แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
อาตมารู้จักฝรั่งชาวอังกฤษคนหนึ่ง แล้วก็นับถือท่านผู้นี้ว่าเป็นครูคนหนึ่ง ท่านชื่อว่า นิโคลัส เบนเนส โดยอาชีพเป็นที่ปรึกษากระทรวงศึกษาธิการ ความรู้ความเข้าใจด้านการศึกษานี่เรียกว่ารอบด้าน ล้ำยุคมาก แต่ว่าก็มีความรู้ด้านอื่นๆอีกมากมาย รวมทั้งพระพุทธศาสนาด้วย ท่านนับถือพุทธ ภรรยาของท่านเป็นครูสอนโยคะของอาตมาตั้งแต่เพิ่งเข้ามหาวิทยาลัยใหม่ๆ สมัยนั้นโยคะยังไม่ได้เป็นที่แพร่หลายกัน คนไทยก็ยังมองโยคะว่าเป็นเรื่องล้าสมัยไม่เหมือนสมัยปัจจุบันเป็นกระแสทั่วโลกไปแล้ว
นิโคลัสทำงานอยู่ที่เมืองไทยเกือบ 10 ปี แล้วก็ใช้ชีวิตที่เรียกว่าโชกโชนมากตลอดเวลาที่อยู่เมืองไทย เพราะว่าเป็นฝรั่งที่ติดดิน ไม่เหมือนที่ปรึกษาทั่วๆไป จบภารกิจที่เมืองไทยก็ไปทำงานที่เนปาลเป็นที่ปรึกษาด้านการพัฒนา แต่ก็ไม่ได้เป็นที่ปรึกษาเหมือนฝรั่งทั่วๆไป คือไม่ได้อยู่ที่เมืองหลวงแต่ลงไปใช้ชีวิตขลุกกับชาวบ้านในชนบทที่ห่างไกล เนปาล การคมนาคมก็ลำบากทุรกันดาร
บ่อยครั้งก็มีกิจที่ต้องมากาฐมาณฑุ ซึ่งเป็นเมืองหลวง และจะมากาฐมาณฑุได้ วิธีที่สะดวกที่สุดก็คือนั่งเครื่องบิน ซึ่งสนามบินที่อยู่ใกล้ที่สุดก็อยู่ในหุบเขา ซึ่งเขาจะต้องเดินลงเขา 2 ชั่วโมง กว่าจะถึงสนามบิน ถึงแล้วก็ไม่รู้ว่าเครื่องบินจะมารับหรือเปล่า เพราะว่าดินฟ้าอากาศที่เนปาล มันแปรปรวนมาก
สิ่งที่เขาทำได้ก็คือว่าออกเดินทางแต่เช้า ลงเขาไป 2 ชั่วโมง แล้วก็รอ วันไหนโชคดีฟ้าเปิดเครื่องบินก็มาตามกำหนด ไม่ล่าช้า แต่บางวันฟ้าปิดก็ต้องรอถึงเย็น เครื่องบินไม่มา ก็ต้องปีนขึ้นเขา กลับบ้าน วันรุ่งขึ้นก็มาใหม่ บางช่วงลงเขาขึ้นเขาติดต่อกันเป็นอาทิตย์ กว่าจะได้กลับกาฐมาณฑุ บางวันนี่ลงเขาไปแล้วฟ้าเปิด แต่พอถึงกำหนด ฟ้าเกิดมีเมฆหนา เครื่องบินก็ลงไม่ได้ ก็เป็นอันว่าเหลว เวลาที่เขาขึ้นเขากลับสู่ที่พักใช้เวลา 3 ชั่วโมง ลง 2 ขึ้น 3 รวม 5 ชั่วโมง
ใครที่เจอแบบนี้ อดจะหงุดหงิดไม่ได้ว่า อุตส่าห์ลงเขาไปแล้ว รอทั้งวันก็ไม่มีเครื่องบินมารับ ก็ต้องปีนเขากลับที่พัก แต่นิโคลัสไม่รู้สึกอาทรร้อนใจเลย วันไหนที่เครื่องบินไม่มารับ ระหว่างที่ปีนเขากลับที่พักก็ถือโอกาสชื่นชมธรรมชาติ แล้วก็ถือโอกาสปิกนิกไปเลย ดื่มชาสัก 2-3 ถ้วยก่อนกลับถึงที่พัก ขาไปหรือขาลงเขาก็เหมือนกัน ก็ไม่คาดหวังว่าเครื่องบินจะมารับหรือไม่ ใจก็พยายามมีความสุข มีความผ่อนคลายระหว่างการเดินทาง
