แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
คนเราไม่ว่าจะร่ำรวยหรือยากจน มีความรู้มากมายเพียงใดหรือว่าเรียนน้อยรู้น้อย ก็ไม่สามารถจะหลีกหนีวิกฤตได้ เพราะมันเกิดกับมนุษย์ทุกคนได้เสมอ แล้วก็ไม่เลือกเวลา ไม่ได้ขึ้นอยู่กับยุคสมัย แม้ว่าเราจะมีเทคโนโลยีทันสมัยหรือวิทยาการล้ำยุค ไม่ว่าปัจจุบันหรืออนาคต ก็ไม่มีทางที่เราจะหนีวิกฤตพ้น
วิกฤตที่ว่านี้ถ้าจะว่าไปแล้ว มันก็ล้วนไม่พ้นกับ 4 สิ่ง 1) ทรัพย์สินเงินทอง 2) ร่างกาย เช่น สุขภาพ ความเจ็บป่วย 3) งานการ สำหรับเด็กก็การเรียน 4) ความสัมพันธ์กับผู้คน ให้เราลองดู มนุษย์เรา 7 พันล้านกว่าคน วิกฤตแต่ละคนแตกต่างกันไป ก็ไม่พ้นกับวิกฤต 4 ประการนี้
สิ่งที่เรียกว่าวิกฤตทรัพย์สินเงินทอง เช่น เงินทอง ค่าเงินอ่อน หุ้นตก ยากจน เป็นหนี้เป็นสิน หรือว่าความเจ็บป่วยด้วยโรคร้าย หรือแม้กระทั่งการมีรูปร่างที่ไม่ถูกใจ ในแง่หนึ่ง สำหรับบางคนเพียงแค่มีสิวก็เป็นวิกฤตของชีวิต มองในแง่นี้ วิกฤตเป็นเรื่อง ซับเจคทีฟมากเลย บางคนการเป็นหนี้เป็นสินหรือรายได้ลดลงถือเป็นเรื่องธรรมดา แต่สำหรับบางคนถือเป็นวิกฤตมากเลยแม้ไม่ถึงขั้นล้มละลาย
บางคน เพียงแค่โทรศัพท์มือถือหาย หรือเพชรนิลจินดาถูกลักขโมย มันก็กลายเป็นวิกฤตสำหรับคนเหล่านั้นได้เหมือนกัน คราวนี้นอกจากวิกฤตที่เกี่ยวกับทรัพย์สินเงินทอง สุขภาพร่างกายแล้ว วิกฤตที่เกี่ยวกับงานการก็เหมือนกัน ตกงาน ไม่มีงานทำ หรือว่าได้งานที่ไม่ถูกใจ สอบเข้ามหาวิทยาลัยไม่ได้ซึ่งวัยรุ่นถือเป็นวิกฤตขนาดอยากฆ่าตัวตายได้เลย สมัยอาตมาให้ความสำคัญกับเรื่องนี้กัน ทั้งที่สามารถที่ไปเรียนรามคำแหงได้
และวิกฤตที่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ อกหัก มีปัญหาขัดแย้งกับเจ้านาย หรือกับเพื่อนบ้านที่กำแพงติดกันรวมถึงความสูญเสียคนรัก ไม่มีใครหนีพ้นความสูญเสียพลัดพรากที่สืบเนื่อง หรือมีผลกระทบกับเงินทอง ทรัพย์สินเงินทอง ร่างกาย การงาน และความสัมพันธ์ แต่เมื่อมันเกิดขึ้นแล้วเราจะทำอย่างไรใจจริงไม่ทุกข์
อย่างแรก ยอมรับความจริง เมื่อมันเกิดวิกฤตแล้ว หรือเกิดปัญหาแล้วไม่ยอมรับ บ่นโวยวายตีโพยตีพาย กลายเป็นซ้ำเติม มันไม่ใช่แค่เสียเงินหรือเสียทรัพย์ แต่ว่าเสียใจ พอเสียใจแล้วกินไม่ได้นอนไม่หลับ ก็เสียสุขภาพ แล้วทำงานทำการไม่ได้ หมดเรี่ยวหมดแรง ก็มาเสียความสัมพันธ์ด้วย เพราะเมื่อหดหู่ ใครพูดอะไรไม่ถูกหูก็เกิดความหงุดหงิด เกิดความโกรธ บางทีเขาหยอกล้อด้วยความคุ้นเคย แต่เราไม่สนุกด้วยก็ด่าเขาไป ก็เสียความสัมพันธ์
จากเสียเงิน มันก็ลุกลามไปเป็นเสียใจ เสียสุขภาพ เสียงาน เสียความสัมพันธ์ อันนี้เรียกว่าแทนที่จะเสีย 1 ก็เสีย 4 เสีย 5 ต้องเสียผู้เสียคน ทั้งหมดนี้เกิดจากการไม่ยอมรับความจริง ถ้าเรายอมรับได้ เราก็จะเสียแค่ 1 หรือเจ็บป่วย ถ้ายอมรับได้ แม้ว่าโรคที่เกิดขึ้นจะแรง มันก็จะป่วยแต่กาย ใจไม่ป่วยด้วย เวลางานล้มเหลว ถ้ายอมรับได้ไม่บ่นโวยวาย มันก็ล้มเหลวแต่งาน แต่ชีวิตจิตใจไม่ล้มเหลวด้วย
