แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
เราตื่นแต่เช้ามืดทุกวันๆ เพื่ออะไร ตอบง่ายๆเพื่อมาทำวัตร เรามาทำวัตรเพื่ออะไร การมาทำวัตรสวดมนต์โดยเฉพาะในยามเช้ามืด มันก็มีวัตถุประสงค์หลายประการ อย่างหนึ่งก็เพื่อเตือนใจหรือย้ำให้เราระลึกถึงสิ่งที่เป็นความดีงามของชีวิต หรือสิ่งที่เรานับถือว่าเป็นความดีงามสูงสุด นั่นคือ พระรัตนตรัย
เมื่อระลึกถึงแล้ว ก็ได้เป็นเครื่องเตือนใจให้เราดำเนินชีวิตไปตามคำสอนของพระพุทธเจ้า เอาพระจริยวัตรของพระองค์มาเป็นแบบอย่าง รวมทั้งเดินตามปฏิปทาของพระอริยสงฆ์ทั้งหลาย คราวนี้นอกจากระลึกถึงความดีงามสูงสุดของชีวิตแล้ว ก็ยังเป็นการย้ำเตือนให้เราระลึกหรือตระหนักถึงความจริงของชีวิต
ความจริงของชีวิตเราได้สาธยายกันทุกเช้า โดยเฉพาะความจริงที่ว่า เราทุกคนต้องเผชิญกับความทุกข์ เมื่อเกิดมาแล้วก็ต้อง มีแก่ มีเจ็บ มีตาย ก็ต้องพบกับความพลัดพรากจากสิ่งที่รักที่พอใจ ประสบกับสิ่งที่ไม่รักไม่พอใจ หรือว่าปรารถนาสิ่งใดก็ไม่ได้สิ่งนั้น เป็นต้น ความทุกข์ของคนเราไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม หนีไม่พ้นสิ่งที่ว่ามา
แล้วพอเจอกับความพลัดพรากจากสิ่งที่รักที่พอใจ ประสบกับสิ่งที่ไม่รักไม่พอใจ ปรารถนาสิ่งใดไม่ได้สิ่งนั้นก็เกิดความโศกความร่ำไรรำพัน ความไม่สบายใจ ความคับแค้นใจ อันนี้คือความจริงของชีวิตที่เราทุกคนต้องประสบ ไม่ว่าอดีต ปัจจุบันหรืออนาคต ชีวิตของเราหนีไม่พ้นจากความเป็นจริงเหล่านี้ อดีตก็ต้องเจอ อนาคตก็ต้องเจอ ตราบใดที่ยังเป็นปุถุชนที่ยังเป็นผู้ศึกษาอยู่
มีหลวงพี่ท่านหนึ่ง เรียกว่าหลวงพี่เพราะว่าอายุหรือพรรษาของท่านมากกว่าอาตมาไม่เท่าไร ท่านเป็นพระที่ชาวบ้านนับถือ นอกจากท่านเก่งเรื่องสมุนไพรแล้ว ชาวบ้านลือกันว่าท่านเก่งในการดูดวงดูโชคชะตาด้วย ทำนายทายทักได้แม่นยำ เขาไปหาท่านให้ท่านดูชะตาเป็นประจำ เคยไปคุยกับท่าน ท่านบอกว่าท่านไม่ได้มีความรู้อะไรมากหรอก ท่านก็ไม่ได้นั่งทางในอะไร ไม่ได้ดูดวงด้วย แต่อาศัยคำสอนของพระพุทธเจ้านี้แหละ คำสอนที่เราสวดทุกเช้าอย่างที่ยกตัวอย่างไปเมื่อสักครู่
