มันก็หลบ แล้วมันก็รอเวลาเราเผลอ ธรรมชาติของอารมณ์อกุศลก็เป็นแบบนี้แหละ มันมีความฉลาด มันมีอาการคล้ายๆ พวกนักรบจรยุทธ์ พวกนักรบจรยุทธ์ที่สู้รบในป่ากับรัฐบาลนี่ เขาจะมีคำขวัญนะ “มึงมา ข้ามุด, มึงหยุด ข้าแหย่, มึงแย่ ข้าตี, มึงหนี ข้าตาม” มันฉลาดมากเลยนะ อารมณ์อกุศล เช่น ความโกรธก็เป็นอย่างนี้แหละ พอมึงมาข้าก็มุด มึงมาหมายความว่า พอเราพยายามไปกดข่มมัน มันก็หลบ แต่พอเราเผลอ “มึงหยุด ข้าแหย่” พอเราเพลีย เพลี่ยงพล้ำ “มึงแย่ ข้าตีเลย” “มึงหนี ข้าตามนะ” มันเป็นกุศโลบายเหมือนกันของความโกรธนี่
แล้วมันก็พรางตัวนะ ทำให้เราหลงเชื่อว่าฉันไม่มีความโกรธหรอก อันนี้เป็นอุบายของความโกรธที่ทำให้เราประมาท ทำให้เราเผลอ มันไม่มีวิธีที่จะล่อหลอกเราได้ดีกว่าการที่ทำให้เราหลงเชื่อว่ามันไม่มีอยู่ในใจของเรา เจ้าตัวความโกรธรวมไปถึงกิเลสด้วย อันนี้เป็นอุบายที่ทำให้เผลอ ทำให้ประมาทได้ง่าย แล้วพอถึงเวลาที่มันจะบุกจะพรั่งพรูออกมานี่ มันก็เล่นงานจนกระทั่งหมดเนื้อหมดตัวไปเลย อย่างผู้ชายคนนี้ ทำร้ายภรรยาจนปางตาย ตอนนั้นมันโกรธ โกรธมาก จนกระทั่งลืมตัวไปหมด ตกอยู่ในอำนาจของมันอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด กว่าจะรู้ตัวก็ติดคุกไปเสียแล้ว แม้กระนั้นก็ยังปากแข็งนะว่า “เนี่ย..ผมไม่มีความโกรธหรอก” แต่ก็ดีนะเพราะว่าพอเขาได้เจริญสติ ได้ทำสมาธิภาวนา ทำให้เห็นความโกรธเกิดขึ้นในใจ และเขาก็กล้าพอที่จะยอมรับ ซึ่งตรงนี้มันต้องอาศัยความซื่อตรง การภาวนานี่นอกจากใช้ความขยันหมั่นเพียร มันต้องมีความซื่อตรงด้วย คือยอมรับตัวเอง ยอมรับว่ามันมีกิเลส มันมีด้านลบด้านมืดอยู่ในใจของเรา
นักภาวนาหลายคนไม่มีความซื่อตรง ไม่ยอมรับว่าตัวเองมีกิเลส มีความเห็นแก่ตัว มีความโลภ มีความอิจฉา ก็เลยยังหลงคิดไปว่าฉันเป็นคนดี หรือว่าประเสริฐ เท่านั้นยังไม่พอ ยังคิดว่าตัวเองดีกว่าคนอื่นด้วย แต่คนที่เขาซื่อตรงกับตัวเอง และกล้ายอมรับว่ามีความไม่ดีในใจ ก็จะยิ่งกลายเป็นคนถ่อมตัว ถ่อมตัวว่าฉันก็ไม่ได้วิเศษไปกว่าคนอื่นเท่าไร คนเราจะดูว่าการปฏิบัติก้าวหน้าหรือไม่ก็ดูตรงนี้ด้วยว่า