แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
มาถึงวันนี้ก็ครึ่งเดือนพอดีหลังจากออกพรรษา ไม่ว่าเราเป็นใคร หากว่าสนใจใฝ่ธรรม ลองเปรียบเทียบตัวเอง วันนี้กับเมื่อช่วงที่เข้าพรรษา 3 เดือนที่ผ่านมา มันมีความเปลี่ยนแปลงอะไรขึ้นบ้างไหม จากเดิมที่เราอาจจะตั้งใจปฏิบัติ ไม่ว่าจะเป็นการรักษาศีล การทำสมาธิภาวนา หรือว่าการทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ เช่น การออกกำลังกาย การสวดมนต์ หรือว่าให้ทาน แบ่งปัน ผ่านมาครึ่งเดือน มันมีความเปลี่ยนแปลงอะไรบ้างไหม
หรือว่าที่เคยทำดีๆมาตลอด 3 เดือน ตอนนี้ไม่หลงเหลืออะไรเลย เพราะว่าออกพรรษาแล้ว หลายคนคิดว่า อะไรที่ว่าควรทำ หรือสิ่งที่ได้ทำอะไรต่างๆมากมาย มันเป็นอันยุติเหมือนกับปิดเทอม ที่เคยขยันขันแข็งในการเรียน ที่เคยใส่ใจในการอ่านหนังสือ ก็เลิกหมด ถือว่าปิดเทอมแล้ว ก็เลยเที่ยวสนุกสนานเพลิดเพลิน ทำอะไรที่มากไปกว่าการพักผ่อน แต่ว่ากลับทำสิ่งที่มันเป็นโทษต่อชีวิตจิตใจ หรือต่อร่างกายด้วยซ้ำ
ยิ่งคนที่ช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา ได้อยู่วัด ไม่ว่าในฐานะที่เป็นพระหรือเป็นโยม พอออกจากวัด ลาสิกขาลาเพศไป ผ่านมา 2 อาทิตย์ หรือบางคนสึกไปแล้ว 1 อาทิตย์ ก็ลองถามตัวเองดูว่า ตอนนี้เป็นยังไง ที่เคยทำสิ่งดีๆเอาไว้ ตอนนี้ไม่เหลือหรอหรือเปล่า เพราะเป็นฆราวาสแล้ว จะใช้ชีวิตอย่างไรก็ได้ อันนี้ไม่ถูก
ในเมื่อเราได้ทำความเพียร ทำสิ่งดีๆมาตลอด 3 เดือน มันก็เป็นเวลาไม่ใช่น้อย ก็ไม่ควรจะให้เวลา 3 เดือนที่ผ่านมาเป็นความสูญเปล่า นิสัยดีๆที่ค่อยๆบ่มเพาะขึ้นมา มันก็กำลังจะตั้งหลักหรือว่าเข้าที่เข้าทางอยู่แล้ว พอออกพรรษาก็เลิกหมดเลย นิสัยดีๆที่กำลังจะก่อตัวขึ้นมาก็กลายเป็นอันว่าสูญสลายหายหมด
เหมือนกับต้นไม้ที่อุตส่าห์ดูแลอย่างดีมาตลอด 3 เดือน ทั้งรดน้ำ พรวนดิน ให้ปุ๋ย คอยดูแลไม่ให้แดดมันแรง พอออกพรรษา ทิ้งไปเลย ไม่รดน้ำ ไม่พรวนดิน ไม่ใส่ปุ๋ย ทั้งๆที่มันกำลังโตอยู่ดีๆก็ปล่อยให้มันแห้งตายไป น่าเสียดายมาก