ก็เพราะว่าคนเรามีทุกข์เหตุแห่งทุกข์ก็หนีไม่พ้นที่เราสาธยายไปเมื่อสักครู่ ประสบกับสิ่งที่ไม่รักไม่พอใจ ปรารถนาสิ่งใดไม่ได้สิ่งนั้น ท่านก็ใช้ความจริงข้อนี้มาให้คำแนะนำแก่ญาติโยม รวมทั้งทำให้เข้าใจความทุกข์ของเขาด้วยว่าเพราะอะไร ชาวบ้านก็เลยดูเหมือนว่า โห สามารถจะรู้เรื่องชีวิตของเขาได้ ที่จริง ท่านก็ไม่ได้มีความสามารถพิเศษอะไรแต่อาศัยความจริงที่ว่านี้ มันเป็นความจริงเกี่ยวกับชีวิตและจิตใจ ความจริงของชีวิตก็คือว่ามีขึ้นมีลงเมื่อมีก็เสียตามมา เมื่อได้ในที่สุดก็สูญเสียมันไป
ประสบกับสิ่งที่ไม่น่ารักไม่พอใจ พลัดพรากจากสิ่งที่รักที่พอใจ พูดอีกอย่างหนึ่งมีลาภก็เสื่อมลาภ มียศเสื่อมยศ ได้รับคำสรรเสริญก็เจอคำนินทา มีสุขก็มีทุกข์ที่เรียกว่าโลกธรรม 8 มันเป็นเรื่องเดียวกันเพียงแต่ว่าพูดด้วยถ้อยคำที่ต่างกัน ประสบกับสิ่งที่ไม่รักไม่พอใจ ประสบกับสิ่งที่รักที่พอใจ อันนี้คือโลกธรรม 8 นั้นเอง
ซึ่งสุดท้ายก็เป็นเรื่องของอนิจจังเรื่องความไม่เที่ยง ปรารถนาสิ่งใดไม่ได้สิ่งนั้นก็คือว่าหมายความว่าโลกและชีวิตไม่ได้เป็นไปตามใจหวังของเราเสมอไป นี่คือความจริงของชีวิตที่เราต้องยอมรับแล้วก็เตือนใจตัวเองอยู่เสมอ ไม่ว่าเรามีอะไรหรือเป็นอะไรในวันนี้ วันหน้าก็จะสูญเสียมันไปหรือพลัดพรากจากมันไป ไม่ว่าเราปรารถนาสิ่งใด ก็ใช่ว่าเราจะสมหวังไปเสียทุกอย่าง บางครั้งปรารถนาแล้วก็ได้ แต่ไม่ได้ถึงใจ มันไม่ได้สมอยากก็ทุกข์เหมือนกัน คนเราทุกข์เพราะว่าความผันผวนปรวนแปรที่เกิดกับชีวิตนั้นเอง
แต่ที่จริงเมื่อเกิดขึ้นแล้วไม่ทุกข์ก็ได้ ถ้าหากว่ารู้ทันความจริงของชีวิตที่ว่า ความผันผวนปรวนแปรไม่ได้ทำให้เราทุกข์ใจ อาจจะทุกข์กายเช่นเจ็บป่วย หรือแก่ชรา อันนี้ก็เป็นความผันผวนปรวนแปรของชีวิต แต่ก็ไม่ได้ทำให้เราทุกข์ใจ อย่างมากก็ทุกข์กาย แต่ที่ความทุกข์ใจเกิดขึ้นเพราะว่าการไม่รู้ ไม่เท่าทันความจริงของชีวิตที่ว่า พูดง่ายๆไม่รู้ทันหรือไม่กระจ่างชัดในเรื่องของความไม่เที่ยงของชีวิต
นอกจากเรื่องความจริงของชีวิตแล้ว ความจริงที่เราสาธยายมันก็ยังมีเรื่องของจิตใจด้วย โดยเฉพาะที่ท่านได้สรุปในตอนท้าย อุปาทานขันธ์ทั้ง 5 เป็นตัวทุกข์ ขันธ์อันเป็นที่ตั้งของความยึดมั่นถือมั่น คือตัวทุกข์ หรือพูดอีกอย่างหนึ่ง เพราะไปยึดมั่นในขันธ์ 5 ก็เลยเกิดความทุกข์ขึ้น อะไรที่ไปยึดมั่นก็คือจิตนั้นเอง
นอกจากการที่เราควรจะเข้าใจความจริงของชีวิตแล้ว ความจริงของจิตใจ ก็เป็นสิ่งที่เราต้องเรียนรู้และเข้าใจ เราจะเรียนรู้แต่เรื่องชีวิตเท่านั้นไม่พอต้องเรียนรู้จิตใจด้วย จริงอยู่เรื่องของชีวิตเห็นง่ายมันสังเกตได้ง่ายเช่น ชีวิตที่ขึ้นและลง หรืออาการขึ้นลงของชีวิต อันนี้เราเห็นได้จากการสังเกตชีวิตของทุกคน ข่าวที่เราได้อ่านได้ยิน
