แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
อาจารย์พรหมวังโส ท่านเป็นพระชาวอังกฤษที่มาบวชกับหลวงพ่อชา ตอนหลังท่านก็ไปสร้างวัดที่ออสเตรเลีย ท่านเล่าว่า มีเพื่อนพระของท่าน คราวหนึ่งไปเทศนาสอนธรรมในเรือนจำ หลังจากที่ไปแสดงธรรมในเรือนจำอยู่พักหนึ่ง
นักโทษก็สนใจเรื่องราวของพระท่านนี้ก็เลยถามว่าความเป็นอยู่ของท่านเป็นอย่างไร เพราะว่าฝรั่งออสเตรเลียไม่รู้จักพุทธศาสนา แล้วก็ไม่รู้คุ้นเคยกับพระเลย พระท่านก็เล่าว่ากิจวัตรของอาตมาก็คือ ตื่น ตี 4 ทุกเช้า แล้วที่วัดนี้ไม่มีเครื่องทำความร้อนเลยหน้าหนาวก็จะหนาวมาก ก็ต้องทน แถมนอนก็นอนพื้นนอนเสื่อ อยู่ที่วัดไม่มีเหล้า กินเหล้าไม่ได้ กินอาหารได้แค่วันละมื้อ ตอนเย็นตอนบ่ายกินไม่ได้แล้ว เพศสัมพันธ์ก็มีไม่ได้ ดูหนังฟังเพลงดูโทรทัศน์ก็ไม่ได้ แล้วก็ไม่เคยดูหนังด้วยนับแต่บวชมา เล่นกีฬาก็เล่นไม่ได้ ทำงานหนัก ว่างเมื่อไหร่ก็ต้องมานั่งขัดสมาธิตามลมหายใจ อยู่กับตัวเองเพื่อเจริญสมาธิ
นักโทษเหล่านั้นพอฟังแล้วก็รู้สึกเลย ชีวิตของตัวเองในเรือนจำสะดวกสบายกว่ากันเยอะเพราะมีอาหารกิน 2 มื้อบ้าง 3 มื้อบ้างได้ ดูหนังได้ฟังเพลง ในบางครั้งบางคราวกีฬาก็เล่นได้ เล่นไพ่ก็ได้ มีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย ดีกว่าพระในวัดเสียอีก
มีนักโทษคนหนึ่งพูดขึ้นมาเลยว่า ทำไมชีวิตของพระลำบากขนาดนี้ นิมนต์ท่านมาอยู่กับพวกเราดีกว่า พอพูดจบเขาก็หัวเราะกันใหญ่ เพราะว่าหนุ่มคนนั้นมองว่าที่ตัวเองอยู่นั้นคือคุกคือเรือนจำ
มันก็น่าคิด วัดกับคุกมันต่างกันอย่างไร ความแตกต่างมีเยอะเลย แต่ความแตกต่างอย่างหนึ่งคือวัดผู้คนสมัครใจมาอยู่ เต็มใจมาอยู่ แล้วก็จำนวนไม่น้อยก็มีความสุขกับการได้อยู่วัด ตรงข้ามกับคนที่อยู่เรือนจำไม่มีใครอยากมา ไม่ได้อยู่มาด้วยความสมัครใจ แต่ว่าจำใจอยู่ กล้ำกลืนฝืนทนที่จะอยู่เรือนจำ
อันนี้คือความแตกต่างที่สำคัญประการหนึ่ง ระหว่างวัดกับคุก คุกเป็นที่ๆผู้คนไม่เต็มใจจะอยู่ อยู่อย่างจำใจ กล้ำกลืนฝืนทน ซึ่งถ้ามองในแง่นี้ที่ใดก็ตามที่เราไม่อยากอยู่ ไม่เต็มใจอยู่ อยู่อย่างจำใจหรือกล้ำกลืนฝืนทน เรียกว่าเป็นคุกได้เหมือนกัน มองในแง่นี้การบวชเป็นพระสำหรับบางคน อาจจะหมายถึงการอยู่คุกก็ได้ ถ้าหากว่าไม่เต็มใจที่จะอยู่ ไม่เต็มใจที่จะปฏิบัติ