ถือว่าที่ทำไป 3 เดือนผ่านไปนั้นเป็นความสูญเปล่าเลยทีเดียว ทั้งๆที่ความเพียรที่ลงไป เวลาที่ได้ใช้ไป มันก็ไม่ใช่น้อยเลย หากว่าเราเปรียบเทียบกับตัวเองแล้วพบว่า ตัวเองนั้นหันเห เหินห่างไปจากช่วง 3 เดือนที่ผ่านมาไปไกลมาก มันก็ยังไม่สายที่เราจะกลับมาอยู่ในร่องในรอย อย่าให้มันออกนอกลู่นอกทางไปไกลนัก
จริงอยู่ช่วงออกพรรษา เราอาจจะไม่ปฏิบัติเข้มข้นเหมือนเมื่อก่อน แต่ก็ไม่ได้แปลว่าหย่อนยาน มันต้องมีการทำอะไรที่สร้างความสืบเนื่องจากสิ่งที่ได้ทำดีๆในช่วงเข้าพรรษาที่ผ่านมา ไม่ว่าจะน้อยลง ไม่เข้มข้นเหมือนเมื่อก่อน
แต่ว่าถ้ามีความสืบเนื่องกันอยู่บ้าง ก็ถือว่าเป็นความก้าวหน้า ไม่ใช่ว่าขาดตอนไปเลย อย่างเช่น ที่เคยฝึกลดละสิ่งที่มันไม่ดี หรือว่าสิ่งที่มันเป็นโทษต่อร่างกาย ต่อจิตใจ ต่อคุณภาพชีวิต ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการกิน ดื่ม เที่ยว
บางอย่างก็ไม่ได้เป็นสิ่งที่เสียหายมากแต่ว่าพอทำมากไปเช่นบางคนอาจจะไม่กินเหล้า ไม่สูบบุหรี่ แต่ว่าติดกาแฟ ติดจนเรียกว่าขาดมันไม่ได้ เพราะว่าเสพมากไป กินมากไป บางคนตั้งใจว่าช่วงเข้าพรรษาจะลด บางคนถึงกับเลิกไป แต่พอออกพรรษาแล้วก็หวนกลับมา บางทีกินเท่าเดิม หรือหนักกว่าเดิมอีก อันนี้ก็เท่ากับว่าสิ่งที่ลงทุนลงแรงไปสูญเปล่า
นิสัยดีๆ มันสร้างยาก มันต้องใช้เวลา การที่จะสร้างนิสัยดีๆไม่ว่าจะสุขนิสัยในทางกายหรือทางใจ การจะกระทำต่อเนื่องถือว่าเป็นเรื่องยากเพราะว่านิสัยเดิม มันจะคอยมารบกวนรังควาน เอาง่ายๆ การตื่นเช้า คนที่เคยตื่นสายนี่ กว่าจะตื่นเช้าขึ้นจนเป็นนิสัย จนเป็นกิจวัตรตลอดพรรษานั้นไม่ใช่ง่าย ต้องต่อสู้กับนิสัยเก่า แต่ว่านิสัยเก่าก็ไม่ได้หายไปไหน
พอออกพรรษา สิกขาลาเพศไปแล้ว ถ้าไม่รักษานิสัยใหม่ให้มันต่อเนื่อง ไม่ช้าไม่นานนิสัยเก่ามันก็เข้ามากลืนกินนิสัยใหม่ ก็กลับเป็นคนตื่นสายเหมือนเดิม อันนี้ว่าเฉพาะแค่การตื่น
ยังไม่นับเรื่องการกินดื่มเที่ยวเล่น ซึ่งมันเป็นเรื่องที่สร้างปัญหาให้กับผู้คนจำนวนไม่น้อยเลย กว่าจะสร้างนิสัยใหม่ในทางที่กินพอประมาณหรือว่างดดื่มเลย ทำได้มาแล้ว นิสัยใหม่นี้มีกำลัง