โลกธรรม 8 ก็เหมือนกัน ได้ลาภเสื่อมลาภ ได้ยศเสื่อมยศ ได้รับคำชื่นชมสรรเสริญแล้วก็ถูกต่อว่าด่าทอ เจอสุขแล้วก็เจอทุกข์ อันนี้ก็เป็นเรื่องของชีวิตที่เราสามารถจะสังเกตเห็นได้จากคนรอบตัวหรือจากตัวเราเอง แต่ความจริงของจิตใจเห็นได้ยากกว่า แต่จะว่าไปแล้วเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดก็ว่าได้เพราะว่าเป็นตัวไปกำหนดชีวิตของผู้คน รวมทั้งตัวที่จะกำหนดว่าเราจะสุขหรือทุกข์ไปกับความผันแปรปรวนได้มากน้อยแค่ไหน
และนอกจากการศึกษาความเป็นไปของชีวิตเพื่อที่เราจะได้รู้เท่าทันธรรมดาหรือสัจธรรมแล้ว การศึกษาหรือการเข้าใจความจริงของจิตใจ ก็เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งเลย ไม่ว่าเราจะนับถือพุทธหรือไม่ ไม่ว่าเราจะปรารถนานิพพานหรือไม่ เพราะตราบใดที่เราปรารถนาความสุข ห่างไกลจากความทุกข์ ก็ต้องเข้าใจจิตใจ ชีวิตเห็นได้จากการมองไปข้างนอกไปที่ผู้คนที่อยู่แวดล้อม แต่จิตใจต้องมองเข้ามาข้างในแล้วก็ไม่ได้มองด้วยตาเนื้อแต่มองด้วยตาใน
ไม่ต้องเห็นอะไรมาก เพียงแค่เห็นถึงการเกิดขึ้นตั้งอยู่แล้วก็ดับไปของอารมณ์ และความคิด เท่านี้ก็ช่วยได้มาก เวลามีความคิดหรืออารมณ์ใดเกิดขึ้นเราเห็นมันไหม รู้หรือเปล่าว่ามันกำลังเกิดขึ้นในใจของเราขณะนี้ ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นความดีใจ ความเสียใจ รวมทั้งที่เราสาธยายมาทุกวัน ความโศก ความร่ำไรรำพัน ความไม่สบายใจ ความคับแค้นใจ
เพียงแค่เห็นหรือสังเกตความเป็นไปของใจในแต่ละขณะที่เกิดขึ้น มันก็เป็นพื้นฐานที่จะทำให้เราเห็นความจริง ใจเราเป็นอย่างนี้นี่เอง มันมีขึ้นมีลง มันเอาแน่เอานอนไม่ได้ เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย จะไปเอาเป็นเอาตายกับมันก็ไม่ได้ หรือจะไปจริงจังกับมันก็ไม่ควร เช่น บางครั้งมันก็ดีใจ หรือบางครั้งก็โกรธ บางครั้งก็เกลียด บางครั้งก็รัก แต่แล้วรักก็กลายเป็นเกลียด ชอบก็กลายเป็นชัง โกรธก็กลายเป็นชอบ เกลียดก็กลายเป็นรัก
เพราะฉะนั้น เวลาเกลียดใครอย่าไปเกลียดเต็มร้อยเพราะต่อไปอาจจะแปรเปลี่ยนเป็นอื่นก็ได้ หรือเวลารักก็เหมือนกัน อย่าไปรักเต็มร้อยจนหมดเนื้อหมดตัวเพราะมันอาจจะแปรเปลี่ยนไปได้ ถ้ารักเต็มร้อยถึงเวลาเกลียดมันก็เกลียดเต็มร้อย ความคิดก็เหมือนกัน คิดอะไรขึ้นมาก็อย่าไปโถมทุ่มเทกับมันเต็มร้อยเพราะว่าวันดีคืนดี มันก็อาจจะเปลี่ยนใจก็ได้
