แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ช่วงนี้มีเหตุการณ์ที่สำคัญเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้นเป็นเหตุการณ์ที่สำคัญมากทีเดียว แต่ว่าคนอาจจะไม่ค่อยได้ติดตามรับรู้เท่าไร หรือไม่ค่อยพูดถึงเท่าไรในเมืองไทยถ้าเทียบกับเหตุการณ์หรือข่าวอื่นๆ
ที่ว่าเป็นเหตุการณ์สำคัญระดับโลกทีเดียวก็เพราะว่าเป็นเหตุการณ์ที่ชี้ชะตาหรืออนาคตของโลกใบนี้เลยทีเดียว นั่นก็คือการประชุมสุดยอดเรื่อง การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลก
มีผู้นำหรือตัวแทนของประเทศต่างๆเกือบ 200 กว่าประเทศ ประชุมกันอยู่ที่สกอตแลนด์ เมืองกลาสโลว์ เริ่มมาได้เกือบอาทิตย์หนึ่งแล้ว แล้วก็จะต่อเนื่องไปจนถึงวันที่ 12 นี้ ที่เขาคุยกันเพราะว่า ตอนนี้โลกกำลังวิกฤต ก็คือการที่โลกมีอุณหภูมิสูงขึ้นเรื่อยๆ แล้วก็ทำให้เกิดภัยธรรมชาติที่รุนแรงหนักขึ้นเรื่อยๆ เช่น น้ำท่วม ฝนแล้ง ไฟป่า คลื่นความร้อน รวมทั้งน้ำทะเลที่สูงขึ้น ไม่นับโรคระบาดที่จะตามมาพร้อมกับอากาศร้อน
ตอนนี้เราก็ทราบดีว่า โลกร้อนขึ้นเรื่อยๆ เพราะว่าการสะสมของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ แล้วก็ก๊าซสำคัญอีกหลายชนิด ที่เรียกว่าก๊าซเรือนกระจก มันคอยเก็บกักความร้อนที่แผ่กระจายไปทั่วโลกแทนที่จะระเหยหายไปสู่บรรยากาศ มันเก็บกักไว้ในชั้นบรรยากาศทำให้โลกร้อนขึ้น
ปรากฏการณ์โลกร้อน ตอนนี้เขามองว่ามันจะเป็นตัวชี้อนาคตของมนุษยชาติของทั้งโลก เพราะว่าถ้าปล่อยอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ภัยธรรมชาติก็จะรุนแรงหนักขึ้นเรื่อยๆ น้ำก็จะท่วมมากขึ้น ไฟป่าจะมากขึ้น คนจะตายเพราะคลื่นความร้อนมากขึ้น จะไม่ได้อยู่สุขสบายหรือว่ามีโลกที่สวยงามอย่างทุกวันนี้ แล้วตอนนี้มันก็เริ่มปรากฏชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ
เรื่องการประชุมแบบนี้ คือการประชุมเพื่อที่จะช่วยป้องกันไม่ให้วิกฤติเกิดขึ้นกับโลก ที่จริงก็ไม่ใช่ครั้งแรก เขาก็จัดกันมาหลายครั้งแล้ว โดยเฉพาะเรื่องการป้องกันโลกร้อน แต่ก่อนหน้าที่ผู้คนจะตื่นตัวเรื่องโลกร้อน มันก็มีปัญหาอย่างอื่นมาก่อนแล้ว เป็นปัญหาระดับโลก
อย่างเช่นเมื่อ 30 ปีก่อน มันมีความวิตกว่า ชั้นโอโซนในบรรยากาศโลก มันจะมีรูโหว่ โอโซนเป็นคล้ายๆกำแพง คอยป้องกันไม่ให้อันตรายจากดวงอาทิตย์มาถึงพื้นโลก นั่นคือรังสีอุลตร้าไวโอเลต รังสีสีม่วง พวกนี้พอแผ่ลงมาถึงคนเราก็จะกลายเป็นมะเร็งกันมาก ตอนนั้นก็ตื่นตัวกันมาก ว่าทำอย่างไรถึงจะป้องกันปัญหานี้ ก็พบว่า มันมีสาร CFC ที่เกิดจากการผลิตโฟม เวลาผลิตโฟมมันก็จะมีสารตัวนี้ออกมา แล้วมันก็ไปทำลายชั้นบรรยากาศโลกอย่างรวดเร็วด้วย
ปรากฏว่าพอมีคนตื่นตัวเรื่องนี้ ก็มีการประชุมระดับโลก แล้วเขาก็ตกลงกันว่าจะยุติการผลิตหรืออะไรก็ตามที่ใช้สาร CFC ทั่วโลกก็ลด เป็นมติเอกฉันท์ให้สังญิงสัญญากันมากมาย แล้วก็ทำตามที่พูดด้วย
30 ปีผ่านไปชั้นโอโซนที่เคยมีรูโหว่ รอยโหว่ หรือว่ารอยรั่ว มันก็ค่อยๆดีขึ้นเรื่อยๆ เรียกว่าตอนนี้ชั้นโอโซนดีขึ้นเรื่อยๆ ถือว่าเป็นความสำเร็จของมนุษย์ทั้งโลกเลย อันนี้ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดีที่การร่วมมือของคนทั้งโลกสามารถจะช่วยป้องกันอันตรายที่จะเกิดขึ้นกับมนุษยชาติได้