มันก็มีคนที่มาบวชด้วยความจำใจ อาจจะเพราะว่าถูกพ่อแม่บังคับหรือขอร้อง หรือว่าเพราะว่าหนีปัญหาบางอย่าง หนีคดีก็มี หนีหนี้ก็มี หรือมาอยู่ก็ไม่คิดว่าจะต้องอยู่นานเป็นเดือนหรือเป็นปีเลย ถ้าหากว่าไม่เต็มใจอยู่หรือว่ากล้ำกลืนฝืนทนความเป็นพระก็กลายเป็นทุกข์ได้
ในขณะที่สำหรับบางคนเรือนจำหรืออยู่คุก แต่พอเขาคุ้นเคยกับชีวิตที่อยู่ในคุก และเขามีความสุขกับการที่อยู่ในคุก ไม่ได้รู้สึกว่าต้องกล้ำกลืนฝืนทน ก็อาจจะเรียกได้ว่าคุกกลายเป็นบ้านของเขาเลยก็ได้ บวชพระหรืออยู่วัด กลับรู้สึกว่าเหมือนกับติดคุก แต่ว่าอยู่คุกอยู่ในเรือนจำกลับรู้สึกว่าเหมือนอยู่บ้าน มองในแง่นี้จะอยู่คุกหรือไม่ อยู่ที่ใจ
ถ้าหากว่ากล้ำกลืนฝืนทนหรืออยู่อย่างอึดอัด ที่นั่นก็กลายเป็นคุกได้ บางคนอาจจะเรียกว่านั่นคือบ้านสำหรับบางคนบ้านคือคุก เพราะว่าเขาจำใจต้องอยู่ อาจจะเป็นเพราะไม่มีอิสระ อาจจะเป็นเพราะว่าถูกบีบบังคับให้อยู่ ต้องกล้ำกลืนฝืนทนอย่างวัยรุ่นจำนวนมากเขารู้สึกว่าบ้านเป็นคุก เพราะว่าถูกพ่อแม่บังคับทุกอย่างเลย เคี่ยวเข็ญสารพัด ก็เลยรู้สึกว่าการอยู่บ้านคือความทุกข์ทรมาน จำใจต้องอยู่ เพราะว่าไม่รู้จะไปไหน หรือว่าจะไปไหนแต่ไปไม่ได้เพราะถูกบังคับ
แต่เขาหาทางไปหาช่องที่จะไปอยู่ที่อื่น แวบไปชั่วคราวก็ยังดี คือพอรู้สึกว่าบ้านเป็นคุกก็พร้อมที่จะแหกคุกได้ทุกเมื่อ แต่ไม่ใช่เฉพาะวัยรุ่นทุกครั้งที่มีความรู้สึกบ้านคือคุก ผู้ใหญ่หลายคนก็รู้สึกอย่างนั้นเหมือนกันโดยเฉพาะช่วง covid ที่มีการล็อกดาวน์กันอย่างยืดเยื้อยาวนานเป็นเดือนหรือหลายๆเดือน ทั้งๆที่บ้านก็มีความสะดวกสบาย และก็มีอิสระเสรีที่จะทำอะไร ดูหนังฟังเพลงจะนอนเมื่อไหร่ก็ได้ สบายเสียอีกไม่ต้องเดินทางสู้กับจราจรที่แน่นขนัดเพราะว่าสามารถที่จะทำงานที่บ้านได้หรือทำจากที่บ้านได้
แต่หลายคนรู้สึกว่าบ้านคือคุกรู้สึกอึดอัดมาก เพราะฉะนั้นพอมีมาตรการผ่อนคลายดีใจกันใหญ่ออกจากบ้านไปขับรถไปเที่ยวห้างไปที่ไหนที่ไหน ขอให้ได้ออกจากบ้านเพราะเขารู้สึกอยู่อย่างต่อเนื่องว่าบ้านคือคุก
เพราะฉะนั้นคุกไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าเป็นเรือนจำที่มีกำแพงล้อมรอบ มีผู้คุมหรือเปล่า แต่มันอยู่ที่ใจของเราว่าเราจำใจอยู่หรือเปล่า ต้องกล้ำกลืนฝืนทนอยู่ในที่นั้นไหม แต่ที่จริงถ้าจะมองให้กว้าง คุกไม่ใช่จำกัดแค่สถานที่ แต่มันอาจจะรวมไปถึงสถานการณ์ก็ได้เวลาเราอยู่ในสถานการณ์บางอย่างที่เราจำใจต้องอยู่กล้ำกลืนฝืนทน ตอนนั้นก็เหมือนกับว่าเราติดคุกสถานการณ์ที่ว่า
