แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
เวลาอาตมาไปแสดงธรรมในบางที่บางแห่ง ก็จะเชิญชวนให้ผู้คนหมั่นเจริญมรณสติเป็นประจำ ระลึกถึงความตายที่จะเกิดขึ้นกับตนในวันข้างหน้า หรือมิเช่นนั้น เวลามีอะไรก็ตาม ทรัพย์สมบัติ ของรัก ก็ให้ตระหนักว่ามันก็ไม่เที่ยง สักวันหนึ่งมันก็แตกสลายสูญหายไปจากเรา หรือว่าความสุขที่มันให้กับเรา มันก็ชั่วคราว แต่ว่ามันตามมาด้วยความทุกข์ที่ยาวนาน
เวลาสอนให้พิจารณาถึงความตายก็ดี ถึงเรื่องความทุกข์หรือความสูญเสียที่เกิดจากความไม่แน่นอน ก็มีบางคนตั้งคำถามว่า การคิดเช่นนี้ มันจะไม่ดึงดูดเอาสิ่งไม่ดีเข้าหาตัวหรือ เพราะมีหลายคนเขามีความคิดว่า ลบดึงดูดลบ ถ้านึกคิดในทางลบ มันก็จะดึงดูดเอาสิ่งที่เป็นลบเข้าหาตัว คนเหล่านี้เขาเชื่อว่าการคิดบวก เชื่อว่าบวกย่อมดึงดูดบวก คิดบวกหมายถึงว่าการคิดมีโชคมีลาภ การประสบความสำเร็จ แล้วเดี๋ยวโชคลาภ ความประสบสำเร็จจะเกิดขึ้น
ในทางตรงข้ามความคิดลบ เรื่องความตาย ความสูญเสีย เรื่องความทุกข์ เดี๋ยวมันจะดึงเอาสิ่งเหล่านี้เข้าหาตัว คล้ายๆกับเป็นการแช่ง ทั้งๆที่การพิจารณาอย่างที่อาตมาว่า ไม่ว่าจะเป็นการเจริญมรณสติ หรือการระลึกถึงความไม่เที่ยงของทุกสิ่งที่เรามี มีวันนี้ วันหน้าก็หมด ได้ วันนี้วันหน้าก็เสีย อันนี้ก็เพื่อทำให้เราไม่ประมาทกับสิ่งที่เรามี หรือความสุขที่เกิดขึ้น มันไม่ใช่เป็นการที่จะดึงเอาสิ่งเลวร้ายเข้ามาหาตัวเรา
แต่ก็มีคนจำนวนมากที่เชื่อแบบนั้น ที่จริงอาตมาก็เชื่อ ลบดึงดูดลบ แต่ว่าก็ไม่ได้เชื่ออย่างที่เขาหรือที่หลายคนเข้าใจอย่างนั้น ลบดึงดูดลบหมายความว่าอย่างไร ยกตัวอย่างเช่น คนที่มีความโกรธ โกรธอย่างรุนแรง บันดาลโทสะออกไป มันสามารถที่จะทำให้เราเจ็บป่วยได้ง่าย คนที่ขี้โกรธ เจ้าอารมณ์ก็จะมีโรคภัยไข้เจ็บเกิดขึ้นอยู่บ่อยๆ หรือยืดเยื้อเรื้อรัง ปวดหัวโน่น ความดันขึ้น ปวดท้อง บางทีอาจจะเกิดอันตรายที่รุนแรงอย่างที่นึกไม่ถึงก็ได้
อย่างที่มีงานวิจัยว่า คนที่มีความโกรธรุนแรง ถึงขั้นโทสะ แบบว่าโกรธจัดๆภายใน 2 ชั่วโมง มีโอกาสจะเป็นโรคหัวใจมากกว่าคนทั่วไปถึง 8 เท่า อันนี้เรียกว่าลบดึงดูดลบ เพราะความโกรธคืออารมณ์ลบ ก็ดึงเอาความเจ็บป่วยเข้ามา