เหมือนต้นไม้ที่กำลังโตหยั่งรากลึก เสร็จแล้ววันดีคืนดีก็ทิ้งมันไป ไม่สนใจใยดี ก็น่าเสียดายมาก เพราะว่าโอกาสดีๆ การที่มันจะได้สร้างนิสัยใหม่ให้ต่อเนื่องตลอด 3 เดือน ไม่ใช่ง่ายเลย ทั้งชีวิตนี้อาจจะไม่มีโอกาสแบบนั้นอีกก็ได้ พอได้ลงทุนลงแรงไปแล้ว มันก็ต้องให้รู้สึกเสียดายในสิ่งที่ลงทุนไป
เมื่อรู้สึกเช่นนั้นแล้ว มันจะได้เกิดความตั้งใจที่จะทำดี ทำต่อไป ไม่ใช่เฉพาะเรื่องการลดการละการเลิกในส่วนที่เป็นเรื่องการกินดื่มเที่ยวเล่น คำว่าเล่น ไม่ได้หมายถึง การเล่นเกมออนไลน์หรือเล่นการพนันอย่างเดียว อันนี้รวมถึงเล่นโทรศัพท์ด้วย
เล่นเฟซบุ้ก เล่นโซเชียลมีเดียก็กลายเป็นความเสพติดของผู้คนจำนวนมาก ชนิดที่เรียกว่าขาดไม่ได้เลย ถ้าวันไหนสัญญาณโทรศัพท์มือถือไม่มีหรือว่าเฟซบุ้กล่ม ทุกข์ทรมานมาก อันนี้เป็นโทษของความเสพติด เพราะว่าไม่รู้จักบันยะบันยัง ไม่รู้จักความพอประมาณในการเสพ
นอกจากการลดละเลิกสิ่งที่ไม่ดีหรือสิ่งที่เป็นโทษแล้ว สิ่งที่ดีๆในพรรษานี้ หลายคนก็ตั้งใจว่าจะทำ แล้วก็ได้ทำไป ไม่ว่าจะเป็นการสวดมนต์ การนั่งสมาธิ การเจริญสติ หรือการออกกำลังกาย อันนี้ก็เหมือนกัน กว่าจะทำจนเป็นกิจวัตร เป็นนิสัยตลอด 3 เดือน ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เมื่อได้ทำไปแล้ว จะทิ้งมันไปก็น่าเสียดาย โดยเฉพาะนอกจากการรักษาศีล อย่างน้อยๆรักษาศีล 5 ให้ครบ
ในพรรษาอาจจะสมาทานศีล 8 พอออกพรรษา จะลดศีลลงมา มันก็ไม่ใช่เป็นเรื่องที่เสียหายอะไร ถ้าหากว่าลดแล้ว เหลือศีล 5 ไม่ใช่ว่าลดมาเหลือศีล 4 ศีล 3 อย่างนี้แย่เลย หรือบางทีไม่เหลือเลยแม้แต่ข้อเดียว
นอกจากรักษาศีลแล้ว การฝึกจิต ซึ่งหลายคนก็ตั้งใจทำ ก็ทำให้ต่อเนื่อง ทำไปเรื่อยๆ โดยเฉพาะสิ่งที่เป็นพื้นฐานของการฝึกจิต คือการเจริญสติ การทำความรู้สึกตัว มันไม่ได้เป็นเรื่องยากเลย กับการเจริญสติ การทำความรู้สึกตัว มันไม่ใช่เป็นเรื่องยาก ในเมื่อเราได้ทำมาพอสมควรแล้ว เกิดฉันทะในการปฏิบัติ ก็ควรทำให้มันมีความต่อเนื่อง
ทำความรู้สึกตัว มันเป็นพื้นฐานของการฝึกจิต จะเรียกว่าเป็นพื้นฐานของการพัฒนาชีวิตเลยก็ได้ นอกจากการรักษาศีลโดยเฉพาะศีล 5 ด้วยแล้ว การทำความรู้สึกตัว รวมทั้งการมีสติ รู้ทันความเป็นไปของใจ รวมทั้งรู้ความเป็นไปของกาย
