แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ย้อนถอยหลังไป 3 เดือนที่แล้ว เช้าวันแรกที่เราจำพรรษา คงจำได้ว่า พระทุกรูปในวัดก็ได้มีการกล่าวคำอธิษฐานอ ธิษฐานที่ว่านี้ไม่ได้ร้องขอ แต่แสดงความตั้งใจ อธิษฐานที่ว่านี้เรียกว่าอธิษฐานพรรษาหรือตั้งใจว่าจะจำพรรษาที่วัดนี้ตลอด 3 เดือน จะไม่บกพร่อง หรือว่าขาดพรรษา
แล้วมาถึงวันนี้พวกเราทุกคนในที่นี้ก็ได้ทำตามที่ได้อธิษฐาน หรือได้ปฏิญาณเอาไว้ เราก็ได้อยู่กันมาตลอดครบ 3 เดือนสมกับที่ได้แสดงความตั้งใจเอาไว้ แม้ว่ามันจะมีความขรุขระ มีความยากลำบากบางอย่างเกิดขึ้นในประสบการณ์ของแต่ละคน แต่ว่าก็สามารถที่จะพากเพียรพยายามนำพาตัวเองจนกระทั่งจำพรรษาครบจนถึงวันนี้ ก็เป็นเรื่องที่น่าอนุโมทนา
เช่นเดียวกัน เมื่อเราย้อนถอยหลังไปเมื่อ 3 เดือนที่แล้ว วันแรกที่เรามาจำพรรษา โดยเฉพาะพระใหม่ เราลองถามตัวเองว่าตอนนั้นเรารู้สึกอย่างไร หลายคนอาจจะรู้สึกกังวล หลายคนอาจจะรู้สึกไม่แน่ใจ บางคนอาจจะรู้สึกเครียด
แต่พอมาถึงวันนี้ ณ เวลานี้วินาทีนี้ ความรู้สึกเป็นอย่างไร เชื่อว่าคงจะแตกต่างมากทีเดียว มาถึงนาทีนี้ เราอาจจะรู้สึกผ่อนคลายสบาย แล้วก็อาจจะรู้สึกมั่นใจในตัวเองมากขึ้น และอาจจะพบว่า ที่เรากังวลไปต่างๆนานา เกรงว่าจะทำไม่ได้ สุดท้ายเราก็ทำได้ ไม่เป็นไปอย่างที่คิด เราอาจจะมโนไปต่างๆมากมาย แต่ในความเป็นจริง ไม่ได้เป็นอย่างนั้นเลย หรือถึงเป็น มันก็ไม่เหลือวิสัยของพวกเราที่จะฟันฝ่าจนมาถึงวินาทีนี้ได้
อันนี้ก็เป็นบทเรียนให้กับเราว่า สิ่งที่เราวิตก สิ่งที่เรากังวล บางครั้งมันก็เป็นการปรุงแต่งขึ้นมาเอง หรือว่ามันไม่เหลือวิสัยที่เราจะฟันฝ่ามาได้ ย้อนเวลาไป 3 เดือนที่แล้ว เมื่อเรามองอยู้จำพรรษา เราจะรู้สึกว่ามันนานเหลือเกิน แค่วันแรกจะผ่านไปได้ ก็รู้สึกผ่านไปได้อย่างเชื่องช้า ยิ่ง 90 วันข้างหน้า มันจะยาวนานสักแค่ไหน
แต่พอมาถึงตอนนี้ มองย้อนกลับไป 90 วันที่ผ่านมา มันดูเหมือนประเดี๋ยวประด๋าว มันดูเหมือนไม่นานนี้เอง มันเหมือนกับเวลาผ่านไปรวดเร็ว ในขณะที่วันแรกคืนแรก จะรู้สึกว่ามันผ่านไปอย่างเชื่องช้า