ปฏิบัติแล้วถ่อมตัวมากขึ้นหรือรู้สึกว่าตัวเองนี่ไม่ได้วิเศษไปกว่าคนอื่น หรือปฏิบัติแล้วยิ่งยกตนข่มท่าน ถือว่าฉันนี่เหนือกว่าคนอื่น ฉันนี่ประเสริฐกว่าคนอื่น ถ้าคิดแบบนี้ก็แสดงว่ายังไม่มีความซื่อตรงต่อตัวเองเพียงพอหรือว่ามีความกล้า แต่ผู้ชายคนนี้ พอเขาเห็นความโกรธนี่แทนที่จะเสียใจว่า “โอ๊ย..ทำไมฉันมีนิสัยแบบนี้” กลับดีใจเพราะว่ามันคือการค้นพบตัวเองที่สำคัญเลย แล้วตอนหลังเขาก็พูดนะว่าเนี่ยถึงแม้เขาสูญเสียทุกอย่าง เพราะการติดคุกทำให้สูญเสียหมดเลยนะ สูญเสียสถานะ สูญเสียเสรีภาพ สูญเสียชื่อเสียง หรืออาจจะสูญเสีย ครอบครัว แต่ว่าสิ่งที่เขาได้มานี่ คือการได้รู้จักตัวเอง และทำให้เขามีความสุขมากนะ ถือว่ามันเป็นสิ่งคุ้มค่ามาก
การภาวนานี่ที่สำคัญ มันไม่ใช่ความสงบนะ สิ่งสำคัญที่มีค่ายิ่งกว่าความสงบก็คือ การที่เราได้เห็น อารมณ์ เห็นความคิดที่มันผุดขึ้นมา และตรงนี้แหละมันจะทำให้เราสามารถที่จะเป็นอิสระจากความคิดและอารมณ์ แทนที่จะตกเป็นทาสของมัน ถูกความคิดดึงไป หลอกล่อ หรือว่าถูกอารมณ์ครอบงำ บงการจิตใจ เราก็สามารถที่จะเป็นอิสระจากมัน หรือเป็นนายเหนือมันได้ ความคิดนี่ ถ้าหากว่าเราไม่รู้ทันมัน มันก็เป็นนายเหนือเรา แต่ถ้าเรารู้ทันนะ เราก็เป็นนายมัน ความคิดมันเป็นบ่าวที่ดีแต่เป็นนายที่เลวนะ คนไม่ค่อยตระหนักเท่าไร มันเป็นบ่าวที่ดีถ้าเรารู้จักใช้มัน ใช้มันแก้ปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นปัญหาเรื่องชีวิต ปัญหาเรื่องทำมาหากิน หรือแม้กระทั่งปัญหาในทางธรรม ความคิดนี่ถ้าเรารู้จักใช้มัน มันมีประโยชน์ แต่ถ้าเราปล่อยให้มันเป็นนายเรานี่ เราแย่เลย
มันก็เหมือนกับเงินนะ เป็นบ่าวที่ดีแต่เป็นนายที่เลว คนที่รู้จักใช้เงิน เขาก็สามารถสร้างความสุขและประโยชน์สุขให้กับตนเองและกับส่วนรวมได้ แต่ถ้าหากว่าปล่อยให้มันเป็นนายเรานี่ มันพาเราเข้ารกเข้าพงเลย ทำให้ชีวิตเราตกต่ำย่ำแย่ ต้องผิดศีลผิดธรรม คอรัปชั่น หรือบางทีก็ทำร้ายคนที่เรารัก บางคนถึงกับฆ่าพ่อฆ่าแม่เพื่อจะได้ฮุบเอาสมบัติ หรือบางทีก็ฆ่าพี่น้องเพื่อจะได้ฮุบเอามรดกจากพ่อแม่ มันเสียหายมากมายเลยนะ อย่างที่เป็นข่าวมากมายก็เพราะคนเรานี่ยอมตกเป็นทาสของเงิน แต่ถ้ารู้จักใช้เงินนะ เงินก็กลายเป็นบ่าวที่ดี เหมือนกับหลวงพ่อคูณ ท่านบอกว่า กูใช้เงินแบบไม่มีความเมตตาเลย ใช้คนกูยังมีเมตตาให้หยุดเสาร์อาทิตย์บ้างนะ แต่ใช้เงินนี่กูไม่มีเมตตาเลย เสาร์อาทิตย์กูก็ใช้ คือแจกนะ แจกให้คนที่เขาเดือดร้อน ไม่มีวันหยุดเลย กูใช้เงินนี่เพราะว่ากูเป็นนายมัน กูไม่ได้เป็นข้าทาสของมัน กูเลยใช้มันอย่างไม่มีเมตตา
ความคิดก็เหมือนกันนะ อารมณ์ก็เหมือนกัน โดยเฉพาะความคิดนี่เป็นบ่าวที่ดี เป็นนายที่เลว ถ้าเราปล่อยให้มันเป็นนายเมื่อไร เรากินไม่ได้นอนไม่หลับ ต้องไปทะเลาะเบาะแว้งกับผู้คน เพราะว่าเขาคิดไม่เหมือนเรา เขาคิดต่างจากเรา หรือคิดต่างจากสิ่งที่อยู่ในหัวของเรา บางทีก็ฆ่ากันเพราะความคิดที่ต่างกัน ฆ่าเพื่อปกป้องความคิดที่อยู่ในหัวของเรา ฆ่าคนอื่นเพราะเขาคิดต่างจากสิ่งที่อยู่ในหัวของเรา อันนี้เกิดขึ้นไปทั่ว ฆ่ากันในนามของอุดมการณ์ทางการเมือง ฆ่ากันในนามของอุดมการณ์ทางเศรษฐกิจ หรือเพื่อปกป้องศาสนาตามความเชื่อของตัว หรือฆ่าคนเพื่อพิทักษ์ความถูกต้องตามความคิดของตัว อย่างที่เรียกว่าทำชั่วเพื่อพิทักษ์ความถูกต้อง อันนี้ก็ทำไปเพราะความคิด แต่ถ้าเรารู้ทันความคิดนะ มันจะหลอกให้เราทำชั่วได้ยาก
อารมณ์ก็เหมือนกัน ถ้าเราไม่รู้ทันอารมณ์ เราก็จะตกเป็นทาสของมัน ปล่อยให้มันบงการ ไม่ว่าจะเป็นความโกรธ ความเศร้า เวลาเศร้านี่ ความเศร้ามันก็จะหลอกให้เราเศร้าไปเรื่อย สรรหาเหตุผลมากมายว่าเราควรเศร้า เพราะถ้าเราไม่เศร้าแสดงว่าเราไม่รักเขา ถ้าเรารักเขาเราต้องเศร้า ต้องเศร้าไปเรื่อยๆ ถ้าหายเศร้าเมื่อไรแสดงว่าไม่รักเขา ไม่ว่าคนนั้นจะเป็นพ่อ แม่ หรือลูก มันก็หลอกให้เราจมอยู่ในความเศร้า ดำดิ่งอยู่ในความเศร้า จนกระทั่งกลายเป็นโรคซึมเศร้าไปเลย หรือความโกรธก็เหมือนกัน มันก็จะหลอกจะล่อ สรรหาเหตุผลให้เราโกรธ เพื่อความถูกต้อง เพื่อจะได้สั่งสอนมัน ไม่ให้มันทำสิ่งที่ไม่ถูกต้องต่อไป ฉะนั้นเนี่ย ไม่ใช่โกรธอย่างเดียว ต้องจัดการด้วย