คิดลบก็เหมือนกัน อย่างที่เคยเล่าให้ฟัง มีคนหนึ่งวัย 40 ที่มีทัศนคติในทางลบต่อความแก่ชรา เช่น มองว่าคนแก่เป็นพวกเงอะงะ เหม่อลอย เป็นภาระกับครอบครัว หรือว่าเรียนรู้อะไรยาก คนเหล่านี้ภายในเวลา 25 ปี มีโอกาสจะเป็นโรคอัลไซเมอร์มากกว่าคนที่เขามีทัศนคติในทางบวกต่อความแก่ชรา
เขาพบว่าคนที่มีทัศนคติทางลบจะมีเนื้อสมองบางส่วนที่หดตัวลง แล้วก็มีลิ่มเลือดบางชนิดซึ่งเป็นตัวบ่งชี้ของการเป็นอัลไซเมอร์ แล้วก็ไม่ใช่เฉพาะอัลไซเมอร์ โรคหัวใจก็ถามหาคนที่มีทัศนคติในทางลบต่อความแก่ชรามากกว่าคนทั่วๆไป
เช่น คนอายุ 40 ที่ไปมีความรู้สึกลบต่อความแก่ชรา ผ่านไป 40 ปีมีโอกาสเป็นโรคหัวใจมากกว่าคนที่มีความรู้สึกในทางบวกต่อความแก่ชรา อันนี้เรียกว่าลบดึงดูดลบ คิดลบต่อความแก่ชรา โรคชราเช่น โรคหัวใจ โรคอัลไซเมอร์ก็มาเยี่ยมเยียนได้ง่ายขึ้น
คนเราเวลากลัวอะไร สิ่งที่กลัวก็มักจะเกิดขึ้นหรือมีโอกาสเกิดขึ้นได้ง่าย อย่างเวลาเดินธรรมยาตรา บางคนกลัวเดินกลางแดดโดยเฉพาะสาวๆ ยิ่งวัยเด็กมัธยม กลัวว่าแดดจะเผาทำให้เกิดผดผื่น เกิดฝ้า ก็น่าแปลก คนที่กลัวว่าจะเกิดฝ้าหรือว่ากลัวจะเป็นไข้ ก็มีโอกาสจะเป็นฝ้าหรือเป็นไข้ได้มากกว่าคนที่ไม่กลัว
ความกลัวก็เป็นความรู้สึกลบ ยิ่งกลัวว่าจะเป็นฝ้า ฝ้าก็จะมาเลย กลัวว่าจะเป็นไข้ ไข้ก็เกิดขึ้น มันไม่ใช่เป็นเรื่องความบังเอิญ หรือความประจวบเหมาะ แต่มันมีเหตุปัจจัย เช่น พอกลัว ก็ทำให้จิตใจเกิดความเครียด มันก็ทำให้เกิดปฏิกิริยาทางกายซึ่งล้วนแต่เชื้อเชิญให้สิ่งที่กลัวเกิดขึ้นกับร่างกายของตัว เช่น ฝ้าหรือว่าเป็นไข้
ถ้าไม่กลัว เฉยๆกับมัน ก็จะไม่เครียด พอไม่เครียด หรือรู้สึกผ่อนคลาย มันก็ไม่เกิดอะไรมากเท่าไร ไม่ใช่เฉพาะลบดึงดูดลบให้เกิดขึ้นกับตัวเท่านั้น ลบยังสามารถจะดึงดูดลบให้เกิดขึ้นจากคนที่อยู่ใกล้ตัวเราด้วยก็ได้ ยกตัวอย่างง่ายๆ เวลาเราโกรธ เราหงุดหงิด มันก็ง่ายมากที่จะดึงเอาความหงุดหงิด ความรู้สึกที่ไม่ดีออกมาจากใจคนที่อยู่ใกล้เรา ยิ่งเรารู้สึกหม่นหมอง คนที่อยู่ใกล้ตัวก็พลอยรู้สึกหม่นหมองตามไปด้วย
เหมือนกับว่าความหม่นหมอง ความหงุดหงิด ความรุ่มร้อนในจิตใจของเรา ดึงเอาอารมณ์ความรู้สึกลบๆนั้นตามมา ให้เกิดขึ้นในตัวเขา ยิ่งถ้าเราต่อว่าด่าทอเขา หรือว่าตำหนิติเตียนเขาด้วยแล้ว มันก็เท่ากับดึงเอาคำพูดที่รุนแรงหลุดออกจากปากเขามาใส่ตัวเราด้วยเหมือนกัน เราโกรธใคร เราด่าว่าใคร ก็เหมือนกับว่าไปดึงเอาความโกรธ หรือคำพูดในทางลบออกมาจากตัวเขา แล้วมันก็เลยส่งผลต่อเนื่องกันไป ซ้อนกันไปซ้อนกันมา
