แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
เป็นโอกาสดีที่พวกเราได้มาฟังธรรมในสถานการณ์ที่โควิดที่ยังไม่สงบ ที่ผ่านมาหลายเดือน คงจะเป็นช่วงเวลาที่พวกเราลำบากทั้งในเรื่องของอาชีพการงาน ชีวิตความเป็นอยู่ หลายคนมีคำถามที่อยู่ในใจว่าเมื่อไหร่โควิดจะสงบ เมื่อไหร่จะใช้ชีวิตสงบ ตามปกติสักที
คำถามเหล่านี้ดูน่าสนใจแต่มีประโยชน์น้อย เพราะว่า โควิดจะสงบเมื่อไหร่ มันไม่ได้อยู่ในอำนาจของเราเลย เราไม่สามารถที่จะทำอะไรกับการแพร่ระบาดของโควิดให้เป็นไปดั่งใจได้ คำถามเหล่านี้ อาจจะทำให้เราทุกข์ด้วยซ้ำ ใจที่อยากจะเร่งเร้าให้โควิด สงบ แต่พอไม่ได้เป็นไปดั่งใจ ก็เป็นทุกข์ขึ้นมา
เหมือนกับคำถามเวลาเราเดินทางไกล จะถามว่าเมื่อไหร่จะถึง มันก็เป็นทุกข์เพราะไม่ถึงสักที เหมือนกับเวลาเราทำงาน งานที่ใหญ่หรือยาก ถามว่าเมื่อไหร่จะเสร็จสักที ถามอย่างนี้เมื่อไหร่ ก็เป็นทุกข์ทันที เพราะว่ามันอีกนานกว่าจะเสร็จ
มันจะดีกว่า แทนที่จะถามว่าโควิดเมื่อไหร่จะสงบ เปลี่ยนมาถามว่าเราจะอยู่กับโควิคได้อย่างไรด้วยใจที่ไม่ทุกข์ มันจะสงบเมื่อไหร่เป็นเรื่องของอนาคต แต่ตอนนี้ ขณะที่มันยังอยู่กับเรา อยู่กับโลกทั้งโลก เราจะอยู่กับมันอย่างไรด้วยใจที่ไม่ทุกข์ อันนี้มีประโยชน์มากกว่า เพราะเป็นสิ่งที่เราสามารถที่จะทำอะไรได้ทันที
หลายคนมีความทุกข์ในช่วงที่โควิดแพร่ระบาดตั้งแต่ปีที่แล้วจนถึงวันนี้ ชั่วโมงนี้ บางคนอาจจะไม่ได้มีความยากลำบากในการอยู่ การทำมาหากิน แต่ที่เป็นทุกข์เพราะว่าต้องอยู่กับบ้าน ไปไหนมาไหนก็ยาก เพียงแค่เก็บตัวอยู่ที่บ้านมีความทุกข์ รู้สึกเบื่อหน่าย รู้สึกอ้างว้าง รู้สึกหงุดหงิด อันนี้ถึงที่สุดแล้วเป็นเพราะว่าเราไม่รู้จักอยู่กับตัวเอง
ถ้ารู้จักอยู่กับตัวเองเป็น จะไม่มีความรู้สึกอึดอัด อ้างว้าง เบื่อหน่าย ในยามที่ต้องเก็บตัวอยู่ในบ้าน อยู่ที่ใดที่หนึ่ง การที่จะรู้จักอยู่กับตัวเองเป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะว่าถึงที่สุดแล้วเราก็ต้องอยู่กับตัวเองโดยลำพัง ในยามที่เราเจ็บป่วยนอนติดเตียง นั่นคือช่วงเวลาที่เราจะต้องอยู่กับตัวเอง ในยามที่เราแก่ชราอยู่คนเดียวอยู่บ้าน เพราะลูกหลานไปทำงาน หรือบางทีไม่มีลูกหลานด้วยซ้ำ นั่นคือช่วงเวลาที่ เราจะต้องอยู่กับตัวเอง
หลายคนทนอยู่กับสภาพที่ว่านี้ไม่ได้ เพราะฉะนั้น แทนที่จะป่วยกายอย่างเดียว ก็ป่วยใจด้วย ทั้งที่อยู่บ้านกินอิ่มนอนอุ่นแต่ต้องอยู่คนเดียวที่บ้าน เกิดความเบื่อหน่าย อ้างว้าง เหงา ผู้เฒ่าหลายคนบ่น ว่าอยากตายๆ แต่จริงๆไม่ได้อยากตาย แต่ต้องทนอยู่กับสภาพที่ตัวเองอยู่ลำพังคนเดียวที่บ้านไม่ได้ ยังไม่ต้องพูดถึงว่าเวลาตาย เราก็ต้องตายคนเดียว คนที่รักเราไม่ว่าจะรักเราแค่ไหน ก็ไม่สามารถไปกับเราได้ และเราก็ไม่สามารถตามเขาไปกับเราได้เหมือนกัน
จะว่าไป โควิดก็เป็นแบบฝึกหัดที่มาสอนและกระตุ้นให้เราอยู่กับตัวเองให้เป็น ไม่ต้องรอให้เจ็บป่วยก่อนไม่ต้องรอให้แก่เฒ่า การที่ยังหนุ่มยังสาวแต่ต้องเก็บตัวอยู่ในบ้าน ถ้าเราอยู่กับตัวเองไม่เป็นก็จะทุกข์มาก อย่างที่ผู้คนนับไม่ถ้วนทั่วโลก ทุกข์ทรมานมากกับการที่จะต้องเก็บตัวอยู่ในบ้าน จนมีการประท้วงจากมาตรการล็อคดาวน์ ทั้งๆที่มีคนติดเชื้อโควิดเพิ่มขึ้น รัฐบาลจึงจำเป็นต้องล็อคดาวน์ เช่น ที่เยอรมัน ออสเตรเลีย เหตุผลหนึ่งที่มีการประท้วง บอกว่าฉันทนไม่ไหวแล้ว จะให้อยู่ที่บ้าน ทำงานที่บ้าน ไปไหนมาไหนไม่ได้ ทรมาน