อันนี้เรียกว่าเป็นพื้นฐานเลยที่เราควรจะทำให้เป็นความสม่ำเสมอเป็นกิจวัตร จะเทียบไป ก็ไม่ต่างจากการกินข้าว ไม่มีวันไหนที่เราไม่กินข้าว ถ้าเมื่อไรวันไหนที่เราไม่ได้กินข้าว เราจะรู้สึกได้เพราะท้องมันหิว ท้องมันร้อง นี่คือเหตุผลที่ทำให้คนกินข้าวเป็นกิจวัตร ไม่มีวันไหนที่ไม่กินข้าว หรือการอาบน้ำ การถูฟัน เราทำเป็นกิจวัตรเป็นนิสัย มันก็ไม่ใช่เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ
ตอนเด็กๆกว่าจะกินข้าวได้แต่ละมื้อ พ่อแม่ต้องหว่านล้อม บางทีต้องเคี่ยวเข็ญให้กินข้าว เพราะเด็กไม่ยอมกินข้าวเอาแต่อม กินแต่ขนม พ่อแม่ต้องเคี่ยวเข็ญให้กินข้าว ต้องหว่านล้อม ต้องบังคับ จนกระทั่งทุกวันนี้เรากินข้าวเป็นกิจวัตร อาจจะไม่ใช่ข้าว เป็นขนมปังหรืออะไรก็แล้วแต่ แต่ว่าเรารู้สึกเลยว่ามันจำเป็นต้องกิน
อาบน้ำถูฟันก็เหมือนกัน แต่ก่อนก็ไม่ค่อยอยากจะทำ พ่อแม่ครูบาอาจารย์ต้องเคี่ยวเข็ญถูฟันเป็นประจำ อาบน้ำเป็นประจำวัน เดี๋ยวนี้กลายเป็นนิสัยไปแล้ว วันไหนไม่อาบน้ำ วันไหนไม่ถูฟัน จะรู้สึกอยู่ไม่เป็นสุข ไม่สบายเนื้อไม่สบายตัว
ฉันใดก็ฉันนั้นการทำความรู้สึกตัว รู้กายรู้ใจ มันก็เป็นสิ่งที่เราควรจะฝึก ทำให้เป็นกิจวัตร จะว่าไปแล้ว จะเทียบกับการกินข้าว ถูฟัน อาบน้ำ ก็อาจจะเทียบไม่ได้เต็มที่
เพราะว่าเรากินข้าววันละ 3-4 มื้อ หรือ 2 มื้อ ถูฟันวันละ 2 ครั้ง 3 ครั้งอาบน้ำก็ 2-3 ครั้ง ยังมากก็ 4-5 ครั้ง แต่การมีสติ รู้ตัว มันต้องอาศัยการดูกายดูใจอย่างสม่ำเสมอ คนเราถ้ามาดูกายดูใจแค่วันละ 2-3 ครั้ง มันไม่พอหรอก มันต้องทำมากกว่านั้น
มีกิจวัตรหลายอย่างที่เราทำบ่อย ไม่ใช่แค่ 2-3 ครั้ง อย่างกินข้าว ถูฟัน อาบน้ำ บางคนส่องกระจกดูหน้าตัวเอง วันละกี่ครั้ง เคยนับบ้างไหม คนที่อยู่ในเมืองบางคนโดยเฉพาะผู้หญิงส่องกระจกดูหน้าตัวเองวันละ 30-40 ครั้งก็มี
แล้วถามตัวเองว่า เราเคยดูใจของเรามากเท่านั้นหรือเปล่า ถ้าเราดูใจของเราสม่ำเสมอบ่อยๆ อย่างน้อยพอๆกับที่เราส่องกระจกดูหน้าตัวเองนั้น มันจะเป็นการช่วยพัฒนาคุณภาพจิต พัฒนาคุณภาพชีวิตของเราได้เยอะเลย