ก็อาจจะได้แก่การมีชีวิตครอบครัวที่ร้าวฉาน มีความสัมพันธ์ที่ไม่ค่อยดี ไม่ค่อยราบรื่นกับคู่ครอง บางคนยังรู้สึกติดแหงกอยู่กับชีวิตการแต่งงาน ที่จริงก็เต็มใจ สมัครใจที่จะมามีความสัมพันธ์กับคนๆหนึ่ง หรือว่ามีชีวิตคู่ แต่พอว่าอยู่ไปๆ มันร้าวฉาน มันไม่ราบรื่น มีความขัดแย้ง จะออกก็ออกไปไม่ได้ เรียกว่าต้องกล้ำกลืนฝืนทน
สำหรับหลายคน แม้ว่าเขาจะมีอิสระเสรีจะไปไหนมาไหนได้ แต่เขารู้สึกว่าติดคุกติดแหงกอยู่กับความสัมพันธ์บางอย่างที่ไม่ราบรื่น หรือบางทีอาจจะหมายถึงการที่ต้องทำงานบางอย่างที่ไม่ชอบแต่จำเป็นต้องทำ ไม่ชอบเอาเสียเลยสำหรับงานนี้แต่ว่าไม่รู้ว่าจะไปทำอะไรดี ก็อยู่กับงานหรือว่าทำงานอย่างนั้นเป็นเดือนๆเป็นปีๆอย่างนี้ก็เหมือนกับติดคุก
อาจจะรวมไปถึงความเจ็บป่วยด้วยก็ได้ ความเจ็บป่วยโดยเฉพาะป่วยหนักถึงขั้นทุพพลภาพ ร่างกายติดขัดมันเป็นสถานการณ์ที่ไม่มีใครชอบ แล้วพอต้องอยู่ในภาวะเช่นนั้นก็รู้สึกอึดอัด รู้สึกว่าทุกข์ทรมาน แล้วก็ไม่สามารถที่จะออกไปจากสถานการณ์นั้นได้ อย่างนี้เรียกว่าคุกเหมือนกัน
เพราะฉะนั้นจะว่าไปแล้วผู้คนที่รู้สึกว่าตัวเองติดคุกไม่ใช่มีเฉพาะคนในเรือนจำซึ่งเป็นคนส่วนน้อย แต่คนจำนวนมากที่เรียกว่าทั้งประเทศอะไรก็ได้รู้สึกว่าติดคุกเพราะว่าต้องจำยอมอยู่ในสถานการณ์หรือในความสัมพันธ์บางอย่างที่มันอึดอัด แล้วก็รู้สึกเครียดทุกข์ทรมาน ออกจากสถานที่นั้นไม่ได้
แต่ว่าจริงๆมันเป็นอย่างที่บอก มันอยู่ที่ใจ มันอาจจะต้องอยู่ในความสัมพันธ์อยู่ในสถานการณ์บางอย่างที่มันลำบาก แต่ว่าถ้าเราสามารถทำให้ใจของเราแทนที่จะรู้สึกอึดอัดกล้ำกลืนฝืนทน กลับรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่ทำใจยอมรับได้ อันนั้นเรียกว่าคุกมันก็ค่อยๆเปิดประตูที่จะทำให้เราเป็นอิสระเหมือนกัน ถึงแม้ว่าจะอยู่ในสถานการณ์นั้นแต่ว่าใจไม่ได้รู้สึกว่าติดคุกแล้ว
