แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ปีใหม่นี้มาพร้อมกับความหวัง หลายคนรอปีใหม่เพราะว่ามีความหวังว่า มันก็ดีขึ้น ชีวิตความเป็นอยู่จะดีขึ้น ความทุกข์ความลำบากในปีก่อนมันจะบรรเทาเบาบางลง แต่ว่าสำหรับหลายคน ปีใหม่ไม่ได้มาพร้อมกับความหวังอย่างเดียว มันมาพร้อมกับความหวั่นไหว หวั่นไหวว่าเพราะคนมาบอกว่าปีนี้เป็นปีชง เป็นปีที่ชงสำหรับคนราศีนั้นราศีนี้ พอมันตรงกับราศีตัวก็เกิดความหวั่นไหวขึ้นมา เกิดความวิตกขึ้นมา เพราะไปเชื่อว่าฤกษ์ยามหรือว่าดวงดาว มันจะมีผลกำหนดชีวิตของเรา
ที่จริงถ้าเป็นชาวพุทธเรา ไม่เชื่อเรื่องปีชงหรือว่าเรื่องฤกษ์ยามทำนองนี้ ชาวพุทธเราเชื่อเรื่องกรรมหรือการกระทำ ฤกษ์ดียามดีไม่ได้อยู่ที่ดวงดาว ไม่ได้อยู่ที่ว่ามันเป็นปีชงสำหรับเราหรือเปล่า แต่มันอยู่ที่การกระทำของเราที่เรียกว่ากรรม
อย่างที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า
“สัตว์ทั้งหลายประพฤติสุจริตด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจในเวลาเช้า เวลาเช้าเป็นเวลาดีของสัตว์ทั้งหลาย
สัตว์เหล่าใดประพฤติสุจริตด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจในเวลาบ่ายเวลาบ่ายเป็นเวลาดีของสัตว์เหล่านั้น
สัตว์เหล่าใดประพฤติสุจริตด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจในเวลาเย็นเวลาเย็นนั้นเป็นเวลาดีของสัตว์เหล่านั้น
แล้วพระองค์ก็สรุปว่า สัตว์เหล่าเราใด ประพฤติชอบในเวลาใด เวลานั้นก็เป็นฤกษ์ดี ยามดี ขณะดีของสัตว์เหล่านั้น
เพราะฉะนั้น ถ้าเราอยากให้เป็นปีนี้เป็นปีที่ดี อยากให้เป็นวันนี้เป็นวันที่ดี อยากให้ชั่วโมงนี้เป็นชั่วโมงที่ดี มันก็ไม่มีอะไรดีกว่าการทำความดี ประพฤติชอบ สุจริตทั้งกาย วาจาและใจ อย่างอื่นเป็นส่วนประกอบ ซึ่งอาจจะไม่มีความหมายเท่าไรเลยก็ได้
ชาวพุทธเราเชื่อเรื่องกรรมเรื่องการกระทำยิ่งกว่าฤกษ์ยามหรือว่าดวงดาว ไม่ใช่ว่าสิ่งเหล่านั้นไม่มีผล ก็มีผลเหมือนกับเวลา เวลาเช้า เวลาบ่าย เวลาเย็น เวลาเช้าเราจะรู้สึกแจ่มใส เวลาเย็นเราอาจจะรู้สึกเย็นสบาย เวลาบ่ายเราอาจจะรู้สึกว่าอาจจะรุ่มร้อนอยู่บ้าง เพราะมันเป็นเรื่องของภูมิอากาศ ดินฟ้าอากาศ