เพราะว่าความทุกข์ที่เกิดขึ้นครอบงำจิตใจผู้คนมันก็เกิดจากการที่เราไม่รู้ทันความคิดและอารมณ์ที่เกิดขึ้น ไม่รู้ทันเพราะว่าไม่ได้หมั่นสังเกตมาดูใจของเรา
ที่จริงมันมีกิจวัตรบางอย่างถี่มากกว่าการส่องกระจกดูหน้าตัวเองเสียอีก นั่นคือการดูข้อความในโทรศัพท์มือถือ เดี๋ยวนี้โดยเฉพาะวัยรุ่นดูข้อความหรือดูจอโทรศัพท์ วันหนึ่งเป็น 100 -200 ครั้งเลยทีเดียว ดูอยู่นั่นแหละ ทำเป็นนิสัยเลย
ทั้งที่ถอยหลังไปเมื่อ 10 ปีก่อน หลายคนคงคิดไม่ถึงว่า ฉันจะดูหน้าจอโทรศัพท์วันหนึ่งเป็น 100-200 ครั้งได้เชียวหรือ แต่ว่าตอนนี้มันกลายเป็นนิสัยไปแล้ว เป็นนิสัยที่เกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัวแล้วเราก็ไม่รู้สึกผิดปกติอะไร
ถ้าเกิดว่าเราหันมาดูใจถี่แบบนั้นบ้าง วันละ 200-300 ครั้ง หรือว่า 100-200 ครั้ง จิตเราจะมีคุณภาพมากขึ้นเลย แล้วก็จะมีความสุข ความสงบเย็นได้ง่ายมาก ทำไมปล่อยให้ความคิด อารมณ์ที่เป็นอกุศลมาครอบงำใจ
จะว่าไปแล้ว เราควรจะหมั่นดูใจของเรา ถี่หรือว่ามากพอๆกับดูโทรศัพท์มือถือเลย แล้วมันก็ไม่ใช่เป็นเรื่องยากด้วย ถ้าหากว่าเราทำเป็นนิสัย มันดูเอง มันสังเกตเอง แล้วมันก็เป็นสิ่งที่ควรทำด้วย
คนเรานี่รู้เรื่องอะไรนอกตัวเยอะแยะแต่ทำไมเราไม่รู้เรื่องตัวของเราเองบ้าง รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเรา แต่ตอนนี้เราไปรู้อะไรเยอะเลย เกิดอะไรขึ้นที่โน่นที่นี่ กับดาราคนนั้นคนนี้ กับคนดังคนนั้นคนนี้ กับที่ประเทศโน้นประเทศนี้ หรือจังหวัดโน้นจังหวัดนี้ เรารู้เยอะ
แต่กลับไม่รู้ว่าเกิดอะไรกับตัวเองในปัจจุบันขณะ เกิดอะไรกับตัวเอง เช่น อารมณ์ความรู้สึกเป็นอย่างไรตอนนี้ ดีใจ เสียใจ โมโห หงุดหงิด หนักอกหนักใจ เบื่อเซ็ง อารมณ์พวกนี้มันเกิดขึ้นกับเราวันละหลายครั้ง แต่ว่าคนส่วนใหญ่ไม่รู้ เพราะไม่ทันสังเกต เพราะจิตชอบส่งออกนอกไม่ใช่แค่มีสิ่งที่เกิดขึ้นกับใจเท่านั้น สิ่งที่เกิดขึ้นกับกายก็มี อันนี้ไม่ใช่หมายถึงความเจ็บความป่วย อาจจะหมายถึงความผ่อนคลาย ความสบาย ซึ่งเราเรียกว่าเวทนา