เพราะฉะนั้น เวลาเรารู้สึกว่าเราติดคุกไม่ว่าจะเพราะสถานที่หรือว่าเพราะสถานการณ์บางอย่าง ในแง่หนึ่งเราก็ต้องพยายามที่จะหาทางออกจากสถานที่หรือสถานการณ์ให้ได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความสัมพันธ์ การงานหรือความเจ็บป่วย เจ็บป่วยก็ต้องพยายามที่จะรักษาตัวให้หาย เจองานที่ไม่ชอบก็ต้องเรียนรู้ที่จะไปหางานที่เราถนัดที่มันจะทำให้เราได้ใช้ศักยภาพที่ดีกว่า หรือว่าที่เป็นความสัมพันธ์ที่รู้สึกว่าไม่ใช่ก็พยายามออกมาจากความสัมพันธ์นั้น
แต่ขณะที่ออกไม่ได้สิ่งหนึ่งที่เราทำได้ก็คือทำใจ ทำใจอย่างไร ทำใจยอมรับ ทันทีที่เราทำใจยอมรับได้ก็เหมือนกับว่าเราได้ออกจากคุก เพราะว่าไม่ได้รู้สึกกล้ำกลืนฝืนทนหรือว่าจำใจอยู่อีกต่อไป
ให้เราลองสังเกตดูเมื่อใดก็ตามที่เรายอมรับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้ ไม่ผลักไส ไม่โวยวาย ไม่ตีโพยตีพาย ใจเราจะสงบ และสิ่งที่เราเคยรู้สึกว่าเป็นปัญหา มันจะเป็นปัญหาน้อยลง
คนที่เจ็บป่วย ถ้าเขาสังเกตดูดีๆ ความทุกข์ที่มันเล่นงานจิตใจเขา เพราะว่านั่นคือการไม่ยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น เขาไม่ได้แค่ทุกข์กายอย่างเดียวเขาทุกข์ใจด้วย พอใจไม่ยอมรับใจ รู้สึกปฏิเสธ ผลักไส มันก็จะรู้สึกทันทีเลยว่าสิ่งที่เกิดขึ้น สถานการณ์ที่เกิดขึ้นมันเหมือนนรกเลย
แต่พอทำใจยอมรับมันได้ ความทุกข์ความอึดอัดความรู้สึกกล้ำกลืนฝืนทน มันก็จะบรรเทาเบาบางลง การที่เราจะยอมรับสถานการณ์ที่ย่ำแย่ส่วนหนึ่งเพราะเราตระหนักว่า เมื่อมันเกิดขึ้นแล้วป่วยการที่จะโวยวายตีโพยตีพาย หรือยิ่งเราตระหนักว่ามันไม่มีอะไรที่ไม่เที่ยง สิ่งที่เกิดขึ้นมันไม่จีรังยั่งยืน มันก็ช่วยทำให้เรายอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นได้ด้วยใจสงบมากขึ้น
มีนักโทษคนหนึ่งที่ติดคุกด้วยความผิดที่ตนเองไม่ได้กระทำแต่จับพลัดจับผลูต้องติดคุก ช่วงแรกที่เขาอยู่คุกทรมานมาก แต่วันหนึ่งเขาสังเกตตรงฝาผนังตรงหัวนอนมีข้อความที่เขียนว่า แล้วมันก็จะผ่านไป มันทำให้เขาเกิดกำลังใจขึ้นมาเลย ทำให้เขาตระหนักว่าความทุกข์ทรมานที่เกิดขึ้นในเวลานี้ อีกไม่นานก็จะกลายเป็นอดีตไป วันเวลาที่จะถูกจองจำมันย่อมมีวันสิ้นสุด
พอคิดได้แบบนี้ เขายอมรับสภาพที่เกิดขึ้น ไม่บ่นไม่โวยวายตีโพยตีพาย ก็อยู่กับมัน ใจเขาก็สบายขึ้น แล้ววันหนึ่งเขาก็ออกจากคุกเป็นอิสระได้ ไม่ว่าเราจะอยู่ในสถานที่หรือสถานการณ์ใดก็ตาม แม้ว่ามันจะยากลำบากหรือทุกข์ทรมาน แต่ถ้าเรานึกไว้สักหน่อยว่าแล้วมันจะผ่านไปมันก็ช่วยทำให้เรายอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นได้ เพราะเรายอมรับได้ ความทุกข์ใจ โวยวายตีโพยตีพาย ปฏิเสธผลักไส ก็จะบรรเทาเบาบางลง แล้วก็ทำให้เราพบความสงบได้