มันก็เป็นธรรมดา เวลาเรามองไปข้างหน้า อย่าว่าแต่ 3 เดือนเลย 10 ปีก็ได้ เราจะรู้สึกว่า มันยาวนานเหลือเกิน แต่พอไปถึงวันนั้น ไม่ว่าจะเป็นวันที่ครบ 3 เดือน หรือวันที่ครบ 10 ปี เมื่อเรามองย้อนกลับมา มาถึงตอนนี้เราจะรู้สึกว่า มันไม่ได้นานอะไรเลย มันแค่ประเดี๋ยวเดียวเท่านั้น
อันนี้เป็นธรรมดา เวลาเรามองไปข้างหน้า จะรู้สึกว่าข้างหน้ามันยาวไกล แต่พอเราไปถึงตรงนั้นแล้ว เรามองย้อนกลับมา จุดตั้งต้น เราจะพบว่ามันไม่ได้ยาวไกล มันสั้นมาก 10 ปีเมื่อมองไปข้างหน้าดูยาวไกลแต่ 10 ปีเมื่อมองกลับมาข้างหลัง มันสั้นนิดเดียวเหมือนกับว่าเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว
อันนี้ก็เป็นข้อเตือนใจเราได้ดี ว่าเวลาจริงๆแล้ว บางครั้งดูเหมือนผ่านไปช้า หรือว่าเป็นเวลาที่ยาวนาน แต่ว่า ในอีกแง่มุมหนึ่งเมื่อเรามองย้อนกลับมา รู้สึกว่าเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ยังไม่ทันทำอะไรเลยผ่านไปแล้ว 3 เดือน หรือว่าทำอะไรไม่ได้มากมายเลยก็ผ่านไปแล้ว 10 ปี
การที่เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว เมื่อเรามองย้อนกลับไป มันทำให้เราตระหนักว่า จริงๆแล้วเวลาเป็นสิ่งที่ผ่านไปเร็ว อีกไม่นานพวกเราหลายคนก็จะลาสิกขาลาเพศออกไป เมื่อเราสึกไปเป็นฆราวาส เราจะพบว่ามีหลายสิ่งหลายอย่างที่น่าสนใจ มีหลายสิ่งหลายอย่างที่น่าทำ เพราะว่าเรามีเสรีภาพมากกว่าตอนที่เราเป็นพระ
อันนี้ก็ต้องพึงตระหนักว่า ไม่ว่าเราจะทำอะไร กับสิ่งที่ปรากฏอยู่ข้างหน้า สิ่งหนึ่งที่ช่วยให้เราตระหนักได้ดีขึ้นว่าเราควรจะทำอะไรหรือไม่ กับทางเลือกที่มีอยู่มากมาย ก็คือว่าเวลาของเรา มันเหลือน้อยลงทุกที
แม้ว่าจะเป็นคนหนุ่มคนสาว ไม่ใช่คนเฒ่าคนแก่ เวลาของเราก็มีแต่จะเหลือน้อยลงไปทุกทีๆ คนเราทุกคนมีเวลาอยู่ในโลกนี้จำกัด และแต่ละวันเวลาของเราในโลกนี้ก็เหลือน้อยลงไปทุกวันๆ
มันไม่เหมือนเงิน เราสามารถจะมีได้ไม่จำกัด แต่ว่าเวลานั้น ไม่ใช่ เราอาจจะรู้ว่าเรามีเงินอยู่เท่าไรในเวลานี้ ไม่ว่าจะเป็นในกระเป๋าหรือในบัญชีธนาคาร แต่ว่าเวลาของเราในโลกนี้ เราไม่รู้ว่าเหลืออยู่เท่าไรมากหรือน้อยก็ไม่รู้ 60 ปี 70 ปี หรือ 10 ปี เราก็บอกไม่ได้