เหมือนกับเด็กเล่นปราสาททราย เวลาเด็กเล่น ใครมายุ่งไม่ได้เลย ปราสาททรายริมทะเล เพื่อนคนอื่นจะมายุ่งไม่ได้เลย นี้คือปราสาทของฉันๆ หวงแหนมาก แต่พอได้เวลากลับบ้าน แม่เรียกให้ไปกินข้าว เย็นแล้วเด็กก่อนไปก็จะกระทืบปราสาททรายนั้นยับเยินเลย ไม่เอาแล้ว ทั้งที่ตะกี้นี้หวงแหนมาก แต่ตอนนี้ทำลายมันด้วยเท้าของตัวเอง
อันนี้คือความไม่เที่ยงของความคิดและอารมณ์ ซึ่งเราเห็นได้จากการที่เราสังเกตใจของเราเมื่อมันมีอารมณ์หรือความคิดใดเกิดขึ้น เห็นมันหรือเปล่า หรือว่าปล่อยให้มันครอบงำหรือลากลู่ถูกรังจิตใจของเรา ถึงเวลามันหายไป ไม่รู้ว่ามันหายไปตอนไหน
ถ้าเราสังเกตใจของเรา เราก็จะพบว่าความทุกข์โดยเฉพาะความทุกข์ใจ มันก็ไม่ได้เกิดจากอะไร มันเกิดจากความหลงลืม มันหลงเข้าไปในความคิด ความคิดลบความคิดร้าย อาจจะเป็นเรื่องราวในอดีตที่เจ็บปวดหรือจะเป็นอนาคตที่มโนไปต่างๆนานา พอหลงเข้าไปในความคิด แล้วก็โกรธ เครียด กังวล แล้วก็กลัวหรือน้อยเนื้อต่ำใจ อันนี้เรียกว่าหลงเข้าไปในอารมณ์ ทีแรกหลงเข้าไปในความคิด สักพักก็หลงเข้าไปในอารมณ์ ที่มันหลงเข้าไปในความคิดตั้งแต่แรกเพราะว่าอะไร เพราะว่ามันลืม
ลืมอะไร ลืมสิ่งที่กำลังทำอยู่ กำลังสวดมนต์อยู่ เดี๋ยวใจมันหลงเข้าไปในความคิดเกี่ยวกับอดีตแล้วหรือหลงเข้าไปคิดถึงลูกที่กำลังเจ็บป่วยหรืออยู่คนเดียวเกิดความห่วงใยเกิดความวิตกขึ้นมา กำลังทำงานอยู่ ก็หลงเข้าไปในความคิดเกี่ยวกับเรื่องการผ่อนบ้าน ไม่รู้จะไปหาเงินที่ไหนมาผ่อนบ้านเดือนนี้ เครียด ทั้งที่มันยังไม่ถึงเวลาอันนี้เรียกว่าลืม ลืมแล้วทำให้หลง หรือหลงจะเกิดจากความลืม ลืมว่ากำลังทำอะไรอยู่ ลืมปัจจุบันทำให้หลงเข้าไปในอดีต หรือหลงเข้าไปในอนาคต
คราวนี้พอหลงแล้วก็ลืม ทีแรกลืมทำให้หลง พอหลงเสร็จก็ลืมเลย เมื่อหลงเข้าไปในอารมณ์ เช่นโกรธ มันก็ลืมไปว่าอะไรควรอะไรไม่ควร หลุดปากด่าออกไป ทั้งที่เป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ หรือทำลายข้าวของ อันนี้เรียกว่าลืม ลืมว่าอะไรควรอะไรไม่ควร บางทีก็ลืมพ่อลืมแม่ ลืมเพื่อน ลืมครูบาอาจารย์ ลืมลูก พอโกรธแล้วมันก็ไม่เลือกหน้าใคร มันจะด่าอย่างเดียวโดยที่ไม่ได้คำนึงถึงจิตใจหรือความรู้สึกของเขา
หรือลืมแม้กระทั่งคู่รักคู่ครอง บางทีทำร้ายถึงพิการหรือถึงตายก็มี พอรู้ตัวเข้า ตกใจ นี่กูทำอะไรไปหรือนี่ อันนี้เรียกว่าหลงเข้าไปในความคิด หลงเข้าไปในอารมณ์ มันก็เลยลืม ลืมว่าอะไรควรอะไรไม่ควรลืม ลืมพ่อลืมแม่ ลืมลูก ลืมผัวลืมเมีย