แต่นอกจากเวทนาแล้วก็มีความรู้สึกอีกชนิดหนึ่งมันเกิดขึ้น เช่น เวลาเราเดิน เมื่อเราเดิน มันมีอะไรเกิดขึ้น มันมีความรู้สึกเกิดขึ้น มีความรู้สึกว่ากำลังเดิน เวลากินข้าว มันก็มีความรู้สึกว่ามือกำลังขยับ เวลาถูฟันมันก็มีความรู้สึกว่ามือกำลังเขยื้อน นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นกับกายแม้ในยามที่เราปกติ คนเราควรจะรู้ว่า มีอะไรเกิดขึ้นกับกายและใจอยู่เนืองๆอย่างต่อเนื่อง
ถ้าเราไม่รู้เรื่องกายและใจ การจะไปรู้เรื่องอื่นๆเรื่องนอกตัว มันมีประโยชน์น้อย สิ่งที่เกิดขึ้นกับกาย สิ่งที่เกิดขึ้นกับใจ เป็นสิ่งที่เราควรจะรับรู้ และก็ไม่ใช่เป็นสิ่งที่ต้องใช้ความอุตสาหะหรือใช้ความยากลำบากอะไรเลย
เพียงแต่เราหมั่นมีสติ รู้กายเวลาเคลื่อนไหว รู้ใจเวลาคิดนึก หรือเมื่อเรามีความรู้สึก เมื่อมีความรู้สึกตัวคือใจอยู่กับเนื้อกับตัว เวลานั่งมันก็รู้สึกว่านั่ง เวลาเดินก็รู้สึกว่าเดิน อันนี้เรียกว่ารู้กายเคลื่อนไหว เวลากินก็รู้สึกถึงกายเขยื้อนขยับของร่างกายในส่วนที่เป็นอวัยวะใช้ในการเคี้ยวอาหาร
และในทำนองเดียวกันเมื่อมันมีอะไรมากระทบไม่ว่ารูปกระทบตา เสียงกระทบหู มันเกิดอารมณ์ขึ้นมา มันเกิดความคิดขึ้นมา ก็เห็นมัน อันนี้เรียกว่ารู้ใจคิดนึก นี่คือการปฏิบัติแล้ว เวลาเราเห็นกายเคลื่อนไหว เรารู้ใจคิดนึก มันเป็นสิ่งที่เราทำได้ตลอดเวลา ทำได้ทั้งวันเลย โดยที่ไม่ต้องใช้ความยากลำบากอะไรเลย ไม่ต้องบังคับจิตเหมือนกับที่เราพยายามจะทำเวลานั่งสมาธิเพื่อให้ใจสงบ
การทำความรู้สึกตัวนั้น มันเป็นการปฏิบัติที่ง่ายมาก เพราะมันไม่ได้เรียกร้องให้ต้องบังคับจิต และเป็นสิ่งที่เราควรทำสม่ำเสมอ เพราะว่ามันจะทำให้จิตใจมีความมั่นคง สงบ มันทำให้ด้านในของเรามีความลุ่มลึก
เหมือนต้นไม้ มันโตมันสูงอย่างไรหากขาดรากที่ลึก มันก็โค่นล้มลงง่าย เจอพายุบางทีไม่แรงหรอก มันก็โค่นล้มลงง่ายเพราะว่ามันตื้น แต่ถ้ารากมันลึก มันก็สามารถที่จะคานหรือว่าเหนี่ยวรั้งไม่ให้ต้นไม้ประมาณล้มครืนลงมาได้
ชีวิตของคนเรา มันจะไม่ล้มครืนลงมาเวลามีปัญหาเวลาเกิดวิกฤตก็เพราะว่าเรามีด้านในที่หยั่งลึก ซึ่งก็เกิดขึ้นจากการที่เรามีความรู้สึกตัว มีความรู้ทันในความรู้สึกนึกคิดที่เกิดขึ้น