จะเห็นได้ว่าเพียงแค่ว่าเรายอมรับความจริง อย่างน้อยก็ช่วยทำให้วิกฤตไม่ลุกลามไปสู่เรื่องอื่น มันทำให้ความสูญเสียถูกจำกัด ไม่ขยายไปสู่ความสูญเสียด้านอื่น แล้วมันยังทำให้เราสามารถที่จะมีสติที่จะหาทางแก้ไขกับปัญหาที่เกิดขึ้นได้
มีผู้หญิงคนหนึ่งอายุ 30 แล้ววันหนึ่งเธอพบว่าเป็นมะเร็งในกระเพาะปัสสาวะ ชนิดที่เกิดขึ้นกับคนแก่ ผู้สูงวัย เธอทำใจไม่ได้ เธอโกรธหมอที่วินิจฉัยโรคช้า ทำให้โรคลุกลาม เธอเหวี่ยงวีนใส่คนรอบข้างแม้กระทั่งพ่อแม่เพื่อนฝูงแต่เมื่อเธอหันมาสนใจปฏิบัติธรรมมาดูจิตดูใจของตัว ก็พบว่าความทุกข์ส่วนใหญ่หรือก้อนใหญ่มันเกิดจากใจที่ไม่ยอมรับ ไม่ยอมรับความจริง ไม่ยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น
แต่พอเธอทำใจยอมรับได้ ความทุกข์ใจมันเบาบางเลย แม้ว่าโรคจะลุกลามไปมาก แต่ใจเธอสงบกว่าเดิม เธอพูดไว้น่าสนใจว่า ความจริงบางครั้งก็โหดร้าย แต่การไม่ยอมรับความจริงต่างหากที่โหดร้ายกว่า เพราะมันเหมือนคุกที่ขังใจเราเอาไว้ เป็นคำพูดที่สัจธรรม
เพราะว่าเมื่อใดก็ตามที่เราเจอวิกฤตเจอความสูญเสียแล้วเราไม่ยอมรับ ชีวิตจะก้าวต่อไปไม่ได้ มันจะหลงติดอยู่กับอดีต อยู่กับความสูญเสีย แล้วก็ไม่สามารถที่จะก้าวเดินออกไปข้างหน้าได้ รวมทั้งไม่มีสติปัญญาที่จะแก้ไขเหตุการณ์หรือบรรเทาเหตุการณ์ได้
เพราะฉะนั้น อย่างแรกที่เราควรจะทำถ้าเรารักตัวเอง ก็คือ ยอมรับความจริง ยอมรับว่ามันเกิดขึ้นแล้ว ป่วยการที่จะบ่นตีโพยตีพาย หรือถ้าจะให้ดีก็ยอมรับว่า มันเป็นธรรมดาที่เกิดขึ้นกับใครก็ได้ ถ้ายังบ่นว่าทำไมต้องเป็นเรา นั่นแสดงว่าเรายอมรับไม่ได้ แต่เมื่อใดก็ตามที่เรายอมรับ ตระหนักว่าใครๆเขาก็เป็นกัน ทำไมจะเป็นกับเราไม่ได้ อันนี้ก็จะช่วยทำให้ปลดใจ หลุดออกจากห่วง ช่วยปล่อยวางภาระต่างๆที่กดทับเอาไว้ได้
สิ่งหนึ่งที่ทำให้เรายอมรับความจริงได้ก็คือ ยอมรับวิกฤตได้ว่า มันไม่มีอะไรที่จีรังยั่งยืน ความทุกข์ก็เช่นเดียวกัน วิกฤตก็เช่นเดียวกัน
มีคนหนึ่งติดคุกทั้งๆที่เขาไม่ได้ทำความผิดเลย เขาคับแค้น เขาเจ็บปวดมาก แต่วันหนึ่งเขาสังเกตว่ากำแพงในห้องขังเขา มีคนเขียนข้อความไว้ว่า แล้วมันก็จะผ่านไป ข้อความนี้ทำให้เขามีกำลังใจและยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น ยอมรับชะตากรรมที่เกิดขึ้นได้ เขาเลิกบ่นเลิกโวยวาย แล้วเวลาก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ในที่สุดเขาก็เป็นอิสระ
ก็เป็นจริงอย่างที่ข้อความนั้นกล่าว แล้วมันก็จะผ่านไป เพราะฉะนั้นเวลาเราเจอวิกฤตไม่ว่าจะเป็นความทุกข์เพียงใดก็ขอให้เราตระหนักว่า ความทุกข์นั้นไม่นานก็ผ่านไป เหตุการณ์บางอย่างมันอาจจะไม่ผ่านไปได้ง่ายๆหรืออาจจะไม่มีทางฟื้นกลับคืนมาได้