มันไม่ใช่แค่ความโกรธอย่างเดียว อารมณ์อย่างอื่นด้วยก็เหมือนกัน มันสามารถที่จะดึงเอามาจากคนที่อยู่ใกล้ๆตัวเราได้ อย่างเช่นแม้กระทั่งความเหงา เมื่อคนๆหนึ่งเหงา คนที่อยู่ใกล้คนๆนั้นก็จะพลอยเหงาไปด้วย มีโอกาสเหงาตามคนๆนั้น 50% แล้วคนที่อยู่ใกล้ลำดับถัดมาก็จะมีโอกาสเหงาตามมาด้วยเหมือนกัน อย่างเช่นนาย ก เหงา นาย ข ซึ่งอยู่ใกล้นาย ก มีโอกาสที่จะรู้สึกเหงา 50% นาย ค ซึ่งอยู่ใกล้นาย ข ก็จะมีโอกาสเหงา 25%
ก็เหมือนกับว่า ความเหงาของคนๆหนึ่งสามารถจะดึงดูดความเหงาให้เกิดขึ้นกับจิตใจของคนที่อยู่ใกล้ตัว ซึ่งมันก็มีเหตุผล ถ้าอธิบายให้ละเอียด มันไม่ใช่เป็นเรื่องของพลังลึกลับอะไร อย่างเช่น เวลาคนหนึ่งเหงา เขาจะมีอารมณ์ไม่ค่อยดีเท่าไร ไม่มีอารมณ์จะพูดคุยกับใคร สีหน้าไม่เป็นมิตรเท่าไหร่ คนที่อยู่ใกล้คนนั้นก็จะซึมซับรับเอาอารมณ์ความรู้สึกลบๆของคนๆนั้นเข้าไปด้วย
อย่างเช่น คนที่พลอยรับซึมซับเอาความรู้สึกลบจากนาย ก สมมติคนนั้นที่รับคือ นาย ข พอรับซึมซับเข้ามา แล้วพอนาย ค มาเจอนาย ข ที่มีสีหน้าและอารมณ์แบบนี้ ก็ไม่อยากจะอยู่ใกล้นาย ข เท่าไร ไม่ว่าใครก็อยากจะถอยห่าง พอถอยห่าง ไม่ค่อยมีเพื่อนมาคุยด้วย นาย ข ก็จะรู้สึกเหงาแล้ว เหมือนกับว่านาย ข ติดเชื้อความเหงามาจากนาย ก นั้นเอง
หรือเหมือนกับว่า ความเหงาของ ก ไปดึงเอาความเหงาให้มาเกิดขึ้นกับนาย ข
เช่นเดียวกัน นาย ค ก็เหมือนกัน ขณะที่ชิ่งออกจากนาย ข ปล่อยให้นาย ข เหงา นาย ค ก็พลอยเหงาตามไปด้วย เพราะว่าซึมซับรับเอาอารมณ์ที่ไม่ดีของนาย ข เข้ามา คนที่อยู่ใกล้คือนาย ง ก็ไม่ค่อยอยากสุงสิงด้วยกับ นาย ค นาย ค ก็เลยเหงา
อันนี้เรียกว่าลบดึงดูดลบด้วยเหมือนกัน มันเป็นเรื่องที่อธิบายได้ มันมีเหตุมีปัจจัย ว่าคนเราต่างเป็นปฏิกิริยาต่อกันและกัน หรือว่าสามารถจะส่งผลต่อกันและกันได้
ถ้าเรารู้สึกลบ หรือเราคิดลบ เราก็สามารถที่จะทำให้อีกคนหนึ่งพลอยรู้สึกลบตามไปด้วย
มีผู้หญิงคนหนึ่ง เธอเกิดมาในครอบครัวที่พ่อแม่ชอบทะเลาะกัน บางทีพ่อก็ใช้กำลังกับแม่นอกเหนือจากการต่อว่าด่าทอ ผู้หญิงคนนี้ก็เลยไม่มีความรู้สึกดีกับผู้ชาย พอถึงเวลามีแฟนก็จะมีความรู้สึกไม่ดีกับแฟนเท่าไรว่าแฟนของตัวจะเป็นเหมือนอย่างพ่อ คือใช้กำลังกับแม่หรือใช้กำลังกับคู่ครอง