แต่ว่าถ้าเกิดว่าเราทำไม่ดี แม้จะเป็นเวลาเช้า จิตใจเราก็หม่นมัวหม่นหมองได้ เพราะอาจจะคิดลบคิดร้าย หรือว่าทำสิ่งใดที่ไม่ถูกต้อง ผิดศีล เวลาเย็นแม้ว่าอากาศจะเย็นสบาย แต่จิตใจอาจจะรุ่มร้อนได้เพราะว่าเราได้ทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ไปลักขโมยหรือว่าไปต่อว่าด่าทอใคร แล้วเกิดความกังวลวิตก
อันนี้ก็มันไม่ได้เป็นเพราะดินฟ้าอากาศ แต่เป็นเพราะการกระทำของเรา เวลาก็มีส่วน แต่ว่ามันไม่สำคัญเท่ากับการกระทำของเรา
เพราะฉะนั้น ถ้าเราอยากให้เวลานี้เป็นเวลาที่ดี เป็นวันที่ดี ก็ต้องทำความดี ทำความดีในที่นี้มีความหมายกว้าง เช่น ขยันหมั่นเพียรซื่อสัตย์สุจริต ไม่คดโกงใคร ไม่เบียดเบียนใคร แต่บางครั้งแม้เราจะทำดีแล้ว ประพฤติชอบแล้ว แต่ว่ามันก็ยังมีอุปสรรค มีปัญหา ทำดีแล้วคนก็ยังต่อว่า ทำดีแล้วงานก็ยังไม่สำเร็จ หรือเพียรพยายามแล้วปรากฏว่าทรัพย์สินเกิดเสียหายขึ้นมา อันนี้ไม่ได้เกี่ยวกับฤกษ์ยาม แต่มันเป็นธรรมดาของโลก ธรรมดาของโลกมันมีขึ้นมีลงมีความไม่จีรังยั่งยืน
อย่างที่เขาว่าโลกนี้หมุนเวียนไปตามสิ่งที่เรียกว่าโลกธรรม 8 ได้ลาภก็มีเสื่อมลาภ ได้ยศก็มีเสื่อมยศ ได้รับคำสรรเสริญก็เจอคำนินทา มีกับหมดเป็นของคู่กัน ได้กับเสีย เจอกับจาก พบแล้วก็มีพราก รักแล้วก็มีเลิก
เพราะฉะนั้น เวลาเจอเหตุการณ์แบบนี้ อย่าไปโทษว่า ไม่ได้ใส่เสื้อที่เป็นสีมงคล หรือสีรถไม่ใช่สีมงคลเพราะว่าเป็นปีชง
มันเป็นธรรมดาที่ทุกคนต้องประสบอย่างที่เราสวดมนต์ทุกวัน “เรามีความแก่เป็นธรรมดา จะล่วงพ้นความแก่ไปไม่ได้ เรามีความเจ็บไข้เป็นธรรมดา จะล่วงพ้นความเจ็บไข้ไปไม่ได้ เราจะต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจทั้งนั้น..” ยังไม่ต้องพูดเรื่องความตายก็ได้
เพราะฉะนั้น แม้ว่าเราจะทำดีเพียงใด เราก็อาจจะมีเหตุติดขัดบ้าง มันก็ไม่ได้เกี่ยวกับปีชง แต่มันเป็นธรรมดาของโลกที่ทุกคนต้องประสบ
ในทางตรงข้าม แม้ว่าจะเป็นปีที่ดีสำหรับผู้คนบางราศี มีการทำนายทายทักว่าปีนี้เป็นปีที่ดีของเรา แต่ถ้าหากว่าเราไม่ระมัดระวังการกระทำของเรา มันก็อาจจะเกิดความเดือดร้อนขึ้นมาได้ เช่นขับรถเร็ว 150 กิโลเมตรต่อชั่วโมงหรือถึง 200 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แม้ว่าจะขับรถที่มีสีมงคล หรือดูฤกษ์แล้วเป็นฤกษ์ที่ดี ก็อาจจะเกิดอุบัติเหตุได้ แล้วก็มีโอกาสเกิดอุบัติเหตุได้สูงด้วย