เช่นคนที่เสียขา เสียอวัยวะ หรืออุบัติเหตุ แขนขาอาจจะไม่สามารถกลับคืนมาได้ แต่ความทุกข์เพราะการสูญเสีย มันจะเลือนหายไปในที่สุด คนที่ตาบอด คนที่เสียขา คนที่ประสบอุบัติเหตุกลายเป็นคนพิการ วันแรกเขาทุกข์มาก แต่ผ่านไป 3-4 ปี เขาจะกลับมายิ้มได้หัวเราะได้ ความรู้สึกติดลบ มันก็ผ่านไปจนกระทั่งความรู้สึกกลับมาเป็นปกติ
มีคนวิจัยพบว่า คน 2 คน คนหนึ่งถูกลอตเตอรี่รางวัลที่ 1 อีกคนหนึ่งพิการ เสียแขนเสียขาหรือตาบอดเมื่อเวลาผ่านไป 3 ปี 4 ปี 5 ปี ความรู้สึกของคนสองคนนี้ไม่ต่างกันเลย ทั้งๆที่ตอนเกิดเหตุการณ์ใหม่ๆ คนหนึ่งดีใจสุดๆ อีกคนหนึ่งเสียใจสุดๆ แต่กาลเวลาจะช่วยทำให้ความเสียใจบรรเทาเบาบางลงไป ที่ เคยติดลบ 10 ก็ลดลงมาเป็น 0 ส่วนคนที่มีความดีใจสุดที่พุ่งไป 10 เมื่อเวลาผ่านไปมันก็จะค่อยๆลดลงจนเหลือเป็น 0
เพราะฉะนั้น เมื่อผ่านไปช่วงหนึ่ง คนหนึ่งได้โชคลาภ ถูกรางวัลที่ 1 กับคนที่เจอวิกฤตสูญเสียสิ่งต่างๆเอากลับคืนมาไม่ได้ แต่สุดท้ายนั้น ความรู้สึกในใจไม่ต่างกันเลย เพราะอะไร เพราะไม่มีอะไรที่จีรัง
เพราะฉะนั้นเวลาเราทุกข์ เจอวิกฤต ให้ตระหนักว่าไม่นานก็จะผ่านไป แต่ในระหว่างที่ยังไม่ผ่านไป ไม่ว่าตัวเหตุการณ์ก็ดี ตัวความรู้สึกข้อดี นอกจากการยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว การรู้จักอยู่กับปัจจุบันก็สำคัญ เพราะความทุกข์หลายอย่างเกิดจากความคิดโดยเฉพาะเมื่อเราคิดไปถึงอนาคต
ความทุกข์บางอย่างไม่ได้เลวร้ายเท่าไร แต่คนเราจินตนาการไปเราหดหู่เราห่อเหี่ยวเลย อย่างเช่น คนที่เป็นมะเร็งแม้จะเป็นระยะที่ 1 ระยะที่ 2 มันยังไม่ถึงกับทำให้ชีวิตเกิดวิกฤต ยังสามารถใช้ชีวิตตามปกติได้ แต่สำหรับบางคนพบตัวว่าเป็นมะเร็งแค่ระยะ1 ระยะ 2 ถึงกับทรุดเลย กินไม่ได้นอนไม่หลับหมดอาลัยตายอยากกับชีวิต เสื้อผ้าหน้าผมไม่สนใจเพราะอะไร เพราะว่าเขาจินตนาการไปถึงอนาคตว่ามันจะเลวร้ายเพียงใด บางทีก็ไปนึกถึงความตายที่จะเกิดขึ้นในเร็วๆนี้
ความคิดแบบนี้ที่ทำร้ายเรา โรคมันไม่ได้ทำร้ายเราขนาดนั้น แต่ความคิดที่ไหลไปสู่อนาคตมันทำร้ายเรา มันทำให้เราย่ำแย่ บางทีใจก็ไหลถึงอดีต นึกถึงความสูญเสียที่เกิดขึ้นแล้วก็คับแค้น ก่นด่าชะตากรรมหรือถึงแม้กระทั่งนึกถึงความสุขที่เคยมีอย่างสมัยที่เป็นหนุ่มเป็นสาว ในสมัยที่ได้อยู่กับคนรัก สมัยที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกว้างขวาง แต่ทั้งหมดนั้นมันกลายเป็นอดีตไปแล้ว ใครที่ไปนึกไปจมอยู่กับความรุ่งเรืองในอดีต จะมีความทุกข์มากกับสิ่งที่เป็นอยู่กับปัจจุบัน แม้จะไม่เจอวิกฤตเลยแต่ว่าก็ห่อเหี่ยว
ก็เหมือนกับหลายคนที่เป็นทุกข์ในช่วงโควิด มีล็อกดาวน์ กินอิ่มนอนอุ่น ไม่ได้เจ็บป่วยอะไร แต่มันทุกข์เพราะนึกถึงช่วงก่อนโควิดว่ายังไปไหนมาไหนได้ เที่ยวได้ ช็อปได้ ไปหาเพื่อนฝูงได้ แต่วันนี้ทำไม่ได้มันก็เลยห่อเหี่ยว มันก็เลยเกิดความรู้สึกปฏิเสธสิ่งที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ไม่ว่าจะนึกถึงวันวานอันหวานชื่นหรือวันคืนอันขื่นขม ก็สามารถที่จะทำให้เราทุกข์ในปัจจุบันได้ อย่างนี้เรียกว่าไม่รู้จักอยู่กับปัจจุบัน