แล้ววันหนึ่งเธอก็ได้พบผู้ชายคนหนึ่งซึ่งก็เป็นคนสุภาพ อ่อนโยน เธอคิดว่าคนนี้คือใช่ ก็เลยแต่งงานอยู่ด้วยกัน แต่ว่าความรู้สึกลบที่ติดตัวมาตั้งแต่เล็ก ความรู้สึกลบหรือคิดลบต่อผู้ชายก็ทำให้เธอหวาดระแวงสามีว่าจะเป็นเหมือนอย่างพ่อ
พอคิดลบแบบนี้ มันก็จะไวต่อคำพูดและอารมณ์บางอย่างของสามี โดยเฉพาะคำพูดหรืออารมณ์ในทางลบ เช่น พูดเสียงแข็ง หรือว่าอารมณ์หงุดหงิด ซึ่งก็เป็นธรรมดาของคนเรา ไม่ว่าจะสุภาพอย่างไร ก็ต้องมีบางจังหวะบางช่วงที่มีความหงุดหงิด หรือบางทีก็ขึ้นเสียงใส่ภรรยา ซึ่งก็เกิดขึ้นน้อย
แต่ว่าผู้หญิงคนนี้เนื่องจากมีความคิดลบอยู่เดิมก่อนแล้ว ก็เลยไวต่อคำพูดและอารมณ์ของสามีที่เป็นลบ สามีจะพูดดีอย่างไร อารมณ์ดีอย่างไร เธอก็ไม่ค่อยที่จะรับรู้เท่าไหร่ แต่เลือกจะรับรู้อารมณ์ คำพูดลบๆของสามีทั้งที่เกิดขึ้นไม่บ่อย
แต่พอเลือกเห็นเลือกรับรู้ มันก็สะสมมากเข้าๆจนกระทั่งเกิดความรู้สึกไม่พอใจสามีหรือบางทีก็กลายเป็นความโกรธขึ้นมา ระบายใส่ความโกรธกับสามี บอกว่าสามีไม่รักแล้ว หรือชอบใช้กำลังกับภรรยา คิดเป็นตุเป็นตะไป
พอเกิดความรู้สึกลบแล้ว ก็เกิดพฤติกรรมลบ คือพอโกรธสามีแล้ว เกิดความระแวงสามีแล้ว ก็เกิดพฤติกรรมลบ ก็คือพฤติกรรมที่ต่อว่าด่าทอสามี หรือบางทีก็ขุดคุ้ยเอาเรื่องความไม่ดีของสามีมา บางทีเป็นเรื่องเก่า อาจจะไม่เกี่ยวกับตัวเธอเลย ก็ขุดค้ยขึ้นมา
พอพฤติกรรมลบเกิดขึ้นบ่อยเข้าๆ สามีซึ่งเป็นคนสุภาพ บางทีก็คุมอารมณ์ไม่อยู่ อดรนทนไม่ได้ก็อาจใช้อารมณ์ตอบโต้กลับไป ก็ยิ่งไปตอกย้ำความคิดลบของภรรยา
จากสามีที่เป็นคนสุภาพเรียบร้อยอ่อนโยน กลายเป็นคนที่เจ้าอารมณ์ขึ้นมา อันนี้ ถ้าดูเผินๆ ก็คือลบดึงดูดลบ เมื่อมีความคิดลบ มีความหวาดระแวงว่าจะได้สามีเป็นเหมือนพ่อ ก็เลยได้สามีที่เป็นเหมือนพ่อจริงๆ อันนี้ก็เท่ากับสูตรเลย ลบดึงดูดลบ แต่ที่จริงมันมีเหตุมีผล
ไม่ใช่เป็นเรื่องพลังลึกลับอะไรหรอก มันเกิดขึ้นจากความคิดลบของคนๆหนึ่ง เมื่อคิดลบ มันก็เห็นแต่เป็นลบ หรือนึกถึงแต่สิ่งที่ไม่ดีของอีกฝ่ายหนึ่ง พอเห็นแต่ลบก็จะเกิดความรู้สึกลบ คือ ความโกรธ ความระแวง พอเกิดความโกรธความระแวงก็เกิดพฤติกรรมลบ ต่อว่าด่าทอ ระบายอารมณ์ใส่ ซึ่งเท่ากับดึงดูดเอาหรือกระตุ้นเอาอารมณ์ลบของอีกฝ่ายหนึ่งออกมา ก็เกิดการปะทะกัน