แต่มองอีกในแง่หนึ่ง มันก็สอนให้เรารู้ว่ามันจำเป็นที่จะต้องอยู่กับตัวเองให้เป็น ยิ่งถ้าเจ็บป่วยด้วยโควิดแล้ว จะเห็นได้ชัดว่า ในยามนั้นจะพึ่งพาใครไม่ได้เลย เพราะว่า พอเป็นโควิดแล้ว แม้แต่ญาติพี่น้องก็มาเยี่ยมไม่ได้ หมอพยาบาลก็ต้องวางระยะห่างกับเรา ไม่เหมือนเป็นมะเร็ง โรคหัวใจ โรคร้ายแรงอื่นๆ
แต่คนที่เรียนรู้ที่จะอยู่กับตัวเองให้เป็น แม้จะเก็บตัว อยู่ที่บ้านตามคำสั่งของรัฐบาล เขาก็ไม่ทุกข์ แม้จะต้องเจ็บป่วยติดเตียงอยู่คนเดียว ทุกข์กายแต่ว่าใจไม่ทุกข์เท่าไหร่ ที่จริงการที่เราพูดถึงการอยู่กับตัวเองให้เป็น เป็นเรื่องเดียวกันกับการอยู่กับปัจจุบัน ถ้าเรารู้จักมีความสุขอยู่กับปัจจุบัน การอยู่กับตัวเองอย่างมีความสุข ไม่ทุกข์ มันก็เป็นเรื่องไม่ยาก
ปัจจุบันเป็นเวลาที่สำคัญ เป็นเวลาที่ที่เป็นของเราจริงๆ อดีตก็ผ่านไปแล้ว อนาคตก็ยังมาไม่ถึง เวลาที่เป็นอนาคตอาจจะมาไม่ถึงเราเลยก็ได้ เช่นวันพรุ่งนี้ เพราะว่าเราอาจจะเป็นไปเสียก่อนก็ได้ อย่างภาษิตทิเบตบอกว่า ไม่มีใครรู้หรอก พรุ่งนี้กับชาติหน้า อะไรจะมาก่อน อย่าไปคิดว่าต้องมีพรุ่งนี้ก่อนถึงจะมีชาติหน้า เพราะสำหรับหลายคนวันนี้คือวันสุดท้ายของเขา พ้นจากวันนี้ก็คือชาติหน้าเลย ไม่มีวันพรุ่งนี้ อนาคตคือสิ่งที่ไม่แน่นอน อดีตคือสิ่งที่ผ่านไปแล้ว ปัจจุบันเวลานี้ชั่วโมงนี้นาทีนี้ คือของจริง
เช่นเดียวกันทรัพย์สินเงินทอง ทรัพย์สินในอดีตมันก็ไม่ใช่ของเราแล้ว แม้เราจะรักจะหวงแหนแค่ไหน ถ้ามันเป็นอดีต มันก็ไม่ใช่ของเราอีกต่อไป ส่วนทรัพย์สินในอนาคตที่เราวาดหวังไว้ จะมาถึงเรา เป็นของเราหรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่ทรัพย์สินในปัจจุบันเป็นของจริงที่จะช่วยอำนวยให้เราได้อำนวยความสะดวกสบายเกิดความสุขได้
ขณะเดียวกัน ความสุขในปัจจุบันเท่านั้นแหละ ที่เป็นของจริง ความสุขในอดีตเป็นแค่ความทรงจำ ความสุขในอนาคตก็เป็นแค่ความฝันหรือความหวัง จะมาถึงเราจะเป็นของเราหรือเปล่าก็ไม่แน่ เพราะฉะนั้น ความสุขในปัจจุบันจึงเป็นความสุขที่จริงแท้ แต่คนส่วนใหญ่เอาแต่ร่ำร้องโหยหาแต่ความสุขในอดีต หรือไม่เช่นนั้นก็วาดหวังความสุขในอนาคต ส่วนความสุขในปัจจุบันกลับมองข้าม ทั้งที่เป็นของจริงเป็นของที่เรามีสิทธิ์อย่างแท้จริง
อันที่จริงความสุขในปัจจุบันขณะ มันก็เกิดขึ้นได้ หรือว่าเราจะสัมผัสได้ ก็ต่อเมื่อเรารู้จักอยู่กับปัจจุบัน ถ้าเรารู้จักอยู่กับปัจจุบัน การที่จะเข้าถึงความสุขในปัจจุบันก็ไม่ใช่เรื่องยาก ปัญหาคือคนทุกวันนี้อยู่กับปัจจุบันไม่เป็น จึงไม่สามารถที่จะเข้าถึงความสุขในปัจจุบันขณะได้ พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือว่าความทุกข์ที่กัดกินใจของผู้คนทุกวันนี้ เป็นเพราะว่า ใจไม่ได้อยู่กับปัจจุบัน ไหลไปอยู่กับอดีตหรือไม่ก็ลอยไปอยู่กับอนาคต