ยิ่งคนที่ประสบกับวิกฤต มันง่ายที่จะปล่อยใจปรุงแต่งไปกับความเลวร้ายในอนาคต บางคนธุรกิจล้มละลาย ถูกยึดบ้าน ถูกยึดรถ ที่จริงใช้ชีวิตตามปกติได้ แต่พอไปนึกถึงว่าไม่มีรถไม่มีบ้าน จะอยู่ยังไง คนเขาจะมองเราอย่างไร จินตนาการปรุงแต่งไปก็ทำให้ใจห่อเหี่ยวจนกระทั่งไม่อยากสู้หน้าผู้คน แล้วบางคนก็เลือกที่จะฆ่าตัวตายหลังจากที่ล้มละลาย ทั้งที่ตัวเองล้มบนฟูกแท้ๆ แต่ใจไม่ยอมอยู่กับปัจจุบัน ไปอยู่กับอนาคต สร้างภาพในทางลบในทางร้าย
เราจะสามารถอยู่กับวิกฤตได้ด้วยใจที่ไม่ทุกข์ เพราะว่าใจอยู่กับปัจจุบัน ชื่นชมในสิ่งดีๆที่มีอยู่ แม้ว่าเราจะเจอความสูญเสียหลายอย่าง แต่ก็มีหลายอย่างดีๆที่เรายังมีอยู่ ทรัพย์สินเงินทองหายแต่เรายังมีสุขภาพที่ดี เรายังมีพ่อแม่ มีคนรักข้างกาย ถ้าเราอยู่กับปัจจุบันเป็น เราก็จะมองเห็นสิ่งนี้ เรารู้จักชื่นชมสิ่งดีๆที่เรามีอยู่ และสิ่งนี้จะช่วยหล่อเลี้ยงให้เรามีกำลังใจที่จะอยู่จนพ้นผ่านวิกฤตได้
ไม่ว่าเราจะเจ็บป่วยอย่างไร มันก็ไม่ได้แปลว่าเราไม่มีอะไรดีเหลืออยู่เลย อาตมาเคยพูดกับคนที่เป็นมะเร็งบ่อยๆ คนที่พบว่าตัวเองเป็นมะเร็งว่า “โยมไม่ได้เป็นมะเร็งนะ โยมแค่มีมะเร็งอยู่ในตัว” มันต่างกันระหว่างเป็นมะเร็งกับมีมะเร็ง
เป็นมะเร็ง คือว่ามันเป็นทั้งหมดของเรา แต่มีมะเร็งก็คือว่า มะเร็งเป็นแค่ส่วนหนึ่งในชีวิตของเรา อวัยวะเรามีร้อย อาจจะมีแค่ 1-2 ส่วนที่เป็นมะเร็ง แต่อีก 98 อย่างยังดีอยู่ ถ้าอยู่กับปัจจุบันเป็น และรู้จักมองบวก ก็จะเห็นที่ 98 ที่ดี มันจะไม่มัวจดจ่อ 2 อย่างที่แย่ มะเร็งอาจจะเกิดขึ้นกับปอด กับตับของเรา กับกระเพาะปัสสาวะ กับกระเพาะอาหารของเรา แต่ยังมีอย่างอื่นดี มีตาที่มองเห็น ยังมีมือมีขาที่เป็นอิสระไปไหนมาไหนได้
มีคนหนึ่งเป็นธาลัสซีเมียอย่างแรงตั้งแต่เกิด ร่างกายผอม แคระแกรน ตาโปน กระดูกเปราะ แขนหักขาหักเป็น 10 ครั้ง 20 ครั้งแล้ว เมื่ออายุแค่ 30 ต้องรับเลือดเป็นประจำ หมอบอกว่าไม่รู้ว่าจะตายเมื่อไรตอนเด็กๆ หมอบอกว่าจะอยู่ได้ไม่เกิน 20 เธอก็อยู่ได้ถึง 30 กว่า ทั้งที่ไม่รู้ว่าเธอจะตายเมื่อไหร่ แต่ว่าเธอเป็นคนที่ยิ้มแย้มแจ่มใส เพราะอะไร เธอบอกว่า ฉันรู้ว่าฉันจะแย่ แต่ว่าฉันก็ยังมีตาที่มองเห็นสิ่งสวยงาม มีจมูกดมกลิ่นหอม มีหูฟังเสียงไพเราะ ฟังเสียงนกร้อง กินอะไรก็ยังอร่อย เดินเหินไปไหนมาไหนได้ แค่นี้ก็มีความสุขแล้ว
เธอไม่ได้มัวไปคิดถึงว่าฉันจะตายเมื่อไหร่ นั่นมันคืออนาคต เธอสนใจที่จะอยู่กับปัจจุบัน และเลือกที่จะมองสิ่งดีๆ ชื่นชมอวัยวะที่ยังดีอยู่ เรื่องไม่ดีก็ช่างมันไม่สนใจมัน ไปสนใจแต่สิ่งที่ดี ตาหูจมูกลิ้นกายรวมทั้งใจด้วย อันนี้เรียกว่าอยู่กับปัจจุบันเป็น คือชื่นชมสิ่งที่ดีมีอยู่