ความห่วงความใยก็เหมือนกันนะ ถ้าห่วงใยลูกนี่ต้องคิดถึงลูกตลอดเวลาจนนอนไม่หลับ มีครูคนหนึ่งมาปฏิบัติธรรมกับหลวงพ่อคำเขียน ตอนหลังก็รู้นะ วิธีการละการวางทำให้เวลานอนนี่ก็นอนหลับได้ง่าย ส่วนภรรยานอนไม่ค่อยหลับเพราะห่วงลูก ลูกไปเรียนที่กรุงเทพฯ ตัวเองนอนไม่หลับยังไม่พอ ไม่พอใจสามีด้วย ว่าทำไมสามีนี่ไม่ห่วงลูกหรือไง ทำไมนอนหลับได้ดีเหลือเกิน ถ้าห่วงลูกก็ต้องคิดถึงลูกสิ ทำไมไม่ห่วงลูกหรือไง สามีก็บอกว่าจะห่วงไปทำไม ตอนนี้เป็นเวลานอน เราห่วงเขา มันก็ช่วยอะไรเขาไม่ได้ แล้วที่จริงนี่เขาอาจจะไม่ได้มีปัญหาที่น่าห่วงก็ได้ แต่ความห่วงมันครองใจตัวผู้เป็นแม่ มันก็เลยพยายามยั่วพยายามหลอกให้คิดถึงลูกไปเรื่อยๆ แม้จะเป็นเวลานอนก็ไม่ควรจะนอน ต้องคิดถึงลูกห่วงลูก เพราะถ้าเกิดว่าปล่อยวางไม่ห่วงลูกเมื่อไรนะ ความห่วงมันจะสูญสลายหายไป ซึ่งมันทนไม่ได้ มันต้องการอยู่ครองใจเราไปนานๆ ก็เลยต้องหาเหตุผลหาข้ออ้างให้เรา ถ้าไม่ห่วงลูกแสดงว่าไม่รักลูก จะนอนแล้วนี่ยังนอนไม่ได้ต้องคิดถึงลูกต่อไป เพื่อแสดงว่าเรายังรักลูกอยู่ แต่คนที่เป็นพ่อ เขาก็รักลูกเหมือนกันนะแต่เขาก็รู้ว่ามันไม่ใช่เวลาที่จะมาห่วง มันเป็นเวลานอน ก็รู้จักพักรู้จักหลับ
คนเราถ้าไม่รู้ทันความคิด ไม่รู้ทันอารมณ์ มันก็สามารถสร้างทุกข์ให้กับตัวเองได้ และสิ่งที่ต้องการคือความสงบนี่มันก็จะเกิดขึ้นไม่ได้เลย การภาวนานี่คนส่วนใหญ่ก็ปรารถนาแต่ความสงบ สงบที่เขาเข้าใจคือไม่คิดอะไร แล้วก็ไปห้ามความคิดหรือไปกดข่มอารมณ์ด้วย มันมีความคิดก็กดมันเอาไว้ มันมีอารมณ์เกิดขึ้นก็กดมันเอาไว้ เพราะคิดว่านี่มันจะทำให้ตัวเองสงบ แต่ที่จริงแล้ว สิ่งที่ดีกว่าก็คือ "การเห็น” เห็นความคิดและอารมณ์ ซึ่งจะเห็น หรือรู้ทันมันได้ ก็ต้องยอมให้มันเกิดขึ้น อนุญาตให้มันเกิดขึ้น ไม่กดข่มมัน ใหม่ๆ ก็ไม่เห็นนะ พอมันเกิดขึ้นทีไร มันก็ครองใจเราทันที เรียกว่า “เข้าไปเป็น” แต่ต่อไปนี่เราฝึกการเห็นบ่อยๆ ฝึกเห็นบ่อยๆ มันก็จะเห็นได้เร็วขึ้น แล้วมันก็จะเข้าไปเป็นน้อยลง พอเห็นเมื่อไรนะ มันก็จะครองใจเราไม่ได้ และนี่ก็คือการค้นพบที่สำคัญเลย เพราะมันหมายถึงการที่เราสามารถจะเป็นอิสระจากความคิดและอารมณ์ได้.