จะเรียกได้ว่าความทุกข์ใจของคนส่วนใหญ่เป็นเพราะว่า เขาไม่ได้อยู่กับปัจจุบัน ลองสำรวจจิตใจของเราดูก็ได้ ในแต่ละวันความทุกข์ใจที่เกิดขึ้นกับเราเป็นเพราะอะไร ทั้งที่เรากินอิ่มนอนอุ่น ไม่ได้มีความยากลำบากอุปสรรคในการดำเนินชีวิต
แต่มีความทุกข์ใจเพราะใจไปจมอยู่กับเรื่องราวในอดีต ไปนึกถึงสิ่งที่สูญเสีย ไม่ว่าจะเป็นของรัก คนรัก ไปนึกถึงเหตุร้ายที่ทำให้เราเศร้าเสียใจ นึกถึงคนที่ทรยศ กลั่นแกล้งเรา นึกถึงทีไรก็ทำให้โกรธทำให้แค้น หรือบางทีก็นึกถึงความผิดพลาดในอดีตที่เราทำกับคนรักเช่น บุพการี ก็เกิดความรู้สึกผิดขึ้นมา
ความเศร้าก็ดี ความโกรธก็ดี ความรู้สึกผิดก็ดี ส่วนใหญ่เกิดจากการที่ใจเราไปจมอยู่กับอดีต ขณะเดียวกันพอใจเราไปพะวง หรือเหตุการณ์ที่ยังมาไม่ถึง ไปนึกถึงเรื่องราวในอนาคตแล้วเกิดการปรุงแต่งขึ้นในทางลบทางร้าย ไม่ว่าจะเป็นภาวะเศรษฐกิจเหตุการณ์บ้านเมืองหรือความเป็นไปของคนที่เรารักพอนึกไปก็เกิดความวิตกกังวล ความเครียดขึ้น
ห่วงว่าลูกจะสอบไม่ได้ ลูกจะเข้ามหาวิทยาลัยไม่ได้กังวลผลการตรวจสุขภาพของเราว่าจะออกมาไม่ดีตอนไปหาหมอเพื่อฟังผลในวันสองวันนี้ ทั้งๆที่ผลยังไม่ออกมาเลยก็เกิดการปรุงแต่ง ความกังวล บ่อยครั้งความวิตกกังวล ความเครียด ความกลัว เกิดที่ใจเราไปพะวงถึงสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น เป็นเรื่องในอนาคต แต่ถ้าใจเราหันกลับมาอยู่กับปัจจุบัน มันจะไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องโกรธ ต้องเศร้า หรือว่าวิตกกังวล หวาดกลัว
หลายคนมีความสุขในชีวิตที่เป็นอยู่แต่ว่าสีหน้าหม่นหมอง มีอาม่าคนหนึ่งฐานะดี สามีก็ดี เป็นคนรักครอบครัว ลูกก็เป็นคนที่ใส่ใจธรรมะ สนใจปฏิบัติ แต่สีหน้าอาม่าหม่นหมองเหมือนคนมีความทุกข์อมทุกข์ เพราะว่าแกคอยหวนนึกถึงเหตุการณ์ในอดีตในวัยเด็กที่เจ็บปวด จากการเลี้ยงดูของพ่อแม่ที่ไม่ได้ให้ค่ากับลูกสาว รู้สึกว่าไม่ได้ความรักจากพ่อแม่ เพราะว่าพ่อแม่ไปรักพี่ชายน้องชายมากกว่า ชีวิตอาม่าในวัยเด็กจึงลำบาก แต่ทุกวันนี้มีความสุขสบาย แต่ว่าอาม่าไม่มีความสุขเลย เพราะจมอยู่กับเรื่องราวในอดีต
บางคนก็อาจจะมีอดีตที่รุ่งโรจน์ สุข สนุกสนานสมหวัง แต่พอมาเปรียบเทียบกับวันนี้ มันไม่ใช่ ก็เกิดความอาลัยอาวรณ์เมื่อนึกถึงอดีตขึ้นมา เกิดความไม่พอใจกับสภาพที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ไปจมอยู่กับวันวานที่หวานชื่น หรือไม่เช่นนั้นก็ไปจมอยู่กับวันคืนอันขื่นขม ก็เลยมีความเศร้าหมอง หดหู่
เรามองดูให้ดี ที่ผู้คนมีความทุกข์ ไม่ใช่เพราะชีวิตของเขาย่ำแย่ แต่เป็นเพราะใจไปจมอยู่กับอดีต หรือไม่เช่นนั้นก็ไปพะวงกับอนาคตมากเกินไปพระพุทธเจ้าตรัสว่า “บุคคลไม่ควรตามคิดถึงสิ่งที่ล่วงไปแล้วด้วยอาลัย และไม่พึงพะวงถึงสิ่งที่ยังมาไม่ถึง” ไม่ใช่ว่าจะคิดถึงเรื่องอดีตไม่ได้ คิดได้ คิดด้วยความมีสติมีปัญญา เกิดความฉลาด ถ้านึกถึงอนาคต ทำให้ไม่ประมาท มีการตระเตรียม อันนี้มีประโยชน์
แต่พอใจเผลอไปอยู่กับอดีตด้วยความหลง ก็ทุกข์ ไปอยู่กับอนาคตด้วยความหลง ก็เครียด แต่ถ้าใจเรากลับมาอยู่กับปัจจุบัน จะออกจากความทุกข์ได้ง่ายแล้วถ้าเราอยู่กับปัจจุบันเป็น เรารู้จักเห็นรู้จักชื่นชมสิ่งที่มีอยู่เราก็จะสุขได้ไม่ยาก