แม้ว่าเราจะเจอวิกฤตแบบไหน มันไม่ได้เป็นสิ่งที่มาท่วมท้นทั้งชีวิตของเรา มันแค่มากระทบบางส่วนของเรา เช่นกระทบกับทรัพย์สินเงินทองของเราบ้าง หรือกระทบอวัยวะบางส่วนของเราบ้าง หรือกระทบกับงานการบางส่วน หรือว่ากระทบผู้คนบางคนที่เรารัก แต่อย่างอื่นยังดีอยู่ หันมาชื่นชมสิ่งเหล่านี้บ้าง พูดอีกอย่างหนึ่งรู้จักเก็บเกี่ยวความสุขในปัจจุบัน
ปัจจุบันทุกขณะมีความสุขที่รอการเก็บเกี่ยว ซึมซับจากเรา แม้เราจะเจอวิกฤตแค่ไหนก็ตาม คุณจะล้มละลาย คุณจะเจ็บป่วย หรือว่ามีมะเร็งในตัว แต่ถ้ารู้จักกินอาหารแล้วอร่อย ฟังเพลงแล้วเพราะ ดูหนังแล้วสนุก หรือว่าทำสมาธิแล้วสงบ อันนี้คือสิ่งที่เราสามารถจะเป็นสุขได้ในปัจจุบัน ไม่ใช่ว่าเจอวิกฤตแล้วจะทุกข์ไปตลอด 24 ชั่วโมง
มันทุกข์ก็ต่อเมื่อคิดถึงมัน หรือวางใจไม่ถูก แต่พอไม่คิดถึงมัน หรือพอรู้จักชื่นชมสิ่งที่มีอยู่หรือเก็บเกี่ยวความสุขที่อยู่รอบตัว เราก็สามารถที่จะมีความสุขได้
ในนิทานเปรียบเทียบ มีผู้ชายคนหนึ่ง หนีเสือ เสือวิ่งมา เขาก็วิ่งหนีไปจนถึงหน้าผา บังเอิญหน้าผามีเถาวัลย์ เขาก็ไต่เถาวัลย์ลงไป แต่ว่าตรงพื้นมันก็มีงูใหญ่รออยู่ ข้างบนเสือ ข้างล่างงู และแถมยังมีหนู ตัวสีขาวและดำ กำลังกัดเถาวัลย์ที่ชายคนนั้นกำลังห้อยโหนอยู่ ก็คือมีภัยทั้งข้างบนและข้างล่าง แล้วก็ไม่รู้ว่าจะตกลงไปให้งูฉกเมื่อไร
แต่เขาสังเกตเห็นว่า ข้างหน้าเขา มีผลไม้ เป็นผลไม้ที่หอมหวาน แทนที่เขาจะมัวแต่ห่วงกังวลกับอันตรายที่อยู่ข้างบนข้างล่าง เขากลับหยิบผลไม้นั้นมากิน แล้วรู้สึกถึงรสชาติที่อร่อย
นิทานเรื่องนี้อุปมาสอนเราว่า แม้เราจะมีความตายอยู่เบื้องหน้า จะมีปัญหาที่วิ่งไล่ตามเราอยู่ ทั้งๆที่จะตายเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ หนูสีขาวสีดำก็คือวันและกลางคืนที่มันคอยกัดให้เราตกลงไปให้งูฉกตาย แต่ชายคนนั้นก็ไม่มัวทุกข์อยู่กับปัญหา เห็นผลไม้ก็ไม่ลืมที่จะเก็บมากิน แล้วก็สัมผัสความอร่อยนั้น
นี่คือตัวอย่างของคนที่อยู่กับปัจจุบัน ก็คือว่ารู้จักเก็บเกี่ยวความสุขที่มีอยู่ ซึ่งมันปรากฏให้กับเราทุกๆขณะอยู่แล้ว การยอมรับความจริง การตระหนักว่าวิกฤตนั้นมันไม่จีรังยั่งยืน สักวันหนึ่งก็กลายเป็นอดีตไป การรู้จักอยู่กับปัจจุบัน ไม่ปล่อยใจให้ไปจมอยู่กับอดีตหรืออนาคตหรือภาพปรุงแต่งที่สร้างขึ้น รู้จักมองบวกมองในสิ่งดีๆที่มีอยู่ แล้วก็รู้จักเก็บเกี่ยวความสุขในปัจจุบัน มันจะทำให้เราสามารถที่จะอยู่กับวิกฤตได้ด้วยใจที่ไม่ทุกข์
และจะทำให้เรามีสติปัญญาที่จะแก้ไขเหตุการณ์ต่างๆได้ ยิ่งถ้าเราฝึกจิตจนกระทั่งเห็นความจริงว่ามันไม่มีอะไรที่เป็นเราหรือของเราเลยแม้แต่น้อย ที่เราเป็นทุกข์กับความสูญเสีย กับความเจ็บป่วย กับงานการการ กับความสัมพันธ์ ก็เพราะว่าเรามีความยึดติดถือมั่นว่านี่ของกู นี่ตัวกู