แต่ที่เรารู้แน่ คือเวลาเราเหลือน้อยลงไปทุกทีๆ ถ้าคิดตรงนี้ไว้อยู่ในใจ เมื่อเราสึกออกไป เราก็จะตัดสินใจได้ดีขึ้นว่า อะไรที่เราควร อะไรที่เราไม่ควรจะให้เวลากับมันมาก เพราะว่ามีสิ่งที่จะมาชักจูงใจ ชักชวนเราให้สนใจ หรือทุ่มเทนั้น มีเยอะเหลือเกิน ทางเลือกมีมากมาย
การที่เราจะตัดสินใจว่า ควรจะทำอะไรหรือไม่ มีองค์ประกอบหลายอย่าง แต่มีองค์ประกอบหนึ่งที่เราไม่ควรจะลืม ก็คือเวลาเราเหลือน้อยลงไปทุกที
เมื่อ 7 ปีก่อน ตอนที่หลวงพ่อคำเขียนยังอาพาธอยู่ ก่อนพรรษาไม่กี่วัน ก็มีชายหนุ่มคนหนึ่ง ซึ่งเคยมาบวชพระที่นี่ จำพรรษาหนึ่งสึกออกไป ผ่านไปหลายปี ก็ไม่ได้กลับมาที่วัดเลย แต่แล้ววันหนึ่งก็มาที่วัดเพื่อมาเยี่ยมหลวงพ่อซึ่งกำลังอาพาธอยู่ เยี่ยมเสร็จก็เจอเพื่อนพระด้วยกัน สนทนากัน เขาพูดว่าเหตุผลที่รีบมาเยี่ยมหลวงพ่อ ก็เพราะว่าเวลาเหลือน้อย ทีแรกเพื่อนๆนึกว่าเวลาของหลวงพ่อหรือที่ว่าเหลือน้อยลงไปทุกที
เขาบอกว่าไม่ใช่ ไม่ได้คิดแบบนั้น หรือไม่ใช่เหตุผลหลัก เหตุผลหลักก็คือว่า เวลาของตัวเองเหลือน้อยลงไปทุกที ก็เลยต้องรีบมาเยี่ยมหลวงพ่อ ถ้าไม่รีบมา อาจจะไม่มีโอกาสเลยก็ได้
เหตุผลของเขาน่าสนใจ อายุเขาแค่ 30 แต่เขากลับคิดว่า เวลาของเขาเหลือน้อยลงไปทุกที เป็นเหตุผลที่ทำให้เขารีบมาเยี่ยมหลวงพ่อ คนหนุ่มที่คิดว่าตัวเองมีเวลาเหลือน้อยลงมีน้อย ที่จริงอย่าว่าแต่คนหนุ่ม คนที่มีอายุวัยกลาง หรือคนที่ถึงวัยเกษียณแล้วก็ตาม น้อยคนที่จะมองตัวเองว่าเวลาเหลือน้อยลง ส่วนใหญ่กลับคิดว่าตัวเองไม่มีเวลา
คนเดี๋ยวนี้เป็นทุกข์และกังวลกับเรื่องไม่มีเวลา เราจะได้ยินที่พูดบ่อยว่า ไม่มีเวลาๆ ไม่มีเวลาไปเยี่ยมพ่อ ไม่มีเวลาพาแม่ไปเที่ยวเลย บางคนบอกว่าไม่มีเวลาดูแลลูก เพราะต้องทำงานหาเงิน คำว่าไม่มีเวลามันเป็นสิ่งที่เราได้ยินอยู่บ่อยๆ รวมทั้งไม่มีเวลาออกกำลังกาย ไม่มีเวลามาปฏิบัติธรรม
คนทุกวันนี้ก็จะพูดอย่างนี้อยู่บ่อยๆ บางทีตัวเราเองก็เป็นอย่างนั้นเหมือนกันว่าไม่มีเวลา ก็น่าคิดทำไมคนสมัยนี้ชอบบ่นว่าตัวเองไม่มีเวลา ทั้งๆที่ทุกวันนี้ มีสิ่งที่อำนวยความสะดวกทุ่นแรงทุ่นเวลามากมาย ไม่ใช่แต่รถยนต์ที่ทุ่นเวลาในการเดินทาง ข้าวของเครื่องใช้อุปกรณ์ไฟฟ้า หม้อหุงข้าว หม้อต้มน้ำ มันก็ทุ่นเวลาไปเยอะ ไม่นับอุปกรณ์ต่างๆอีกมากมาย