หลายคนไม่ได้ตระหนักว่าเรามีสิ่งดีๆที่มีอยู่ในขณะนี้ มีสุขภาพดี ไม่เจ็บไม่ป่วย กินอิ่มนอนอุ่น อันนี้ก็จะเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เรามีความสุขได้ ทุกวันนี้เราเพียงแค่กินได้ถ่ายคล่อง หลับง่ายหายใจไม่ติดขัด ก็ถือว่าเป็นโชคอย่างหนึ่งของชีวิตแล้ว หลายคนมีสิ่งเหล่านี้ แต่ว่าไม่ได้ตระหนักว่ามีโชค เพราะเขาไม่ได้ตระหนักว่าเมื่อถึงเวลาเจ็บป่วยขึ้นมาหรือถึงเวลาแก่ชรา สิ่งเหล่านี้ก็จะกลายเป็นอดีต การกินก็จะกลายเป็นเรื่องยาก การหลับก็ไม่ใช่เรื่องง่าย การถ่าย มีปัญหา หรือแม้แต่หายใจ
คนที่เป็นโควิด เขาพบเลยว่าแค่จะหายใจได้ปกติ เอาเงินล้านมาแลกฉันก็เอา เพราะว่ามันทรมานมากหายใจลำบากมีเงินล้านก็ช่วยไม่ได้ แต่ตอนนี้เราไม่ต้องมีเงินล้าน เราหายใจสะดวกก็ถือว่าเป็นโชค ที่เราควรจะชื่นชมกับสิ่งดีดีมากมายในขณะนี้ แต่ว่าหลายคนกลับไม่มีความสุขเพราะ เขามองแต่สิ่งที่เขาไม่มี ไม่มีบ้านของตัวเอง ไม่มีรถ
หรือบางคนบอกว่าไม่มีแฟนไม่มีคนรัก หรือว่าไม่มีตำแหน่งหรือ ไม่ได้ตำแหน่งที่สูงกว่านี้ อันนี้ก็เป็นปัญหาเหมือนกันคือการที่ไม่รู้จักมองเห็นสิ่งดีๆที่มีอยู่ในปัจจุบัน เรียกว่าอยู่กับปัจจุบันไม่เป็น การอยู่ปัจจุบันให้เป็น นอกจากใจไม่ไหลไปในอดีตไม่ลอยไปในอนาคต ยังรู้จักเห็นสิ่งดีๆที่มีอยู่ในปัจจุบัน
หลายคนที่มองเห็นแต่สิ่งที่ไม่ดี หรือในสิ่งที่ตัวเองยังไม่มีในปัจจุบัน เรียกว่ามองลบ เปรียบไปก็เหมือนกับคนๆหนึ่งซึ่งอยู่บนชายหาด เบื้องหน้าเขามีทะเลทิวทัศน์ที่สวยงาม แต่เขาไม่มีความสุขเลย เพราะว่าเขามองไม่เห็น เอาแต่อ่านหนังสือพิมพ์ จดจ่อแต่ข่าวคราวที่ชวนให้หดหู่สงคราม อาชญากรรม การทะเลาะเบาะแว้ง ทำให้เกิดความเครียด ชวนให้หดหู่ เศร้า โกรธแค้น คนส่วนใหญ่ในปัจจุบันเป็นอย่างนั้น
ครูคนหนึ่ง บอกนักเรียนชั้นประถมในห้องว่า ในมือครู เธอเห็นอะไร มีกระดาษสีขาวแล้วก็มีกากบาทอยู่ที่มุมขวา กากบาทสีดำ 3 จุด เด็กนักเรียนก็ตอบเลยว่า “เห็นกระดาษสีดำครับ” ครูก็ถามต่อว่า “นักเรียนเห็นอะไรอีกไหม” เด็กตอบว่า “ไม่เห็นครับ” ครูบอกว่า “ไม่เห็นสีขาวของกระดาษหรือ” คนส่วนใหญ่ก็เป็นอย่างนั้น เห็นกากบาทสีดำ แต่ไม่เห็นสีขาวของกระดาษ
ชีวิตของคนเราก็เหมือนกับกระดาษที่ครูถือมีกากบาท คนเห็นแต่กากบาท แต่ไม่เห็นสีขาวของกระดาษ หมายความว่าอย่างไร หมายความว่าเห็นแต่สิ่งที่เป็นลบ แต่ว่าสิ่งที่เป็นบวก สิ่งที่เป็นความปกติ ทั้งที่มันปรากฏชัดๆอยู่กลับไม่สังเกต คือสีขาวของกระดาษ มันมีเนื้อที่มากกว่ากากบาทสีดำ แต่ว่าคนส่วนใหญ่อย่างเช่นนักเรียน ที่เห็นอย่างนี้
เปรียบไปก็คือเห็นแต่สิ่งที่ไม่ดีในชีวิตของตัว แต่ไม่ได้เห็นว่าสิ่งดีๆมีมากมายที่มองข้าม ไปมองสิ่งที่ไม่มี ไม่ว่าจะเป็นรถ บ้าน ตำแหน่งหน้าที่ ช่วงโควิดที่ผู้คนเก็บตัวที่บ้าน คนมีความทุกข์เพราะอะไร เพราะเขาเห็นแต่สิ่งที่เขาไม่มี สิ่งที่ทำไม่ได้ เช่น ไปเที่ยวไม่ได้ ไปกินอาหารนอกบ้านไม่ได้ ไปพบปะเยี่ยมเพื่อนไม่ได้ เห็นแต่สิ่งที่ไม่ดี จึงเกิดความอึดอัดขึ้นมา