ถ้าเราคลายความยึดมั่นในตัวกูของกู งานล้มเหลวอย่างไรใจก็ไม่ทุกข์ แต่ที่เราเป็นทุกข์กับงาน เพราะว่างานคือตัวกู พอคิดว่างานเป็นกู งานล้มแล้วกูก็ล้มเหลวไปด้วย แต่คนที่ไม่ยึดติดตัวกูของกู งานล้มเหลวอย่างไร ใจก็ไม่ได้ล้มเหลวด้วย
หลวงพ่อของอาตมา หลวงพ่อคำเขียน ท่านทำงานช่วยเหลือชาวบ้านมาก มีคนถามว่าที่หลวงพ่อทำสำเร็จบ้างไหม หลวงพ่อตอบว่าล้มเหลวทุกอย่างเลย แต่งานล้มเหลว หลวงพ่อก็ไม่ได้ล้มเหลว เพราะว่าหลวงพ่อไม่ได้เอาตัวไปผูกไว้กับงาน และไม่คิดว่างานเป็นของกู งานล้มเหลวก็ล้มเหลวไป กูไม่ล้มเหลว หรือว่าใจไม่ทุกข์
ถ้าเราไม่ไปยึดว่าร่างกายเป็นของกู ร่างกายมันเจ็บป่วย มันก็เป็นเรื่องของร่างกาย กายป่วยแต่กูไม่ได้ป่วยด้วย เมื่อกูก็ไม่ได้ป่วย ใจก็ไม่ทุกข์ ทรัพย์สมบัติเวลาสูญเสียไปเราทุกข์เพราะอะไร เพราะเราคิดว่าเป็นของเรา เป็นของกู แต่ถ้าเราไม่ได้ยึดทรัพย์สมบัติว่าเป็นของกู การสูญเสียก็ไม่เป็นวิกฤตเลย เสียทรัพย์ก็เสียไปแต่ใจไม่ได้ทุกข์
เมื่อ 10 ปีก่อนมีน้ำท่วมใหญ่ ผู้คนสูญเสียทรัพย์สินมากมาย มากบ้างน้อยบ้าง เป็นล้านๆคน มีผู้หญิงคนหนึ่งก็เสียทรัพย์สินไปเยอะจากน้ำท่วม ทีแรกก็เสียใจไม่ต่างจากคนอื่น บางคนไม่เสียใจอย่างเดียวเสียจริตไปด้วย หรือเสียชีวิตเพราะทำใจไม่ได้กับการสูญเสียจึงฆ่าตัวตาย แต่ผู้หญิงคนนี้ก็แค่เสียใจแล้วเธอก็คิดขึ้นมาได้ว่า น้ำท่วมมาสอนเราว่าไม่มีอะไรที่เป็นของเราเลย ทุกอย่างที่เรามี มันเป็นของเราแค่ชั่วคราว สักวันหนึ่งมันก็ต้องสูญหาย ถ้าน้ำไม่ท่วมไฟไม่ไหม้ ก็มีคนเอาไป มันก็ไม่ได้เป็นของเราเลยแม้แต่น้อย มันเป็นอยู่กับเราแค่ชั่วคราว
พอเธอคิดได้เช่นนี้เธอก็ไม่ทุกข์ เธอเสียทรัพย์แต่เธอได้สิ่งที่มีค่ามากกว่าทรัพย์ก็คือ ปัญญา เพราะเห็นความจริงว่า ไม่มีอะไรเป็นของเราเลย ทรัพย์เสียไปก็หาใหม่ได้ แต่ว่าถ้ามีปัญญาเห็นว่าไม่มีอะไรที่เป็นของเรา แม้จะเสียทรัพย์ในวันข้างหน้า มันก็จะไม่ทุกข์ และปัญญาแบบนี้มีเท่าไหร่ก็หาซื้อไม่ได้ แต่มันเกิดจากการที่เราได้เรียนรู้จากความทุกข์
มองในแง่นี้ความทุกข์หรือวิกฤตก็เป็นข้อดีข้อหนึ่งมันช่วยทำให้เราได้เห็นสัจธรรมความจริงว่า ไม่มีอะไรที่เที่ยงหรือจีรังเลย ไม่มีอะไรที่เราจะยึดมั่นถือมั่นเป็นเราเป็นของเราได้เลย และถ้าเราทำใจแบบนี้ได้แสดงว่าเราคุ้มแล้ว เราได้เรียนรู้จากวิกฤต เราได้ปัญญาจากวิกฤต วิกฤตมันไม่ได้โบยตีย่ำยีเราอย่างเดียว แต่มันสามารถที่จะเป็นอาจารย์สอนธรรมะให้กับเราได้ หรือสามารถที่จะมอบสิ่งดีๆให้กับเราได้
มีผู้หญิงคนหนึ่ง เป็นโรคซึมเศร้าอย่างหนัก แล้ววันหนึ่งเธอก็พบว่าเธอเป็นมะเร็งเหมือนเคราะห์ซ้ำกรรมซัด แต่เธอกลับบอกว่าขอบคุณมะเร็ง เพราะมะเร็งทำให้เธอเข้าใจตัวเอง และรับมือกับโรคได้ดีขึ้นทำให้เธอมีความสุขขึ้น เธอบอกว่าถ้าเธอไม่เป็นมะเร็ง เธอก็คงจะตายไปแล้วเพราะเป็นโรคซึมเศร้าเพราะโรคซึมเศร้าทำให้เธอตายไม่รู้ตัว