แต่ทำไม คนเดี๋ยวนี้ชอบบ่นว่าไม่มีเวลา อาจจะเป็นเพราะว่างานเยอะก็ได้ โดยเฉพาะเศรษฐกิจฝืดเคืองก็ทำให้ต้องให้เวลากับงานการมากขึ้น แต่หลายคนก็ไม่มีงานทำ ไม่จำเป็นต้องหางานทำ เพราะร่ำรวยแต่บอกว่าไม่มีเวลาเพราะอะไร เพราะมีเรื่องที่ต้องทำมากมาย ส่วนใหญ่ไปเที่ยว ช้อปปิ้งที่นั่นที่นี่ ไปสังสรรค์มี Event หรือมีอะไรต่ออะไรที่จะเที่ยวที่จะเล่นที่จะสังสรรค์มากมาย สุดท้ายบอกว่าไม่มีเวลาไม่มีเวลาแม้กระทั่งพักผ่อน แต่ก็แปลก นอกจากมีมีเวลาเที่ยว แล้วยังมีเวลาเล่นโทรศัพท์มือถือได้เป็นชั่วโมงๆ หลายชั่วโมงทีเดียว แต่ก็บอกว่าไม่มีเวลา ที่จริงถ้าหากว่าผู้คนทั้งหลายที่บ่นว่าไม่มีเวลา
ลองมองอีกมุมหนึ่งว่า ตอนนี้เวลาของพ่อแม่ของเราเหลือน้อยลงไปทุกที ถ้าคิดตระหนักเช่นนี้ ก็จะไม่มัวแต่เสียเวลาหาเงินหาทอง จนไม่มีเวลาเยี่ยมพ่อหรือดูแลแม่ หรือถ้าตระหนักว่า เวลาที่ลูกจะอยู่กับเรา มันเหลือน้อยลงไปทุกที เพราะไม่ช้าไม่นาน ลูกก็ต้องไปมีวิถีชีวิตของตัวเอง การที่พ่อแม่เอาเวลาไปอยู่แต่นอกบ้าน จนปล่อยให้ลูกอยู่กับโทรศัพท์มือถือ iPad หรือเกมออนไลน์ ก็คงจะไม่ทำอย่างนั้น
หรือถ้าเราตระหนักว่า เวลาที่ร่างกายของเราจะเป็นปกติ ตายังมองเห็น หูยังได้ยิน ปอดยังแข็งแรง หัวใจยังปรกติ ยังสามารถเดินเหินไปไหนมาไหนได้เวลาเหล่านี้มันเหลือน้อยลงไปทุกที ก็คงจะไม่ใช้ร่างกายอย่างสมบุกสมบัน หรือเอาแต่เที่ยวเตร่ ละเลยการดูแลสุขภาพ ถ้าเราตระหนักว่าเวลาในโลกนี้เราเหลือน้อยลงไปทุกที ก็ไม่มัวแต่ทำมาหาเงิน หรือว่าเที่ยวเตร่จนไม่มีเวลา แต่ว่าจะใช้เวลาที่มีอยู่ในการทำหน้าที่ ทำสิ่งสำคัญต่างๆในชีวิต
คนที่บอกว่าไม่มีเวลาๆ ที่จริงถ้าจะให้มีเวลา แก้ไม่ยาก เพียงแค่เริ่มต้นตระหนักว่าเวลาเราเหลือน้อยลงไปทุกที พอคิดเช่นนี้ชีวิตจะเปลี่ยนไปเลย จากเดิมที่ทำโน่นทำนี่ไม่เป็นสาระ เที่ยวเตร่ หมดเวลาไปกับโทรศัพท์มือถือ หรือหมดเวลาไปกับทำมาหาเงินสารพัด มันจะเริ่มกลับมีเวลาที่จะกลับมาทำสิ่งสำคัญในชีวิต