ทั้งๆที่สิ่งที่เขาทำได้หรือสิ่งที่มีในบ้านมากมาย แต่มองไม่เห็น อันนี้เรียกว่ามองเห็นแต่กากบาทสีดำ แต่ไม่เห็นสีขาวของกระดาษ หรือมิเช่นนั้นใจก็ไปหมกมุ่นอยู่กับความทุกข์ ความไม่สมหวัง จนกระทั่งไม่สามารถจะเปิดใจรับความสุขที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของเรา
แก้วน้ำถ้ามีน้ำขุ่นๆอยู่เต็มแก้ว เติมน้ำใสๆเข้าไป น้ำใสก็ล้นออกหมดเลย ใจเราถ้าหมกมุ่นอยู่แต่ความทุกข์ มันก็ไม่สามารถจะเปิดรับความสุขที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้า เหมือนกับคนที่ไม่เห็นทะเลที่งดงามเพราะว่าเอาแต่จดจ้องมองอ่านข่าวที่ชวนให้หดหู่ ชวนให้โกรธแค้น
เรื่องราวชีวิตของคนเราด้วย ก็มีทั้งบวกและลบ แต่ถ้าใจเราไปหมกมุ่นอยู่กับเรื่องลบๆ มันก็ไม่สามารถที่จะเปิดใจรับสิ่งที่เป็นบวกได้ จนกว่าเราจะรู้จักปล่อยรู้จักวางได้ อาจารย์ประมวล เพ็งจันทร์ ท่านเป็นอาจารย์มา 20 กว่าปี จนกระทั่งเกษียณก่อนกำหนด ท่านได้เดินเท้าจากเชียงใหม่ ถึงเกาะสมุยบ้านเกิดของท่าน ระยะทางกว่าพันกิโลเมตร ใช้เวลาเดือนกว่า
ท่านเล่าว่า มีคราวหนึ่งไปอินเดีย ตั้งใจว่าจะเดินจากสารนาถไปพาราณสี ระยะทางประมาณ 14 กิโลเมตร สำหรับอาจารย์ระยะทางขนาดนี้เป็นเรื่องสบายมาก แต่ในระหว่างที่เดิน มีรถสามล้อมาคอยตามเรียกให้ท่านขึ้นรถ ทีแรกท่านตั้งใจจะไม่ขึ้น แต่พอเขาตื๊อมากๆ อาจารย์ก็เปลี่ยนใจ เพราะได้อธิษฐานไว้ก่อนเดินทางว่า ถ้าใครมาขอมาเรียก ก็จะไม่ปฏิเสธ เจออะไรก็ยอมรับทุกอย่างที่เป็นของอินเดีย ก็เลยไม่ปฏิเสธ ขึ้นรถสามล้อถีบที่เขามาเรียก
ระหว่างที่ขึ้นนั่ง ชายคนนั้นเล่าว่า 3 วันที่ผ่านมาไม่ได้เงินสักรูปีเพราะไม่มีคนขึ้นรถ วันนี้ถ้าไม่มีผู้โดยสาร ก็จะไม่มีเงินซื้อข้าวซื้อโรตีให้ลูกกิน เขาเล่าถึงชีวิตที่รันทดที่ลำบาก อาจารย์ประมวลฟังแล้วก็รู้สึกเห็นใจ และเห็นใจหนักขึ้นเมื่อสังเกตว่าเขาต้องใช้แรงมากโดยเฉพาะบางช่วงที่ชัน เขาต้องดิ้นรนทำมาหากินที่ฝืดเคืองแล้วยังต้องทุ่มเทกำลังแรงกาย เหงื่อเต็มหลังเลย ก็รู้สึกสงสารมาก
จู่ๆมีช่วงหนึ่ง ลมเย็นพัดมา เขาชูแขน 2 ข้างขึ้น แล้วก็อุทานออกมาว่า เอซี ภควัน เขาพูดอย่างมีความสุข เอซี คือแอร์คอนดิชัน ขอบคุณพระเจ้าที่ประทานอากาศที่เย็นสบายให้ข้าพเจ้า เมื่อตะกี้ยังมีความทุกข์อยู่เลย แต่ทันทีที่มีลมเย็นๆพัดมา เขาวางความทุกข์ทั้งหมดเลย แล้วก็เปิดใจรับความสุขเต็มที่
อันนี้ให้แง่คิดที่ดีคือ คนเราแม้ว่าจะมีความทุกข์แค่ไหน แต่ว่าใจไวต่อความสุข สามล้อคนนี้ตกอยู่ในความทุกข์ แต่พอมีลมเย็นพัดมา สัมผัสได้ถึงความสุขอย่างรวดเร็ว เพราะไม่ได้จมอยู่กับความทุกข์พร้อมที่จะเปิดใจรับความสุข และขอบคุณความสุขเห็นว่าพระเจ้าประทานมาให้
คนเราแม้จะมีความทุกข์อย่างไร ก็พร้อมที่จะเปิดรับความสุข คนที่จะเปิดได้ก็คือ คนที่อยู่กับปัจจุบัน ถ้าใจอยู่กับปัจจุบันให้เป็น ความสุขก็ประสบสัมผัสได้ไม่ยาก เพราะมีอยู่รอบตัว เพียงแต่ว่าเราเปิดใจรับ แต่ถ้าใจเราไปอยู่กับอดีต อยู่กับอนาคต ก็จะจมอยู่กับความทุกข์ วนเวียนอยู่กับความคิดลบคิดร้าย