เพราะฉะนั้น ลบดึงดูดลบ ก็มีเหตุมีผล แต่ว่ามันไม่ใช่เป็นอย่างที่คนส่วนใหญ่เข้าใจ ว่าถ้าคิดถึงเรื่องของความทุกข์อย่างที่เราได้สวดมนต์ทุกเช้า เดี๋ยวความทุกข์มันจะตามมา เกิดกับเรา ถ้าคิดถึงความไม่เที่ยง ความสูญเสีย เดี๋ยวจะเจอแต่ความสูญเสีย ต้องคิดถึงเรื่องความสุข เรื่องของความสำเร็จ เดี๋ยวความสำเร็จจะเกิดขึ้น อันนั้นไม่เกี่ยวกัน
ในทำนองเดียวกัน บวกก็ดึงดูดบวก ถ้าเรามีอารมณ์ที่เป็นบวก เช่น มีเมตตากรุณา มันก็เกิดสิ่งดีๆกับเรา อย่างที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า ผู้ที่มีเมตตา แผ่เมตตาเป็นประจำ หลับก็เป็นสุข นอนก็เป็นสุข สีหน้าผ่องใส จะเรียกว่า บวกดึงดูดบวกก็ได้
หรือคนที่รู้จักปล่อยรู้จักวาง จิตใจโปร่งโล่งเบาสบาย ก็จะมีสุขภาพดี ในขณะเดียวกัน ก็จะมีเพื่อนที่มีน้ำใจเอื้อเฟื้อเกื้อกูล มีเพื่อนดีๆอยู่แวดล้อม อันนี้เรียกว่าบวกดึงดูดบวก ให้มาเกิดขึ้นกับเรา แล้วบวกก็สามารถจะดึงดูดบวกจากคนที่อยู่รอบข้างด้วย ไม่ว่าคนนั้นจะเป็นใคร
ตำรวจคนหนึ่งเล่าว่า เคยจับผู้ร้ายคนหนึ่งได้ ผู้ร้ายที่ถูกจับได้โกรธมากเลย โกรธตำรวจ มองตำรวจคนนั้นอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ พอตำรวจพาเขาขึ้นรถ จะไปส่งที่สถานีตำรวจ ผู้ร้ายคนนั้นก็ถ่มน้ำลายใส่หน้าเขา เผลอๆก็จะเอาเก้าอี้มาฟาดตำรวจอีก เป็นคนที่มีอารมณ์รุนแรงมาก
แต่ตำรวจคนนั้นก็ควบคุมอารมณ์ พอพาผู้ร้ายหรือนักโทษคนนั้นไปส่งที่สถานีตำรวจ แกก็พูดกับผู้ร้ายคนนั้นดีๆว่าฟังนะ หากผมทำอะไรให้คุณไม่สบายใจ หรือทำให้คุณโมโห ผมขอโทษด้วย ผมไม่ได้ตั้งใจ ผู้ร้ายคนนั้นก็อึ้งเลย
วันรุ่งขึ้น ตำรวจคนเดียวกันก็พานักโทษคนนี้จากสถานีตำรวจไปศาล ตอนที่พาไป ตำรวจก็แสดงความเป็นมิตรต่อผู้ร้ายคนนั้นโดยที่ไม่มีการผูกกุญแจมือซึ่งก็ทำให้ผู้ร้ายคนนั้นมีอิสระ สามารถจะวิ่งไปก็ได้ แต่ด้วยความไว้ใจและแสดงความเป็นมิตร ก็เลยเดินนำผู้ร้ายคนนั้นไป
อยู่ๆผู้ชายคนนั้นพอมาถึงระเบียง ซึ่งเขาสามารถที่จะหนีได้ เขากลับหยุด แล้วก็พูดขึ้นมาว่า รู้ไหมที่คุณพูดเมื่อวาน ผมคิดอยู่นานเลย แล้วผมก็ขอโทษด้วยที่ทำอะไรไปเมื่อวาน
จากผู้ร้ายที่กราดเกรี้ยวรุนแรง กลายเป็นคนสุภาพขึ้นมาเลย อันนี้เพราะอะไร เพราะว่าการกระทำที่เป็นบวกของตำรวจคนนั้น ที่แสดงความเป็นมิตร รวมทั้งการขอโทษ มันก็ดึงเอาความรู้สึกในทางบวก ความเป็นมิตรออกมาจากใจของผู้ร้าย ทั้งๆที่ผู้ร้ายคนนี้มีประวัติโชกโชนมาก ทำร้ายตำรวจ