หรือว่า แม้จะเป็นเรื่องฤกษ์ดี แต่กินเหล้าจนเมามายขับรถ อย่างนี้ฤกษ์ก็ช่วยไม่ได้ หรือแม้แต่จะสวมพระเครื่องราคา 10 ล้าน 20 ล้านหรือเป็นร้อยล้าน แขวนพระสมเด็จของแท้เลย แต่ว่าถ้าประมาท ถ้าเมามาย มันก็ต้องเกิดเคราะห์เกิดอุบัติเหตุ
เพราะฉะนั้น จะไปหวังพึ่งโชค หวังพึ่งดวง หวังพึ่งฤกษ์พึ่งยาม หรือไปยึดติดถือมั่นว่าปีนี้เป็นปีชง จิตใจหวั่นไหว อันนี้มันไม่ถูก ถ้าเป็นชาวพุทธ ทำดีเอาไว้ดีที่สุด ไม่ว่ามันจะชงหรือไม่ชง โดยเฉพาะไม่ใช่แค่ทำดีด้วยกาย วาจา ทำที่ใจด้วย ใจที่มีสติ มีปัญญา แล้วถ้ามีปัญญาเข้าใจความจริงของชีวิต เวลาเจอความผันผวนปรวนแปรเจอความเสื่อมความสูญเสียความพลัดพราก ซึ่งเป็นธรรมดาโลกปัญญาก็ช่วยรักษาใจได้ไม่ให้ทุกข์ได้ ก็ยังคงปกติสุขอยู่ได้
อันนี้เป็นเพราะว่า ประพฤติชอบ ไม่ใช่ด้วยกายด้วยวาจา แต่ด้วยใจ อย่างไรก็ตามถ้าหากว่า ยังมีความเชื่ออยู่ เรื่องปีชง ถ้าหากว่าช่วยบรรเทาความรู้สึกหวั่นไหวด้วยการทำความดี ก็ยังเป็นเรื่องที่ดี เช่นทำบุญ ไถ่ชีวิตวัวชีวิตควาย ปล่อยนกปล่อยกา ทำสังฆทานหรือว่าไปเป็นจิตอาสา บริจาคเลือด รวมทั้งสวดมนต์นั่งสมาธิ อันนี้ก็ยังดีเชื่อว่าเป็นปีชงแต่ว่าพยายามบรรเทาด้วยการทำความดี แบบนี้ไม่เสียหาย
อาจจะดีก็ได้ เพราะเป็นการชักนำเราให้หันมาทำความดีให้มากขึ้น ที่ไม่เคยบริจาคเลือดก็มาบริจาคเลือด ที่ไม่เคยสวดมนต์นั่งทำสมาธิก็มานั่งสวดมนต์ทำสมาธิ นี้ก็ถือว่าดี แล้วก็ควรจะทำอย่างนี้เยอะๆ ไม่ว่าจะเป็นปีชงหรือไม่ ก็ทำไปเรื่อยๆ ทำไปตลอด
แต่ถ้าหากว่า ไม่มีสติ ไม่มีปัญญา ก็โดนคนหลอกง่าย เดี๋ยวนี้ก็คนมาหลอกว่าจะแก้จะมาสะเดาะเคราะห์คนปีนั้นปีนี้ให้มันหายชง ก็เรียกเก็บเงินเป็นพันเป็นหมื่น อย่างนี้อันนี้ไม่ดี ต้องระวัง อย่าไปให้เขาหลอก อย่าให้ความหวั่นไหวในใจของเราถูกชักนำไปสู่การถูกหลอก
แต่ว่าถ้ามีความหวั่นไหวแล้ว หันมาทำความดีมากขึ้น ทำบุญทำกุศลมากขึ้นอย่างที่ว่ามานั้น ก็ยังถือว่าดีอยู่ เพราะฉะนั้น ถ้ายังเชื่อเรื่องนี้อยู่ก็ให้หันไปทำความดีเยอะๆ สร้างบุญสร้างกุศลให้มากๆ อย่าไปปล่อยให้เขาหลอกเรา หรือถ้าไม่เชื่อเลย แต่ว่าทำความดีเชื่อกรรม มั่นใจว่าทำดีเวลาใดเวลานั้นคือฤกษ์ดียามดี ทำดีตลอดปี ปีนั้นก็เป็นปีที่ดี อย่างนี้ถือว่าดีที่สุด.