เพื่อนอาตมาคนหนึ่งเป็นคนขยันทำงานมาก เป็นงานที่ต้องใช้ความคิดคิดแทบตลอดเวลาก็ว่าได้ วันหนึ่งเข้าโรงพยาบาลเพื่อผ่าตัดไส้เลื่อน รักษาตัวที่โรงพยาบาลประมาณ 1-2 คืน แล้วมาฟื้นตัวที่บ้านต่อหนึ่งอาทิตย์ เขาไม่ได้เอางานมาทำเลยเพราะว่าทำไม่สะดวก อยู่บ้านคนเดียว ไปไหนมาไหนไม่ได้ ไม่นั่งก็นอน เขานั่งอยู่ที่ระเบียง สักพักได้ยินเสียงนกเขาร้อง ตอนแรกตัวหนึ่งก่อน ต่อมามีตัวที่ 2 ตัวที่ 3 ร้องตาม เสียงนกร้องขานรับประสานกัน ไพเราะมาก
เขาฟังแล้วก็รู้สึกปลาบปลื้มมีความสุข เป็นความสุขที่ดื่มด่ำจนน้ำตารื้น ไพเราะมาก ช่วงหนึ่งเขาฉุกคิดขึ้นมาว่าทำไมเพิ่งได้ยินเสียงนกร้อง บ้านนี้เขาสร้างมาตั้งแต่ลูกยังเล็กเรียนอนุบาลจนตอนนี้ใกล้เรียนจบมหาวิทยาลัย ทำไมเขาเพิ่งจะได้ยินวันนี้ ที่จริงนกร้องมานานแล้ว ร้องมาหลายปี เป็นเพราะว่าใจไม่เปิดรับ ไปอยู่กับเรื่องราวปัญหาต่างๆ
นับเป็นครั้งแรกที่เขาได้ตระหนักว่า ความจริงไม่ได้อยู่ไกล แต่อยู่ใกล้เรานี่เองเพียงแต่ใจเราไม่เปิดรับ ใจไปจมอยู่กับความคิด หมกมุ่นอยู่กับโครงการ อยู่กับอดีตบ้าง อยู่กับอนาคตบ้าง แท้ที่จริงแล้วความสุขมันอยู่กับเรา หรืออยู่รอบตัวเรา รวมทั้งในปัจจุบันขณะด้วย แต่ที่เราไม่มีความสุขเพราะใจเราไม่เปิดรับ เป็นเพราะใจเราไม่อยู่กับปัจจุบัน เป็นเพราะใจเราไปอยู่กับกากบาท ไม่เห็นสีขาวของกระดาษ
แล้วอันที่จริงความสุขไม่ได้มีอยู่แค่รอบตัวเรา หรืออยู่กับตัวเราอย่างเดียว แต่อยู่กลางใจของเราด้วย คนเราสามารถสัมผัสกับความสุขได้ทุกขณะถ้าหากใจเราเข้าถึงความสงบ ความสงบเป็นความสุขอันประเสริฐที่สามารถจะเข้าถึงในปัจจุบันขณะได้ ความสุขไม่มีอะไรเท่ากับความสงบ และความสงบนั้นเป็นความสุขที่เข้าถึงได้ต่อเมื่อใจอยู่กับปัจจุบันเท่านั้น
ถ้าเราอยู่กับตัวเองเป็น เราจะสามารถพบกับความสงบในใจได้ไม่ยาก ความสงบภายนอกมันเอาแน่เอานอนไม่ได้ บางครั้งมีเสียงดังเสียงรถบีบแตรมารบกวน บางครั้งคนในบ้านก็เอ็ดตะโร แต่ความสงบในใจเรามีโอกาสที่จะสัมผัสได้ทุกขณะ ไม่ว่าอยู่ที่ใดก็ตาม แล้วก็เป็นความสุขในปัจจุบันที่ประเสริฐมาก ความสุขในปัจจุบันอะไรก็ตาม ไม่ประเสริฐเท่ากับความสงบในใจ
บางคนความสุขในปัจจุบันคือการได้ฟังเพลงที่เพราะ ได้ดูหนังที่สนุก ได้กินอาหารที่อร่อย อันนี้ก็เป็นความสุขในปัจจุบัน แต่ว่าฟังมากๆก็เบื่อ ดูหนังมากทั้งวันก็เซ็ง ช่วงโควิด บางคนดูหนังทั้งวันทางเน็ตฟลิกซ์ดูวันละ 3 เรื่อง บางครั้งละ 4-5 เรื่อง ดูทุกวันจนเซ็ง แต่ว่าความสงบกลางใจเป็นความสุขที่ยากที่จะเบื่อ ยากที่จะเซ็ง เพราะลึกๆในใจของเราโหยหาความสุขชนิดนี้คือความสงบ นั้นคือความสงบอยู่กลางใจเรา ที่เราพบได้ทุกขณะ
ที่สำคัญเราจะเข้าถึงได้ เราต้องรู้จักอยู่กับปัจจุบัน ความสงบหาไม่ได้จากอดีต ความสงบหาไม่ได้จากอนาคต มันต้องหาได้จากปัจจุบันเท่านั้น ความสุขในปัจจุบันบางอย่างหาได้จากอนาคตเช่น ฝันหวาน ฝันว่าปีใหม่นี้จะไปเที่ยวที่ไหน หรือฝันว่าถ้าหมดโควิด จะไปเที่ยวให้ชุ่มคอ และสนุกด้วย หรือฝันว่าจะได้พบคู่รัก ฝันว่าจะได้สุงสิงกัน แค่ฝันว่ามีความสุขอันนี้เป็นเรื่องของอนาคตจะเป็นจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้