ที่จริงเธอพยายามฆ่าตัวตายมา 3 รอบ แต่พอเป็นมะเร็ง ชีวิตเธอเปลี่ยนเลย ขนาดจิตแพทย์ที่รักษาเธอมา ยังออกปากเลยว่าเธอมีทัศนะการมองชีวิตและโลกเปลี่ยนไปตั้งแต่เธอเป็นมะเร็ง มองในแง่นี้มะเร็งช่วยทำให้เธอ มีประโยชน์กับเธอ เพราะทำให้เธอเข้าใจตัวเอง ทำให้เธอรับมือกับโรคได้ดีขึ้น
เพราะฉะนั้นวิกฤตไม่ได้เป็นสิ่งที่เลวร้ายเสมอไป มันเป็นสิ่งที่ดีให้กับเรา โดยเฉพาะทำให้เราเข้าใจโลกได้ดีขึ้น และถ้ามันทำให้เรารู้จักปล่อยวางเพราะเห็นความจริงว่าไม่มีอะไรที่เป็นตัวเราของเราเลยแม้แต่น้อย ถึงตอนนี้เราก็ยกจิตเหนือวิกฤตได้ ความสูญเสียจะไม่ได้ทำร้ายเราอีกต่อไป
ที่จริงความสูญเสียไม่ได้ทำร้ายเรา เช่นเดียวกับความไม่เที่ยงไม่ได้ทำร้ายเรา แต่สิ่งที่ทำร้ายเราคือความไปยึดติดสิ่งต่างๆว่าเที่ยง ว่าเป็นของเรา ยึดติดในทรัพย์ ยึดติดในงานการ ยึดติดในร่างกาย ยึดติดในผู้คน เพราะความยึดติดและความหลงว่ามันเที่ยงเป็นสุข เป็นของเรา พอมันไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิดเราจึงทุกข์ เราไม่ได้ทุกข์เพราะความไม่เที่ยง แต่เราทุกข์เพราะความไม่รู้ความจริง จนหลงยึดติด ซึ่งไม่ว่าจะมีมากเพียงใด มันก็ไม่มีความสุขเลย
เราสังเกตไหม เรือโยงที่มันแล่นผ่านเราไป มันมีเรือโยงหลายลำ ที่มันลากเอาเรือขนทราย 5 ลำ 10 ลำ สวนกระแสน้ำ เห็นแล้วก็เหนื่อย ชีวิตของหลายคนก็เหมือนกับเรือโยงนั้น แม้จะมีทรัพย์เยอะแต่ว่ามันทุกข์มากเลยกับการลาก แล้วก็เป็นการลากที่ทวนกระแสน้ำหรือจะทวนกระแสความจริงว่า ไม่มีอะไรเที่ยง หลายคนที่มีทรัพย์มาก เขาไม่มีความสุขเลยเพราะเขาเหนื่อยกับการแบกกับการยึดทรัพย์เหล่านั้น การยึดการแบกชนิดที่สวนทางกับกระแสความจริงคืออนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
แต่เราลองสังเกตเรือโยงบางลำ มันแล่นไปตามน้ำ แล้วมันก็ไม่ได้แบกมันไม่ได้ลากอะไรเลย มันแล่นอย่างอิสระเสรีมาก สังเกตเรือ 2 ชนิดนี้ไหม เรือชนิดหนึ่งคือลากแบกสมบัติคือเรือขนทราย ทวนกระแสน้ำ ดูแล้วเหนื่อย ดูแล้วล้า เฉื่อยช้า แต่เรืออีกลำหนึ่งแล่นฉิวเลย ทั้งๆที่เป็นเรือโยงเหมือนกัน แต่มันไม่ได้ลาก มันไม่ได้โยงอะไร เพราะมันปล่อยวางทุกอย่างเป็นอิสระ เราอยากจะเป็นเรือแบบไหน ยึดในทรัพย์ แล้วก็ลากมันไป สวนทางกับความจริง หรือว่าเรือที่เป็นอิสระที่ไม่ต้องแบกไม่ต้องยึดอะไร แม้จะมีทรัพย์แต่ก็ไม่ได้ยึดในทรัพย์
อันนี้คือวิธีที่ทำให้เราสามารถที่จะผ่านพ้นวิกฤตไปได้ หรือไม่เจอวิกฤตด้วยซ้ำ แต่อย่างไรก็ตามปุถุชนอย่างเราก็ต้องมีความยึดความอยาก เพราะฉะนั้นก็ต้องเจอวิกฤตไปเรื่อยๆ แต่ถ้าเรารู้วิธีในการรักษาใจเราก็สามารถที่จะอยู่กับวิกฤตจนกระทั่งวิกฤตผ่านพ้นไปได้
อย่างไรก็ตามนอกจากการทำใจแล้ว การทำกิจก็สำคัญ ในยามที่เราเศร้าโศกเพราะสูญเสีย สิ่งที่ช่วยได้คือการที่เราไปทำอะไรดีๆเพื่อผู้อื่น มีสามีภรรยาคู่หนึ่งอยู่กันมา 30-40 ปี แต่ว่าวันหนึ่งสามีกำลังจะตายด้วยโรคร้าย ภรรยาหวังว่าสามีจะหาย จนแล้วจนรอดก็ไม่หาย ร่างกายก็ย่ำแย่เพราะโรคลุกลาม