นอกจากยอมรับเพราะว่ามันคือความจริงที่เราปฏิเสธไม่ได้ถ้าหากว่าเราทำได้ ดีกว่านั้นคือทำใจเป็นมิตรกับสิ่งที่เป็นอยู่ อะไรก็ตามที่เราเป็นมิตรด้วย มันก็จะกลับเป็นมิตรกับเรา
มีผู้หญิงคนหนึ่ง เธอพบว่าเธอเป็นมะเร็ง แต่ว่าแทนที่เธอจะมีความทุกข์กับมะเร็ง ทั้งๆที่เธอเป็นโรคซึมเศร้ามาก่อนหน้านั้นแล้ว พอเจอโรคมะเร็งอีกซ้ำสองเหมือนเคราะห์ซ้ำกรรมซัด แต่ว่าพอเธอมาได้คิดว่ามะเร็งมันก็มีข้อดีเหมือนกัน มันทำให้เธอเข้าใจตัวเองแล้วก็รับมือกับโรคได้ดีขึ้น มันทำให้เธอมีความสุขขึ้น
เธอบอกว่า ถ้าไม่เป็นมะเร็ง เธอก็ตายเพราะโรคซึมเศร้า โรคซึมเศร้าทำให้เธอตายโดยไม่รู้ตัว และก่อนหน้าที่จะเป็นมะเร็ง เธอก็เคยคิดฆ่าตัวตายหรือพยายามฆ่าตัวตายมาแล้ว 3 ครั้งเพราะโรคซึมเศร้า แต่พอเป็นมะเร็ง ได้คิดเลยอย่างที่เธอว่ามันทำให้เธอรับมือกับโรคได้ดีขึ้น ขนาดหมอ จิตแพทย์ยังบอกเลยว่าทัศนะการมองโลกมองชีวิตเปลี่ยนไป ตั้งแต่เป็นมะเร็ง
คือเธอเป็นทุกข์กับมะเร็งน้อยลงเพราะว่าเธอเห็นมะเร็งมีข้อดีคือ พอเป็นมิตรกับมะเร็ง มะเร็งก็เป็นมิตรกับเธอ สถานการณ์หรือสถานที่ที่เรารู้สึกอึดอัดส่วนหนึ่งก็เพราะว่า เรารู้สึกลบกับมัน มองเห็นแต่ด้านที่ไม่ดีของมัน แต่พอเรารู้สึกเป็นมิตรกับมันเพราะเห็นข้อดีของมัน มันก็กลายมาเป็นมิตรกับเรา
มีนักบินอวกาศคนหนึ่ง เมื่อสัก 50-60 ปีก่อนตอนที่เขาอยู่บนอวกาศมองลงมาที่พื้นโลก เขาเห็นความสวยสดงดงาม โลกที่สวยงามท่ามกลางความมืดในนั้นก็มีความสงบมาก มันไม่มีเสียงอะไรเลย แม้แต่เสียงเครื่องยนต์เพราะว่ายานอวกาศโคจรรอบโลก แต่จู่ๆได้ยินเสียงเหมือนกับเหล็กโลหะกระทบกันไม่เป็นจังหวะเลย มันรบกวนความสงบ ความสงบหายไปเลย เขาก็พยายามหาว่าเสียงมาจากไหน เสียงก็ดังต่อเนื่อง 5 นาที 10 นาที 20 นาที 30 นาที
ตอนนั้นเขารู้สึกทรมานมาก ห้องนักบินแคบอยู่แล้วพอมีเสียงรบกวน ความรู้สึกนี้เหมือนกับออกไม่ได้ หนีไม่ได้ เหมือนกับติดคุกเลย แล้วเขาก็คิดว่าถ้าเสียงมันดังต่อไปเรื่อยๆเขาคงบ้าแน่ๆ เพราะยิ่งดังขึ้นเรื่อยๆ