แต่ความสุขนั้นไม่ใช่ความสงบ ไม่ว่าจะเป็นความปลาบปลื้มหรือความพรึงเพริด แต่รสชาติต่างจากความสงบ ความสงบเหมือนกับน้ำจืดถึงแม้ว่าจะไม่มีรสชาติ แต่ว่ามันคือสุดยอดเลย แล้วคนเราทุกวันนี้ก็กลับหาความสุขชนิดนี้ที่เรียกว่าความสงบ และความสุขชนิดนี้สัมผัสได้ก็เพราะว่าอยู่ในปัจจุบันขณะเท่านั้น เราไม่สามารถที่จะสัมผัสได้จากในอดีตหรืออนาคต แต่จะเข้าถึงได้
ใจต้องอยู่กับปัจจุบัน เช่นอยู่กับลมหายใจที่เข้าและออกในกับปัจจุบันขณะ หรือว่าอยู่กับกายที่กำลังขยับเขยื้อนไปมาเช่น เดินจงกรม หรือว่ายกมือเป็นจังหวะ เมื่อใจเราอยู่กับปัจจุบัน อยู่กับอิริยาบถปัจจุบันขณะ เราจึงจะเข้าถึง สัมผัสกับความสงบกลางใจ
มันเป็นความสุขที่เราสามารถที่จะสัมผัสได้เฉพาะในปัจจุบันขณะเท่านั้น แต่เป็นสิ่งที่เราเข้าถึงได้ ไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหนก็ตาม ไม่จำเป็นต้องอยู่ที่วัด อยู่ที่ห้องพระ แต่อยู่ที่ริมถนน อยู่ในกรุงเทพฯ อยู่ในบ้าน แม้กระทั่งอยู่ในคุก
มีนักโทษหลายคน เมื่อเขาได้เรียนรู้การทำสมาธิ เขาสามารถที่จะพบความสุขและความอิสระ แม้ว่าตัวจะอยู่ในห้องขังที่คับแคบ มีบางคนเป็นนักโทษประหารรอการประหารมา 20 ปีแล้ว แต่ก็สามารถที่จะอยู่ในคุกหรือกับความไม่แน่นอนในชะตากรรมอย่างมีความสุขได้ เพราะว่าเขาเข้าถึงความสุขได้จากการที่รู้จักอยู่กับปัจจุบัน อยู่กับลมหายใจ อยู่กับอิริยาบถการเคลื่อนไหว
กลัวก็มี โกรธก็มี วิตกก็มี เพราะคนเรา บางทีก็กลัวตาย บางทีก็โกรธผู้คุมที่มากระทำย่ำยี แต่ว่าสุดท้ายสามารถเข้าถึงความสงบที่กลางใจได้จากการทำสมาธิ เป็นความสงบที่เข้าถึงได้ ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดถ้าหากว่าเรารู้จักน้อมใจอยู่กับปัจจุบัน ทีแรกปัจจุบันก็อย่างที่ว่าคือลมหายใจที่เข้าออก ท้องพองยุบ หรือว่าตัวเขยื้อนขยับระหว่างเดินจงกรม ยกมือสร้างจังหวะ
แต่ต่อไป มันได้เห็นปัจจุบันที่เกิดขึ้นกับใจ เวลามีอารมณ์เกิดขึ้น ความคิดเกิดขึ้น ความวิตกเกิดขึ้น ความกลัวเกิดขึ้น ทั้งหมดนี้เรียกว่าอารมณ์หรือธรรมารมณ์ ซึ่งเป็นปัจจุบัน ถ้าเราเห็นมันในแต่ละขณะนี้ในแต่ละขณะ เราจะพบความสงบได้ไม่ยากเพราะว่าเมื่อมันเกิดขึ้นแล้วเราเห็นมันในแต่ละขณะ ก็จะวางมันลงได้ง่าย มันจะไม่ครอบงำจนกระทั่งเกิดความรุ่มร้อน เกิดความคับแค้น เกิดความหนักอกหนักใจ
อันนี้คือการอยู่กับปัจจุบันเหมือนกัน คือเห็นปัจจุบัน เรียกว่าปัจจุบันธรรม ปัจจุบันธรรมคือสภาวะอารมณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นในแต่ละขณะแต่ขณะ เมื่อเกิดขึ้นทุกขณะก็เห็นมันทุกขณะเหมือนกัน เมื่อเห็นแล้วก็จะวาง เมื่อวางได้ ใจก็สงบ และอันนี้คือการอยู่กับปัจจุบันที่สำคัญมาก
อย่างที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า “ผู้ใดเห็นธรรมที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้าในที่นั้นๆอย่างแจ่มแจ้ง ไม่ง่อนแง่นคลอนแคลน เขาควรพอกพูนอาการเช่นนั้นไว้” อันนี้ก็เป็นพุทธภาษิตตอนหนึ่งที่เราสาธยายบ่อยๆเวลาเราสวดมนต์ในบทภัทเทกรัตตคาถา