วันหนึ่งภรรยาก็พูดกับสามีว่า ฉันจะอยู่ได้อย่างไรถ้าไม่มีเธอ สามีก็พูดแนะนำเธอว่า ถ้าไม่มีผมแล้ว ก็มอบความรักที่เคยมีให้กับผม ให้กับคนอื่นต่อไป ทีแรกภรรยาก็ไม่เข้าใจแล้วก็โกรธด้วยว่า “หมายความว่าจะให้ฉันไปมีใหม่หรือ” เขาพูดให้ภรรยาเข้าใจว่า ถ้าเขาตายแล้ว ก็ให้ไปช่วยเหลือผู้อื่น คนที่เดือดร้อน ช่วยด้วยความรักด้วยความเมตตา ไม่ว่าจะเป็นคนยากคนจน คนชรา คนไร้บ้าน พอสามีตาย ภรรยาก็ทำตามที่สามีแนะนำ ไปช่วยเหลือผู้คนด้วยเมตตากรุณา ปรากฏว่าความเศร้าโศกที่เคยมี มันก็ค่อยๆหดหายไป แล้วเธอก็รู้สึกกลับมามีชีวิตชีวาใหม่
เธอผ่านความสูญเสียผ่านความเศร้าโศกด้วยการอุทิศตัวเพื่อผู้อื่น ทำความดีทำบุญกุศล อันนี้เป็นวิธีเยียวยาจิตใจให้พ้นจากวิกฤตได้ จะว่าไปก็คือทำให้ความตายของคนที่เรารักมีคุณค่า ถ้าคนรักตายไปแล้วเราเศร้า อันนั้นทำให้ความตายของคนรักนั้นไร้ค่า เพราะทำให้ความตายนั้นเพิ่มทุกข์ให้กับเราซึ่งผู้ที่จากไปคงไม่ยินดี แต่ถ้าเราเอาความตายของเขานั้นมาเป็นบันดาลใจเพื่อทำสิ่งดีๆให้เกิดขึ้น นั่นคือเรากำลังทำให้การตายของเขามีคุณค่ามีความหมาย เป็นการตายที่ไม่ไร้ประโยชน์
อาตมาคิดว่านี้เป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยเยียวยาจิตใจให้ผ่านวิกฤตในยามที่สูญเสียคนรักได้หรือแม้กระทั่งในยามเจ็บป่วย การนึกถึงผู้อื่น ช่วยเหลือผู้อื่นก็ช่วยเยียวยาจิตใจ และบางทีก็เยียวยาร่างกายได้ด้วย อย่างมีคนหนึ่งเป็นมะเร็ง ครั้งแรกเป็นมะเร็งปอด รักษาหาย ใช้เงินไปมากฉายแสงคีโมผ่าตัด พอหายก็ลัลล้า สิบปีต่อมาก็กลับมาใหม่และหนักกว่าเดิม หมอบอกว่าไม่มีทางรักษาอยู่ได้ 2 ปี
เธอรู้สึกแย่แต่ในเมื่อเวลาเหลือน้อยแล้ว ก็อยากจะใช้เวลาที่มีอยู่ให้เป็นประโยชน์ ก็เลยไปเป็นจิตอาสาช่วยเหลือเยี่ยมเด็กที่เจ็บป่วยในโรงพยาบาล เธอทำอยู่พักใหญ่ แล้ววันหนึ่งก็พบว่ามะเร็งไม่ได้หายไปชั่วคราว ผ่านมา14-15 ปีแล้ว มันก็ยังไม่กลับมา เธอสงสัยว่ามันหายเป็นเพราะอะไร แล้วในที่สุดเธอก็เชื่อว่าการที่เธอไปเป็นจิตอาสา จิตอาสาเป็นคีโมขนานเอก คีโมขนานใดก็ไม่เท่ากับการไปเยียวยาด้วยการช่วยเหลือผู้อื่น
เป็นไปได้ว่าการไปช่วยเหลือผู้อื่นทำให้เกิดเมตตากรุณางอกงามในจิตใจ แล้วเมตตากรุณาทำให้ภูมิคุ้มกันในร่างกายของเราดีขึ้น มะเร็งเกิดจากภูมิคุ้มกันบกพร่อง ภูมิคุ้มกันปล่อยให้เซลล์มะเร็งหรือก้อนมะเร็งลุกลาม แต่พอคุ้มกันเราแข็งแรง มันก็ไปจัดการเซลล์มะเร็งโดยที่ไม่ต้องใช้ยาไปฆ่ามัน แต่ภูมิคุ้มกันในร่างกายของเราจัดการกับมัน ที่ภูมิคุ้มกันมันดีขึ้นได้ก็เพราะว่า ความมีเมตตากรุณาหรือคุณภาพจิตที่ดีขึ้น ทั้งหมดนี้ก็เป็นวิธีการรักษาใจรักษากายให้ผ่านวิกฤตไปได้ ไม่ใช่ด้วยการทำจิตอย่างเดียว แต่ด้วยการทำกิจไปช่วยเหลือผู้อื่นด้วย