แต่เขามีช่วงขณะหนึ่งที่เขาได้คิดว่าเมื่อต้องอยู่กับเสียงทำไมไม่ลองทำใจชอบเสียง เขาก็หลับตาแล้วเขาก็จินตนาการว่าเสียงโลหะที่ดัง มันเป็นเสียงเพลงทันทีที่เขาจะนึกว่าเป็นเสียงเพลง เสียงโลหะนั้นหายไปเลย มันมีแต่เสียงเพลงที่อยู่ในหัวของเขา เขาลืมตาขึ้นมา หลังจากนั้นสักระยะหนึ่ง เสียงเพลงก็ยังดังในขณะที่เสียงโลหะมันหายไปแล้ว
เขากลับรู้สึกเพลิน ไม่ได้รู้สึกว่าต้องติดคุกอยู่ในห้องนักบินอีกต่อไป ที่จริงเสียงโลหะยังดังอยู่แต่ว่ามันไม่ได้รบกวนจิตใจแล้วเพราะว่าเขาเรียนรู้ที่จะรักมันชอบมัน มันก็เลยกลายเป็นเสียงเพลง แทนที่จะเป็นเสียงรบกวน แล้วเขาก็พบว่าเขาอยู่ในสถานการณ์นั้นได้ด้วยความเพลินจนกระทั่งเขากลับสู่พื้นโลกอย่างปลอดภัย
อันนี้ก็ได้ให้แง่คิด อะไรก็ตามที่มันรบกวนเรา แต่พอเราเป็นมิตรกับมัน มันก็กลายเป็นมิตรกับเรา มันไม่มารบกวนเราอีกต่อไป อย่างไรก็ตามที่พูดมา มันยังมีคุกอีกชนิดหนึ่งนอกจากสถานที่หรือสถานการณ์ คุกที่ว่านี้คืออารมณ์ อารมณ์ที่มันครอบงำใจไม่ว่าจะเป็นความโกรธ ความเศร้า ความเครียด พวกนี้พอมาครอบงำใจก็เหมือนกับเราติดคุก
คนเราติดคุกชนิดนี้มากทีเดียว แม้ว่าเราจะมีอิสระเสรีไปไหนมาไหนได้แต่ใจเรากลับถูกครอบงำด้วยอารมณ์ ความรู้สึกเหล่านี้ และเวลาพูดถึงคุกที่เป็นสถานที่หรือคุกที่เป็นความสัมพันธ์ ที่มันเป็นคุกได้ที่มันทำให้รู้สึกเป็นทุกข์ ก็เพราะว่าการติดคุกของอารมณ์ อันนี้เป็นตัวสำคัญเลย และที่เราติดคุกชนิดนี้ได้เพราะว่าไม่รู้ตัว
ปล่อยให้อารมณ์พวกนี้มาครอบงำใจได้เพราะความไม่รู้ตัว เราติดคุกโดยไม่รู้ตัวก็เพราะว่าปล่อยให้อารมณ์พวกนี้มาครอบงำใจเราโดยไม่รู้ตัว คนเราติดคุกชนิดนี้มากแต่ไม่รู้ตัว ไม่รู้ตัวว่าติดคุก แต่ทันทีรู้ตัวเมื่อไหร่ จิตก็ออกจากคุกชนิดนี้ได้เพราะว่ามันครองใจเรามันครอบงำใจเราทุกครั้งที่เราไม่รู้ตัวทุกครั้งที่เราหลง
มันเป็นความหลงที่ทำให้เราเข้าไปในความคิด หลงเข้าไปในอารมณ์ ส่วนใหญ่คนไม่ค่อยอยากจะเข้าคุกแต่พอหลงทีไรใจเข้าไปในอารมณ์นั้นอย่างว่าง่ายเลย แล้วพอเข้าไป ก็ไม่อยากจะออกด้วยซ้ำ เวลาอยู่ในอารมณ์โกรธ มันก็คิดแต่จะขุดคุ้ยเรื่องราวต่างๆที่ทำให้โกรธมากขึ้น เวลาเศร้าก็มีแต่จะจมเข้าไปอยู่ในความเศร้ามากขึ้น ไม่คิดจะออกจากความโกรธไม่คิดจะออกจากความเศร้าเลย
พวกนี้น่ากลัวแล้วก็ทำให้สถานที่ต่างๆกลายเป็นคุกแม้กระทั่งเป็นบ้านก็ตาม มันทำให้สถานการณ์ต่างๆมันกลายเป็นความรู้สึกกล้ำกลืนฝืนทนที่จะต้องอยู่เพราะว่าเราปล่อยใจเข้าไปในคุกชนิดนี้ แต่ทันทีที่เรามีความรู้สึกตัว มันก็ออกจากคุกอารมณ์เหล่านี้ได้