แต่พอมาเจอตำรวจคนนี้ กลับแสดงความสุภาพ เพราะอะไร เพราะว่าตำรวจคนนี้ทำดี แสดงพฤติกรรมที่เป็นบวกก่อน คนที่ร้ายๆบางครั้งก็อาจจะกลายเป็นคนละคนเลยเมื่อเขาได้รับการกระทำที่เป็นบวก
สตีเฟน สปีลเบอร์ก พวกเราคงรู้จักดี เป็นนักสร้างหนัง เขาชอบทำหนังมาตั้งแต่เล็ก เขาเล่าว่าตอนที่อายุ 13 เขาเบื่อมาก ไม่ชอบไปโรงเรียนเลย เขากลัวการที่จะไปโรงเรียน เพราะว่าโรงเรียนมีขาใหญ่ เป็นนักเรียนรุ่นพี่อายุ 17 ตัวใหญ่ เกเร ชอบแกล้งเขา ชอบใช้กำลังกับเขา
เขาไม่อยากไปโรงเรียนเลย จะสู้ก็สู้ไม่ไหว แต่แล้ววันหนึ่งเขาได้ความคิดขึ้นมา เขาไปโรงเรียน พอเจอขาใหญ่คนนั้น เขาก็เดินเข้าไปหาเลยแทนที่จะถอยหนี แล้วก็บอกว่า เขากำลังจะสร้างหนัง ตอนนั้นเขามีกล้องหนัง 8 มม.ตัวหนึ่ง เขากำลังสร้างหนังเกี่ยวกับเรื่องตามล่านาซี ยังขาดพระเอกอยู่ อยากได้พระเอก คุณมาเป็นพระเอกให้ผมได้ไหม
ขาใหญ่คนนั้นงงเลย เอ๊ะ จะมาไม้ไหน สุดท้ายเขาก็ยอมตกลง ปรากฏว่าพอถ่ายทำหนังเรื่องนี้เสร็จ ขาใหญ่คนนั้นกลายเป็นเพื่อนสนิทของสปีลเบอร์กไปเลย จากคนที่คอยทำร้าย รังแกเขา กลายเป็นคนที่คอยปกป้อง เปลี่ยนไปเป็นคนละคนเลยเพราะอะไร เพราะว่าความเป็นมิตรของสปีลเบอร์กไปดึงเอาพลังบวก ดึงเอาความเป็นมิตรออกมาจากใจของขาใหญ่คนนั้น
คนเราทุกคนก็มีทั้งพลังลบและพลังบวก พลังบวกจะออกมาจากใจของคนๆหนึ่งได้ก็เพราะว่ามีพลังบวกของอีกคนหนึ่งดึงหรือกระตุ้นออกมา และการที่สปีลเบอร์กเอื้อเฟื้อให้โอกาส ชายคนนี้ก็อยากจะมีบทบาทมีความสำคัญอยู่แล้ว แต่ที่เกเรเพราะว่าเป็นคนที่ไม่มีใครสนใจ เป็นคนที่ไม่มีใครให้ค่า อาจจะเป็นเพราะเรียนไม่ดีหรือว่ายากจนก็ได้
แต่การกระทำของสปีลเบอร์ก ทำให้เขารู้สึกมีตัวตนขึ้นมา เขารู้สึกขอบคุณ โดยเฉพาะความเป็นมิตรของสปีลเบอร์ก ก็ทำให้เขารู้สึกเป็นมิตรกับสปีลเบอร์กมากขึ้น อันนี้แหละที่เรียกว่าบวกดึงดูดบวก ไม่ใช่ว่าคิดถึงความสำเร็จ นึกถึงความมั่งดี แล้วความสำเร็จ ความมั่งมีจะตามมา อันนั้นมันไม่มีเหตุมีผลเท่าไหร่
แต่ถ้าบวกดึงดูดบวก ในความหมายที่พูดมา มันเป็นกฎธรรมชาติ เมื่อเรามีเมตตากรุณากับใคร มันก็ไปกระตุ้นเอาความรู้สึกดี อารมณ์บวกของคนๆนั้นออกมา ถ้าเราดีกับเขา เขาก็ดีกับเรา