ผู้ใดเห็นธรรมที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้าอย่างแจ่มแจ้งก็คือปัจจุบันธรรม หรือธรรมารมณ์ที่เกิดขึ้นในแต่ละขณะแต่ละขณะ ดีใจ เสียใจ โกรธ โมโห หงุดหงิด ฟุ้งซ่าน เหล่านี้ที่หลายคนเป็นทุกข์กับมันมาก หรือว่าเป็นทุกข์เพราะมัน แต่เป็นเพราะว่าไม่ได้เห็นมันต่างหาก
พอไม่เห็นมันก็เข้าไปยึดหรือเข้าไปเป็น แทนที่จะเห็นความโกรธก็เป็นผู้โกรธ เห็นความเศร้าก็เป็นผู้เศร้า แต่ถ้าเราทำอย่างที่พระพุทธเจ้าตรัส เห็นธรรมเฉพาะหน้าในที่นั้นๆอย่างแจ่มแจ้ง ไม่ง่อนแง่นคลอนแคลน มันจะทำให้ใจเราสงบ แล้วต่อไปก็จะทำให้เกิดความสว่าง สว่างเพราะเห็นสัจธรรมความจริงจากธรรมารมณ์หรืออารมณ์ที่มาปรากฏ เห็นมันเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป เห็นไตรลักษณ์นั้นเอง เห็นว่ามันไม่เที่ยงเห็นว่ามันไม่ใช่เรา ก็ยิ่งทำให้ใจเราวางได้ อันนี้ก็นำไปสู่ความสงบ
สงบเพราะไม่ใช่ว่ามันไม่เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะไม่มีความคิดฟุ้งซ่านเกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะไม่มีความหงุดหงิดเกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะไม่มีความโกรธเกิดขึ้น มันเกิดขึ้นมาเรื่อยๆแต่ว่าเราเห็นมัน เห็นมันแบบเฉพาะหน้าเลย เห็นแล้วไม่เข้าไปเป็น เห็นแล้วไม่เข้าไปยึด เห็นแล้วก็วาง ก็เกิดความสงบ
อันนี้ก็คือการอยู่กับปัจจุบันหรือการทำปัจจุบันให้ดีที่สุด ฉะนั้นถ้าเราเข้าใจอยู่กับปัจจุบันให้เป็น เราก็จะเข้าถึงความสุขได้ไม่ยาก เป็นความสุขที่ไม่ได้เกิดจากการเสพ การกิน หรือความสุขที่เกิดจากการกินเที่ยวเล่นซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้คนโหยหาโดยเฉพาะในยามที่ไปไหนมาไหนไม่ค่อยสะดวก ที่คนทุกข์ทุกวันนี้เพราะว่าการกินดื่มเที่ยวเล่น มันไม่สะดวกสบายเหมือนเมื่อก่อน ทำได้ไม่เต็มที่ แต่อันนั้นคือความสุขที่อยู่นอกตัวทั้งนั้น เป็นความสุขที่วาดหวังจากอนาคต
แต่ความสุขที่มีอยู่ในปัจจุบัน ความสุขที่เกิดขึ้นสัมผัสได้ในแต่ละขณะแต่ละขณะมีอยู่ และเราเข้าถึงได้ถ้าเราอยู่กับปัจจุบันเป็น และถ้าเราอยู่กับปัจจุบันเป็น การอยู่กับตัวเองให้เป็นก็จะเป็นเรื่องที่ไม่ยากไม่ว่าตอนนั้นเราจะอยู่ไหน อยู่บ้าน บ้านก็ไม่ใช่คุกอีกต่อไป แม้อยู่ในคุกใจก็ไม่ได้อยู่ในคุกด้วย ใจเป็นอิสระ
ถ้าเราอยู่กับตัวเองไม่เป็น อยู่บ้านก็เหมือนอยู่ในคุกอย่างที่เรารู้สึกได้ หรือหลายคนที่รู้สึกในขณะที่กักตัวในช่วงโควิด แต่ถ้าอยู่กับตัวเองเป็น อยู่คุกก็เหมือนอยู่กับอยู่บ้าน เพราะฉะนั้น ถ้าเราเข้าใจการอยู่กับปัจจุบัน และสามารถที่จะรักษาใจของเราอยู่กับปัจจุบันขณะให้เป็น ความสุขในแต่ละขณะนี้ในแต่ละขณะ จะเป็นสิ่งที่เราสัมผัสได้ไม่ยาก
และเมื่อถึงเวลาที่เจอความทุกข์ ไม่ว่าเพราะความเจ็บป่วย เพราะความสูญเสีย ก็จะไม่ทำให้ใจเราหวั่นไหว เพราะว่าทุกข์กายก็จริงแต่ใจไม่ได้ทุกข์ด้วยแม้แต่เสียทรัพย์ ก็เสียแค่ทรัพย์ใจไม่เสีย งานอาจจะล้มเหลวแต่ใจไม่ได้ล้มเหลวด้วย ใจจะมีอิสระจากเหตุร้ายที่เรียกว่าอนิฏฐารมณ์ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของเรา เพราะเราสามารถที่จะเข้าถึงความอิสระ ความสงบที่มีอยู่แล้วในกายใจเราได้