หรือว่าถ้าเรามีสติเห็น หรือว่าใจมันจมอยู่ในอารมณ์เหล่านี้ มีสติเห็นความโกรธความเศร้าความเครียดความกังวล จิตก็ออกจากคุกเหล่านี้ได้เหมือนกันหรือแม้กระทั่งจิตมันเห็นอาการ มีสติเห็นอาการของจิตที่มันผลักไส
เวลาโกรธ เราอาจจะไม่สังเกตว่าจิตมีอาการผลักไส ผลักไสความโกรธ ผลักไสสิ่งที่ทำให้โกรธ ผลักไสความเศร้าหรือสิ่งที่ทำให้เศร้า ผลักไสความเครียดหรือสิ่งที่ทำให้เครียด การผลักไสนี่แหละที่ทำให้จิตยิ่งถลำเข้าไปอยู่ในอำนาจของอารมณ์เหล่านี้ เพราะว่าพอจิตเป็นศัตรูกับอารมณ์เหล่านี้ อารมณ์เหล่านี้ก็กลายเป็นศัตรูของจิต ก็มาทำร้ายจิต หรือว่าบีบคั้นจิตมากขึ้น
แต่ทันทีที่เรามีสติ เห็นอาการผลักไส แค่นี้มันก็ช่วยทำให้จิตออกจากอำนาจของอารมณ์เหล่านี้ได้เพราะว่าพอจิตเห็นอาการของการผลักไส พอรู้ว่าจิตมีอาการผลักไส จิตก็จะกลับมาเป็นปกติ แทนที่จะผลักไสก็แค่เห็นมันเฉยๆเรียกว่ารู้ซื่อๆรู้เฉยๆ หรือว่าสามารถที่จะปล่อยวางอารมณ์เหล่านั้นได้ มันก็ทำให้จิตสามารถที่จะหลุดจากอำนาจของอารมณ์เหล่านี้ได้ เรียกว่าจิตออกจากคุกคุกทางอารมณ์ได้
เราต้องเรียนรู้ที่จะพาจิตออกจากคุกชนิดนี้ หรืออย่างน้อยๆทุกครั้งที่จิตถูกจองจำ ครอบงำด้วยอารมณ์เหล่านี้ ก็ควรที่จะรู้ตัว เมื่อรู้แล้วแทนที่จะผลักไส แทนที่จะสู้รบตบมือกับมัน ก็แค่เห็นมันเฉยๆรู้ซื่อๆหรือว่าเป็นมิตรกับมันเลยก็ได้ อย่างที่ท่านติชนัทฮันห์เคบบอกว่า เวลามีความโกรธให้โอบกอดความโกรธ เวลามีความเศร้าให้โอบกอดความเศร้า ไม่ผลักไส ไม่รังเกียจ ผลักไสมัน แต่เป็นมิตรกับมัน
พอมีความเป็นมิตรให้กับอารมณ์เหล่านี้ อารมณ์เหล่านี้ก็จะเป็นมิตรกับใจของเราด้วยเหมือนกัน มันก็จะหมดพิษสง แล้วก็ทำให้จิตของเราเป็นอิสระ เพราะฉะนั้นเราต้องรู้จักคุกชนิดนี้ เพราะว่ามันครอบงำจิตของเราอยู่บ่อยๆ บางทีวันหนึ่งหลายครั้ง และวันหนึ่งก็หลายครั้ง บางคุกก็ครอบงำจิตของเราจองจำจิตของเรายืดเยื้อยาวนานเป็นวันเป็นอาทิตย์เป็นเดือนเป็นปีก็มี เพราะว่าความไม่มีสติความไม่รู้สึกตัว พอไม่รู้ตัวก็เลยติดคุกโดยไม่รู้ตัวเหมือนกัน
- พระอาจารย์ ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมเย็นวันที่ 20 พฤศจิกายน 2560