เพราะทันทีที่เราตระหนักว่า เวลาเราเหลือน้อยลง เราจะเริ่มหันมาพิจารณาว่า อะไรคือสิ่งสำคัญในชีวิตที่ควรทำก่อน ที่ควรรีบทำ ที่ไม่ควรผัดผ่อน ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่สำคัญและรีบด่วน และก็สิ่งสำคัญแต่ไม่รีบด่วน เราก็จะให้เวลากับสิ่งเหล่านี้มากขึ้น
ให้เวลากับการดูแลคนที่เรารักก่อนที่เขาจะจากเราไป ไม่ว่าจากเป็นหรือจากตาย ให้เวลากับการมาดูแลสุขภาพของตัวเอง แล้วก็ให้เวลากับการมาปฏิบัติธรรมซึ่งเป็นสิ่งที่ควรจะทำตั้งแต่เนิ่นๆ เพราะว่ามันเป็นสิ่งที่สามารถใช้เวลาทำทีละนิดๆ แต่ถ้าสะสมกันหลายปี ก็จะมีอานิสงส์มาก ไม่ว่าจะเป็นการออกกำลังกาย การปฏิบัติธรรม
ยิ่งเป็นคนหนุ่มสาวด้วยแล้ว การที่จะมาทำสมาธิภาวนา มันเป็นโอกาสที่ดีมาก เพราะว่าถ้ารอให้แก่ลงไป อยากจะทำ ก็ทำไม่ค่อยได้ เพราะว่าโรคภัยไข้เจ็บมันทำให้ไม่สะดวกต่อการมาปฏิบัติธรรมเสียเลย ต้องไปเสียเวลากับการดูแลรักษาร่างกาย เสียเวลาไปกับการหาหมอ แทนที่จะมีเวลากับการปฏิบัติธรรม
ถ้าหากคนหนุ่มสาวได้ตระหนักว่า เวลาเราเหลือน้อยไปทุกที ก็จะไม่มัวแต่หมกมุ่นหาเงินหาทองซึ่งก็เป็นสิ่งสำคัญ แต่ว่ามันไม่ใช่สิ่งสำคัญอย่างเดียวในชีวิต ความเป็นหนุ่มเป็นสาว มันเป็นโอกาสที่ดีมากในการทำความเพียร ในการทำสมาธิภาวนา แต่ในเวลาเดียวกัน ความเป็นหนุ่มเป็นสาวก็ทำให้เรามีทางเลือกมากมายหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการทำงานหาเงินสร้างอนาคต หรือว่าทำความใฝ่ฝันให้เป็นจริงรวมทั้งการเที่ยวเตร่ เพราะว่ายังมีกำลังวังชา มันมีทางเลือกอื่น เยอะ
แต่ถ้าเราไม่ตระหนักว่าเรามีเวลาเหลือน้อย กลับไปคิดในทางตรงข้ามว่ามีเวลาเหลืออีกมากมาย เราก็จะใช้เวลาหมดไปกับสิ่งที่ไม่เป็นสาระ หรือสิ่งที่ไม่ควรจะพรากเวลาของเราไปนานขนาดนั้น จนกระทั่งไม่มีเวลาให้กับคนที่ทเรารักหรือคนที่สำคัญในชีวิตรวมทั้งไม่มีเวลาที่จะฝึกจิตฝึกใจในการทำความเพียร