รวมทั้งลืมตัวด้วย เพราะว่าถ้าไม่ลืมตัว ไม่ทำอย่างนั้นหรอก รวมทั้งลืมว่ากำลังทำอะไรอยู่ บางคนดีใจถูกลอตเตอรี่ ขับรถกลับบ้าน ระหว่างที่ขับรถ ลืมไปเลยว่ากำลังขับรถเพราะว่าใจกำลังลิงโลด คิดถึงว่าจะเอาเงินไปซื้ออะไรบ้าง จะไปเที่ยวที่ไหน จะซื้อบ้านซื้อรถซื้อเพชรซื้อพลอย ตอนนั้นแหละที่ลืมว่ากำลังขับรถอยู่ เสร็จแล้วก็ประสบอุบัติเหตุ
ลองดูความทุกข์ของคนเรา มันก็หนีไม่พ้น เป็นเพราะความหลงลืม ทีแรกลืมก่อน แล้วก็หลง พอหลงเสร็จก็ลืมหนักขึ้น ความหลงลืมอีกอย่างหนึ่งคือหลงลืมความจริงของชีวิต หลงลืมว่ามันไม่เที่ยงนะ นี้เป็นความจริงของชีวิตที่มันไม่เที่ยง เมื่อไม่รู้หรือไม่ตระหนักถึงความไม่เที่ยงของสิ่งต่างๆ ก็เข้าไปยึดหรือไปหลงว่า ทรัพย์สมบัติมันจะอยู่กับเราไปจนชั่วฟ้าดินสลาย ไม่ว่าจะเป็นบ้าน รถยนต์ รวมทั้งคนรัก มันหลงยึดว่าเที่ยง หลงยึดว่าเป็นของเรา ไปหลงนึกว่าเป็นตัวเราเลยก็มี
ใครมาวิจารณ์รถของเรา ก็เหมือนกับว่ากำลังวิจารณ์หรือด่าเรา โกรธเลย ไม่ต้องพูดถึงว่าพอมันเสื่อมมันเสียก็ทุกข์ อันนี้ขนาดของรัก หากเป็นคนรักยิ่งทุกข์เข้าไปใหญ่ อันนี้เรียกว่าหลง หลงคือว่า มันไม่รู้ความจริง หรือลืมความจริง ถ้าเราไม่อยากทุกข์ ก็ต้องอย่าให้ความหลงลืมเข้ามาครอบงำใจ
จะไม่ให้หลงได้อย่างไร ก็ต้องมีความรู้สึกตัว จะไม่ให้ลืมได้ยังไง ก็ต้องมีสติ สติคือไม่ลืม ความรู้สึกตัวคือไม่หลง คนเราไม่ว่าจะเจอความผันผวนปรวนแปรอย่างไร ถ้าเรามีความรู้สึกตัว มันก็จะระลึกขึ้นมาได้ว่าความจริงมันเป็นอย่างนี้แหละ อะไรๆก็ไม่เที่ยงโดยเฉพาะคนที่ศึกษาธรรม ฟังธรรมมาเยอะ ถ้ามีความรู้สึกตัว มันจะระลึกได้ถึงคำสอนของพระพุทธเจ้าหรือสัจธรรมความจริงที่เราได้ร่ำเรียนมาว่ามันไม่เที่ยง มันก็ทำให้ปล่อยวางได้ ไม่จมอยู่ในความทุกข์
แต่ทำไมคนที่ฟังมามากอ่านมามากพอเจออะไรผันผวนแปรปรวนของชีวิต เกิดความทุกข์ เกิดความโศก ความร่ำไรรำพัน ความคับแค้นใจ เพราะว่าตอนนั้นมันไม่รู้สึกตัว ขาดความรู้ตัว มันก็เลยลืมคำสอนของพระพุทธเจ้า หรือลืมสิ่งที่ได้เคยเรียนรู้มา ความรู้สึกตัวทำให้เกิดระลึกได้ถึงความจริงสัจธรรมที่ทำให้วางใจได้ถูก อันนี้เรียกว่าทำจิต คนเราจะทำจิตได้ถูกเพราะมีความรู้สึกตัว