อย่างไรก็ตามมันก็เป็นไปได้ว่าจะมีคนที่พูดไม่ดีกับเรา ทำไม่ดีกับเราหรือแสดงอารมณ์ที่เป็นลบกับเรา ก็ไม่ได้หมายความว่า พอเราเจอคนแบบนี้แล้ว เราจะต้องรู้สึกลบไปกับคนเหล่านั้นด้วย ถึงแม้ว่าความรู้สึกลบของคนเหล่านั้นจะดึงเอาความรู้สึกลบในใจของเราออกมา แต่ว่ามันมีตัวป้องกัน ถ้าเรามีสติ รู้ทันอารมณ์ที่เกิดขึ้น
เวลาเจอคนมาต่อว่าด่าทอ เราโกรธเลย แต่พอเรามีสติรู้ทัน มันก็ทำให้อารมณ์ลบ ไม่ทันได้ออกมาจากใจของเรา สติเป็นตัวกำราบ สติเป็นตัวทำให้อารมณ์ลบในใจของเราที่ถูกกระตุ้นเร้าจากคำพูดและการกระทำของคนอื่นสงบลง
เจอคนพูดลบเจอคนที่มีพฤติกรรมลบกับเรา แต่เราไม่มีความรู้สึกลบกับเขา เพราะเรามีสติ สติเป็นตัวป้องกัน ไม่ให้ความรู้สึกลบในใจของเราถูกกระตุ้นเร้า จนแสดงออกมาเป็นการกระทำหรือคำพูด อันนี้ ก็จะทำให้ลบไม่สามารถที่จะดึงดูดลบ ลบของคนอื่น หรือลบจากคนอื่นไม่สามารถจะมาดึงดูดลบจากใจของเราได้ เพราะว่าเรามีเครื่องป้องกันคือสติ
เขาจะพูดลบ เขาจะรู้สึกลบกับเราอย่างไร แต่เราก็เป็นปกติได้ หรือบางทีเขาอาจจะไม่ตั้งใจ เช่น เขาเป็นคนเหงา เขาเป็นคนหดหู่ อยู่ใกล้เขาแล้ว ไม่จำเป็นต้องหดหู่หรือเหงาตามเขาก็ได้ เพราะเรามีสติ รู้ทันอารมณ์และความคิดในใจเรา
เวลาเราไปเยี่ยมคนป่วย คนป่วยบางคนท้อแท้ห่อเหี่ยว ก็ไม่ได้แปลว่า เราจะต้องท้อแท้ห่อเหี่ยวตามไปด้วยถ้าเรามีสติ อันนี้ก็ทำให้ลบไม่สามารถจะดึงดูดลบได้
แต่ในขณะเดียวกัน ก็ทำให้เราเกิดพลังบวกขึ้นมา ที่สามารถกระตุ้นเร้าพลังบวกในใจของเขาออกมา เมื่อเรามีเมตตากรุณา เมื่อเรามีสติ เมื่อเรามีความแจ่มใส มันก็ช่วยทำให้เขาซึ่งห่อเหี่ยวเกิดแจ่มใสขึ้นมา หรือที่กำลังหงุดหงิดก็เกิดความรู้สึกโปร่งโล่งเบาสบายขึ้นมา อันนี้อยู่ในวิสัยที่เราทำได้
เพราะฉะนั้น อย่าปล่อยให้ลบมาดึงดูดลบจากใจของเรา ต้องรู้จักป้องกัน และในขณะเดียวกัน ก็ใช้สติปลุกกระตุ้นเร้าความรู้สึกบวกขึ้นมาเพื่อที่จะแผ่ออกไป หรือดึงความรู้สึกบวกให้เกิดขึ้นในใจของคนรอบข้าง อย่างที่เราพบว่าคนที่สงบเย็น คนที่อยู่ใกล้ก็พลอยสงบเย็นไปด้วย
เมื่อเราอยู่ใกล้ครูบาอาจารย์บางท่าน เราพลอยสงบเย็นโดยที่อธิบายไม่ได้ อันนั้นเพราะความสงบในใจของท่านมาดึงดูดความสงบเย็นที่มันซุกซ่อนอยู่ในใจของเราออกมา มันดึงดูดเอาความรู้สึกเมตตากรุณา หรือความรู้สึกที่เป็นกุศลออกมา อันนี้คือสิ่งที่เราสัมผัสได้ และอย่างนี้แหละที่เรียกว่า บวกดึงดูดบวก.
- วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมเย็นวันที่ 5 พฤศจิกายน 2564