สิ่งสำคัญในชีวิตของเรามีหลายอย่าง อย่าไปคิดว่ามันมีแต่เรื่องของทำมาหาเงิน หรือว่าการสร้างเนื้อสร้างตัว อย่างที่พูดไปแล้วเมื่อหลายวันก่อนว่า คนเรา สิ่งที่ว่าประโยชน์ มีหลายระดับ ประโยชน์ชั้นต้น ได้แก่เรื่องสุขภาพ เรื่องการทำมาหากิน การมีครอบครัว ประโยชน์ชั้นสูงคือเรื่องของจิตใจ ซึ่งก็ต้องอาศัยการบำเพ็ญสมาธิภาวนา หรือการฝึกจิต รวมทั้งประโยชน์ชั้นสูงสุด ปรมัตถะคือความพ้นทุกข์ หรือนิพพาน
แม้ว่าเราอาจจะไม่มีความสนใจการพ้นทุกข์ แต่อย่างน้อย การที่เราให้ความสำคัญกับการรักษาจิตรักษาใจ โดยอาศัยสมาธิภาวนา ก็สำคัญ อย่าไปคิดว่าชีวิตลาวตอนนี้ขอให้เราประสบความสำเร็จในอาชีพก่อน ขอให้บรรลุถึงความใฝ่ฝันก่อน มีหลายคนพากเพียรจนกระทั่งทำฝันให้เป็นจริงได้ ได้เป็นแชมป์ ได้เหรียญทอง ได้เป็นเศรษฐีระดับหมื่นล้านก็มี แต่พอได้มาแล้ว ก็รู้สึกว่าก็อย่างนั้น แล้วอย่างไรต่อ
มีเศรษฐีบางคนมีเงินถึงหมื่นล้าน แต่ก็รู้สึกเบื่อหน่ายเพราะรู้สึกว่าไม่ใช่เป็นสิ่งที่ตัวเองต้องการ แต่ไม่รู้ว่าจะไปไหนต่อ แต่หลายคนพอ กว่าจะไปถึง เวลาที่เหลืออยู่ก็ไม่พอแล้วสำหรับการทำสิ่งสำคัญในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการทำหน้าที่ต่อคนที่เรารัก หรือว่าหน้าที่ของการบำเพ็ญตนหรือฝึกจิตฝึกใจ
ให้เราระลึกเสมอว่า เวลาเราเหลือน้อยลงไปทุกที ให้จัดลำดับความสำคัญของชีวิตให้ได้ อย่าให้เวลาหมดไปกับเที่ยวเตร่ สนุกสนาน หรือว่าการหาเงินหาทอง สิ่งนั้นก็สำคัญอยู่แต่สิ่งที่สำคัญกว่านั้นก็มี ไม่ว่าจะเป็นการทำความดี สร้างบุญสร้างกุศล การทำหน้าที่ต่อคนที่เรารัก รวมทั้งการฝึกจิตฝึกใจ
อย่าลืม ไม่ว่าตอนนี้เราจะมีกำลังวังชาแค่ไหน สุดท้ายเราก็ต้องแก่ต้องเจ็บต้องป่วย ถึงตอนนั้นบางทีเงินก็ช่วยไม่ได้ เทคโนโลยีก็เอาไม่อยู่ มันไม่ใช่แค่ไม่สามารถจะยื้อชีวิตของเราได้ แม้กระทั่งความเจ็บความปวด เทคโนโลยีก็ไม่สามารถที่จะบรรเทาเบาบางได้ ยาก็เอาไม่อยู่ แต่ถึงตอนนั้นถ้าเราได้ฝึกจิตฝึกสมาธิ มันก็สามารถที่จะช่วยทำให้เรารับมือกับความเจ็บป่วยหรือเจ็บปวดได้
ที่จริงไม่ต้องรอให้เจ็บป่วย เวลาที่เราประสบกับความไม่สมหวังในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการงาน เรื่องของผู้ครอง เรื่องของความสัมพันธ์ บางทีไม่ต้องรอให้แก่ แค่อายุ 30-40 ก็เกิดวิกฤตชีวิตด้วยเรื่องเหล่านี้ได้ ถ้าไม่ฝึกจิตเอาไว้เลย มันก็เอาไม่อยู่เหมือนกัน แม้ว่าจะร่ำรวยแค่ไหน ประสบความสำเร็จในการงานเพียงใด แต่พอเจอปัญหาเหล่านี้ก็เอาตัวไม่รอด เพราะว่าขาดการฝึกจิตที่จะช่วยให้เราปล่อยช่วยให้เราวางในสิ่งเหล่านี้ได้