ก็อย่างที่บอก ไม่ใช่เป็นเรื่องยากอะไรเลย ไม่ต้องใช้การบังคับจิต ไม่ต้องทำอะไรเพียงแค่หมั่นสังเกต หมั่นดู เวลากายเคลื่อนไหวก็เห็นเวลาใจคิดนึกก็รู้ แต่ที่มันยากเพราะว่าความใจร้อน อยากจะให้จิตสงบไวๆหรือรู้ทันความคิดเร็วๆ
ปฏิบัติใหม่ๆกว่าจะรู้ทันความคิด เห็นความคิด ก็คิดฟุ้งไปไม่รู้กี่เรื่องแล้ว 7-8 เรื่องแล้ว หรือว่าเวลาทำสมาธิ จริงๆมันก็ไม่ใช่เรื่องยาก แต่ที่มันยากเพราะว่าความคาดหวังว่าอยากจะให้จิตสงบไวๆ ความยากในการปฏิบัติที่หลายคนรู้สึกในเวลานี้เพราะมันเกิดความอยาก มันมีความคาดหวัง อยากเห็นผลเร็วๆ อยากจะมีสติรู้ทันความคิดไวๆ อยากจะให้จิตสงบเร็วๆ อยากจะมีความรู้สึกตัวไวๆ
เวลาไปบรรยายธรรม มักจะมีคนถาม ทำยังไงถึงจะหายโกรธไวๆ ทำยังไงถึงจะบรรลุธรรมได้เร็วๆ อันนี้คืออุปสรรคที่ทำให้การปฏิบัติ แม้เรื่องง่ายกลายเป็นเรื่องยาก เพียงแค่ความรู้สึกตัว ซึ่งก็ไม่ได้ยุ่งยากอะไรเลยเพียงแค่ให้ใจอยู่กับเนื้อกับตัวอย่างเป็นธรรมชาติ
แต่หลายคนรู้สึกว่ามันยากเพราะว่าความใจร้อนอยากเห็นผลไวๆ ถ้าวางความอยากแบบนี้ลง หรือว่าไม่คาดหวังที่จะเห็นผลเร็วๆ การปฏิบัติจะกลายเป็นเรื่องง่ายทันทีเพราะไม่ว่าจะฟุ้งหรือสงบ มันก็ดีทั้งนั้นถ้ารู้
ใจฟุ้งก็รู้ อย่างนี้ดี สงบก็รู้ โกรธ หงุดหงิดเกิดขึ้นก็เป็นเรื่องธรรมดา ก็แค่รู้ทัน ไม่ใช่ว่า ปฏิบัติแล้วจะโกรธไม่ได้ หงุดหงิดไม่ได้ แต่พอคาดหวังให้จิตสงบ พอโกรธก็เป็นทุกข์ พอหงุดหงิดก็ไม่พอใจว่าทำไมเกิดขึ้นกับใจของฉัน หรือทำไมเกิดขึ้นกับฉัน
อันนี้เป็นเพราะว่าไปคาดหวังอยากเห็นผลไวๆ แต่พอเราวางความคาดหวังลง หรือว่าใจเย็นขึ้น การปฏิบัติก็จะกลายเป็นเรื่องที่ไม่ยากอะไรเลย เพราะว่าทำทุกครั้งก็เกิดผลทุกครั้ง เจริญสติทุกที มันก็มีสติเพิ่มขึ้นมาทุกขณะ
แม้ว่าจะมีความกระเพื่อมขึ้นมาในใจก็ตาม เพราะฉะนั้นถึงแม้จะออกพรรษาไปแล้ว อย่าทิ้งเรื่องการปฏิบัติ ไม่ว่าจะเป็นการรักษาศีล เรื่องการฝึกจิตทำความรู้สึกตัว โดยเฉพาะกิจด้านในต้องทำสม่ำเสมอ ทำให้เป็นกิจวัตรไม่น้อยกว่าการที่เราเอากระจกส่องดูหน้าตัวเองหรือว่าดูข้อความทางโทรศัพท์มือถือในแต่ละวันๆ.
- วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมครั้งแรกหลังออกพรรษา หลังทำวัตรเย็น 4 พฤศจิกายน 2564