แต่ว่านอกจากทำจิตแล้ว ในบางสถานการณ์เราก็ต้องทำกิจด้วย จะทำกิจได้ถูกต้องก็ต้องมีความรู้สึกตัวด้วยและมีสติ กำลังขับรถอยู่ด้วยความเร็วสูงปรากฏว่ายางเกิดแตก อันนี้เป็นอนิจจังอย่างหนึ่งเลย พอยางแตกทำอย่างไร ถ้าคนที่มีสติมีความรู้สึกตัวเขาจะไม่เหยียบเบรคทันที แต่ว่าหลายคนพอยางแตกในสถานการณ์อย่างนั้นก็ตกใจ เหยียบเบรคทันที ลืมไปว่าเขาห้ามเหยียบเบรกขณะที่รถกำลังแล่นเร็ว พอเหยียบเบรค รถก็พลิกคว่ำทันที
อันนี้เรียกว่าแก้ปัญหาผิดพลาดผิดจุด ไม่ใช่ว่าไม่รู้ว่าอะไรควรไม่ควร แต่ตอนนั้นมันลืม ที่มันลืมเพราะอะไร เพราะว่าหลงเข้าไปในความตกใจ พอตกใจเข้าก็หลง แล้วก็ลืม คนเราในยามปกติก็รู้ว่าอะไรควรอะไรไม่ควร แต่เวลาที่เกิดเหตุที่ไม่คาดฝัน ซึ่งก็เป็นอนิจจังอย่างหนึ่ง มันตกใจ
มีเรื่องเล่าที่ท่านอาจารย์พุทธทาสพูดถึงเรื่องแม่ลูกอ่อนคนหนึ่ง เรื่องนี้ก็ 60 ปีมาแล้ว สมัยที่คนไทยยังใช้เหรียญสตางค์แดง เป็นเหรียญทองแดง ลูกน้อยเกิดหยิบแล้วกลืนเหรียญสตางค์แดงเข้าไป ก็ไปติดที่คอ เด็กก็ทุรนทุรายมาก พอแม่เห็นก็ตกใจ พอรู้ว่าเป็นเหรียญสตางค์แดงติดคอ นึกขึ้นมาได้ว่า น้ำกรดกัดทองแดงได้ ก็เลยไปเอาน้ำกรดซึ่งมีอยู่ในบ้านมาใส่ปากเด็ก เพื่อให้เหรียญทองแดงหลุดออกจากคอ ก็ทำได้สำเร็จ เหรียญทองแดงมันไม่ติดคอแล้วเพราะถูกน้ำกรดกัด แต่ว่าเด็กก็แย่ไปเลย
อันนี้เรียกว่ามีความรู้ แต่รู้ไม่ทั่ว ในยามปกติแม่คงรู้ว่าทำอย่างนั้นมันไม่ได้ สตางค์แดงหลุดออกจากคอก็จริง แต่เด็กมีอาการย่ำแย่ คอถูกทำลายยับเยิน ก็เพราะตอนที่ตกใจ มันลืมไป แต่ถ้าแม่มีความรู้สึกตัว แม่ก็จะไม่ทำอย่างนั้น จะมีความระลึกได้ว่าอะไรควรอะไรไม่ควร
เพราะฉะนั้น ความรู้สึกตัวรวมทั้งการมีสติ การไม่หลงไม่ลืม สำคัญมากในเวลาที่เราเจอเหตุการณ์ต่างๆ ที่เป็นไปตามหลักอนิจจัง มันจะช่วยทำให้เราวางใจได้ หรือทำจิตได้ถูก และในขณะเดียวกัน เมื่อถึงคราวที่ต้องทำกิจ หรือแก้ไขปัญหาก็ทำได้ถูก ถ้าเราไม่สังเกตดูใจของเรา มันก็จะไม่เห็นคุณค่าของการมีสติ มีความรู้สึกตัว
แต่ถ้าเราหมั่นดูใจ เราก็จะเห็นว่า มันสำคัญมากเลย แล้วเราก็จะเห็นความจำเป็นของการฝึกจิตให้มีสติให้มีความรู้สึกตัวขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง มันเป็นพื้นฐานเลยของการที่จะพาชีวิตให้ออกจากความทุกข์ หรือว่าพัฒนาทั้งชีวิตและจิตใจให้เจริญงอกงามจนออกจากทุกข์ได้.
- วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมเช้าวันที่ 6 พฤศจิกายน 2564