เพราะฉะนั้น หากว่าเราจะมีอะไรติดไป เมื่อสาลิกขาลาเพศไป ก็คือข้อคิดนี้ เวลาเหลือน้อยลงไปทุกทีถ้าเราจะตระหนักตรงนี้ได้ เราจะรู้ว่าเราควรทำอะไรต่อไปกับเวลาที่เหลือ แล้วเราก็จะตระหนักว่า เอาเข้าจริง ไม่ใช่ไม่มีเวลา ถ้าเรารู้จักจัดเวลาให้ดี มันจะมีเวลาอยู่เสมอ สำหรับการทำสิ่งที่ดีงาม สิ่งที่ประเสริฐ
วันนี้เป็นวันออกพรรษา ก็จัดว่าเป็นพรรษาที่ราบรื่นพอสมควร ก็ต้องขอบคุณหมู่พระ เพื่อนพระ คณะแม่ชี ญาติโยมทุกคนที่มาช่วยกันทำให้การอยู่พรรษาครั้งนี้เป็นไปอย่างราบรื่น โดยเฉพาะส่วนใหญ่ได้ทำกิจวัตรนอกจากการทำกิจวัตรแล้วยังทำกิจส่วนรวมต่างๆมากมาย ที่ทำให้ความเป็นไปความเป็นอยู่ของพวกเราราบรื่นได้ดี และที่ราบรื่นสำคัญอย่างหนึ่งก็คือคณะแม่ครัว เป็นกำลังสำคัญ เป็นผู้ที่ทำงานหนักตลอดพรรษา ที่จริงทำงานไม่ใช่เฉพาะพรรษา ออกพรรษาก็ยังทำ ก็ขอบคุณด้วย
และปีนี้มีงานพิเศษที่งอกเงยมาเนื่องจากน้ำท่วม ก็มีพระหลายรูป แม่ชีหลายคน ญาติโยม มาเป็นกำลังสำคัญในการช่วยเหลือสงเคราะห์ญาติโยมที่ประสบภัยน้ำท่วม ก็เป็นเรื่องที่น่าอนุโมทนา โอกาสที่เราจะทำแบบนี้ซึ่งเป็นกิจส่วนรวม เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นก็มีน้อยแต่เมื่อมีโอกาสแล้ว เราก็ทำเต็มที่ เป็นเรื่องที่อยากจะขอบคุณ และขออนุโมทนาด้วย
และที่สุดนี้ ขออวยพรให้ทุกท่าน ไม่ว่าจะเป็นพระสงฆ์ แม่ชีหรือว่าญาติโยมที่มาร่วมกันบําเพ็ญปฏิบัติธรรมในพรรษานี้ ขอให้ธรรมที่บำเพ็ญจงเจริญงอกงาม ขอให้ทุกท่านอยู่ในอารักขาแห่งธรรม จงอำนวยให้ประสบความสุขทั้งทางกายและทางใจ ขอให้จิตแจ่มใส ใจเบิกบาน ให้มีสติรักษาใจ ให้มีปัญญา และนำพาชีวิตก้าวข้ามผ่านทุกข์ จนกระทั่งได้เห็นสัจธรรมความจริง อำนวยให้ตนได้พบกับความสุขเกษมศานต์ เข้าถึงพระนิพพานโดยทั่วกันเทอญ
- พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมเย็นวันที่ 21 ตุลาคม 2564