แต่ว่าเรื่องโลกร้อนเป็นปัญหาที่ใหญ่กว่าเรื่องรูโหว่ของชั้นโอโซน เพราะว่ามันเกิดขึ้นทั้งโลกเลย แล้วก็เกิดจากเหตุปัจจัยต่างๆมากมายที่ซับซ้อนกว่าการผลิตสาร CFC สาร CFC พอตกลงกันได้ โรงงานก็ยุติการผลิต ก็สำเร็จ แต่ว่าเรื่องโลกร้อน มันเกิดจากเหตุปัจจัยต่างๆมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการเผาป่า การใช้ถ่านหินในการผลิตไฟฟ้า การขับรถด้วยน้ำมัน ล้วนเป็นเรื่องที่ทุกคนมีส่วนในการก่อปัญหาทั้งสิ้นเลย ไม่ใช่เฉพาะโรงงานที่ผลิตสารพิษ
ประชุมกันมาได้เกือบ 7วันแล้ว เป้าหมายที่เขาตั้งใจจริงๆก็คือว่า จะทำให้โลกไม่ร้อนเพิ่มขึ้น 1.5 องศา ภายในปี 2000 หรืออีก 70 ปีข้างหน้า 1.5 องศา ก็หมายถึงอุณหภูมิเฉลี่ยของทั่วโลก ซึ่งก็ดูเล็กน้อย แต่ที่จริงเป็นเรื่องใหญ่มากแล้วเขาคิดว่าภายใน 10 ปีข้างหน้าจะต้องลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ให้ได้มากที่สุด เพราะถ้าไม่ทำตอนนี้ อีก 70 ปีข้างหน้า หายนะแน่
แต่ว่าเท่าที่ประชุมก็ยังตกลงกันไม่ได้เป็นเอกฉันท์ ถึงแม้ว่ามี 100 ประเทศ ตกลงจะงดการทำลายป่าใน อีก 10 ปีข้างหน้าในปี 2573 แต่ก็ไม่ใช่ว่าทุกประเทศที่ตกลงจะทำตาม หลายประเทศตกลงกันว่าภายใน 10 ปีข้างหน้า จะลดหรืองดการใช้ถ่านหินในการผลิตไฟฟ้า ก็มีแค่ 40 ประเทศที่ตกลงที่จะทำตามนั้น ที่เหลือยังไม่ยอมรับปาก ทั้งๆที่ 10 ปีข้างหน้าถ้าจะไม่ให้เกิดหายนะใน 70 ปีข้างหน้า มันต้องงดการใช้ถ่านหินในการผลิตไฟฟ้า รวมทั้งอีก 30 ปีข้างหน้า จะต้องงดหรือลด เรียกว่าการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เป็นศูนย์ นั่นก็หมายความว่าการใช้น้ำมันในการขับเคลื่อนขับขี่รถ จะต้องเป็นศูนย์เลย
ก็ยังมีหลายประเทศรับปากว่าจะทำ แต่อีกหลายประเทศก็ยังไม่รับปาก เพราะฉะนั้นก็ยังน่าเป็นห่วงว่า ถ้าไม่ใช้โอกาสนี้ในการป้องกันหรือใช้มาตรการเด็ดขาดเร่งด่วนในการระงับ หรือลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ อีก 70 ปีข้างหน้าโลกนี้ก็จะกลายเป็นนรกเลย ที่จริงก็ไม่ต้องรอถึงขนาดนั้น เพราะตอนนี้ก็เริ่มมีอาการมากขึ้นเรื่อยๆ ก็น่าเป็นห่วงเรื่องนี้พวกเราก็ควรจะติดตามและรับรู้เอาไว้ อย่างน้อยก็ทำใจได้ว่า
หากการประชุมครั้งนี้ไม่สำเร็จ หรือว่าไม่เกิดผลตามที่ต้องการ เราก็ต้องเจอกับหายนภัยต่างๆตามมาเรื่อยๆ ไฟป่า น้ำท่วม ฝนแล้ง โรคระบาด อย่างน้อยการเตรียมตัวล่วงหน้า เตรียมใจเอาไว้ก่อนนี้ก็คงจะช่วย ก็เหมือนกับโรคโควิด แต่ก่อนเขาก็เตือนเอาไว้แล้วว่าจะเกิดโรคระบาดทั่วโลก แล้วมันก็เกิดขึ้นจริงเพียงแต่ว่าที่คาดการณ์เอาไว้มันไม่ใช่โรคโควิด แต่เป็นโรคหวัด ไข้หวัดใหญ่ เขาเตือนกันมา 10 ปีแล้ว แต่คนไม่สนใจ พอเกิดโรคระบาดโควิด ก็ทำใจลำบาก เพราะว่าไม่ได้เตรียมตัวไว้เลย
แต่ถ้าเราได้เตรียมตัวเรื่องโลกร้อนเอาไว้ อย่างน้อยๆก็จะทำใจไว้ได้ หรือถ้าหากว่าเราเตรียมตัวอะไร เท่าที่เตรียมตัวได้ เตรียมตัวอะไรได้ก็รีบทำเลย แต่ถ้าจะให้ดี ก็ต้องผลักดันรัฐบาลของประเทศต่างๆทำมาตรการต่างๆ ลดการทำลายป่า และงดการใช้ถ่านหินในการผลิตไฟฟ้า แล้วก็พยายามใช้น้ำมันให้น้อยลงจนเหลือศูนย์ ภายใน 10-20 ปีหรือ 30 ปีข้างหน้า ซึ่ง 30 ปีข้างหน้าก็ไม่ได้นานอะไรนัก ย้อนถอยหลังไปเมื่อ 30 ปีที่แล้ว เราประชุมเรื่องวิกฤตโลก ที่เอิธซัมมิธ ปุ๊บเดียวก็ผ่านไปแล้ว 30 ปีเราก็ไม่ได้ดีขึ้นอะไรเลย อันนี้ก็เป็นเรื่องที่เราควรจะรับรู้เอาไว้.
- วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมก่อนฉันเช้า วันที่ 5 พฤศจิกายน 2564