เพราะฉะนั้นเขาไม่ได้มีความรู้สึกหงุดหงิดรำคาญ หรือโมโห ที่เครื่องบินไม่มารับสักที บางทีเป็นอาทิตย์เลย เพราะไม่ว่าจะเป็นการลงเขาขึ้นเขา หรือจะเดินทางไปหรือเดินทางกลับ เขาก็ใช้เวลานั้นผ่อนคลายเก็บเกี่ยวความสุขระหว่างทาง
ก็กลายเป็นว่าการไปถึงเมืองหลวง ไม่ใช่เป็นเรื่องสำคัญ เรื่องสำคัญก็คือว่าให้มีความสุขให้มีความผ่อนคลายในระหว่างการเดินทาง เขาก็เลยอยู่กับความไม่แน่นอนของการเดินทางได้ จะถึงหรือไม่ถึงที่หมายก็ตาม ก็มีความสุขแล้วระหว่างที่เดินทางไม่ว่าขาไปหรือขากลับ
อันนี้ก็ให้แง่คิดที่ดีว่าคนเรามักจะรอความสุขเมื่อถึงที่หมายหรือถึงปลายทาง แต่ว่าไม่ค่อยได้ให้ความสำคัญกับตอนเดินทางเท่าไหร่ บางทีระหว่างที่เดินทางมีความเครียด มีความหงุดหงิด เพราะใจไปอยู่ที่จุดหมายปลายทาง ทั้งๆที่การเดินทางก็สำคัญ ช่วงเวลาที่เดินทาง เป็นช่วงเวลาที่สามารถที่จะพักผ่อนหย่อนใจ ชื่นชมธรรมชาติหรือเก็บเกี่ยวความสุขที่มีอยู่รอบตัวได้
เพราะฉะนั้น ถ้าคนเราวางใจไม่เป็น ก็เดินทางด้วยความทุกข์ เพราะว่าใจไปอยู่ที่จุดหมาย ลืมที่จะรู้จักเก็บเกี่ยวความสุขที่พบในระหว่างการเดินทาง หรือความสุขที่เกิดขึ้นในปัจจุบันขณะ มันไม่ใช่แค่การเดินทางอย่างเดียว การทำงานก็เหมือนกัน คนก็จะไปรอว่าจะมีความสุขเมื่องานเสร็จ แต่ในระหว่างการทำงานก็ทำด้วยความทุกข์
ที่จริงถ้าวางใจเป็น ไม่ต้องรอความสุขที่เกิดขึ้นเมื่องานสำเร็จ อันนั้นเป็นอนาคต ขณะที่กำลังทำงาน มันคือปัจจุบันที่เราสามารถที่จะพบกับความผ่อนคลายความเพลิดเพลินได้ หรือพบความสุขได้ คนเราถ้าไปวาดหวังความสุขที่จุดหมายปลายทาง หรือที่รออยู่อนาคตเบื้องหน้า มันก็เท่ากับว่ามองข้ามโอกาสที่เราจะได้พบกับความสุขในปัจจุบันขณะ
จริงอยู่ สิ่งที่รอเราอยู่ข้างหน้า หรือว่าอยู่ที่จุดหมายปลายทาง อาจจะเป็นสิ่งที่สำคัญ เป็นความสุขที่น่าตื่นตาตื่นใจรออยู่ มันเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน แต่สิ่งที่แน่นอนกว่าคือ ช่วงเวลาที่เรากำลังเดินทาง หรือช่วงเวลาที่เรากำลังทำงานนั่นแหละ อันนั้นคือปัจจุบันที่เป็นของจริงที่แน่นอนกว่า
และถ้าเราวางใจเป็น เราก็สามารถจะพบกับความสุขในปัจจุบันขณะได้ ท่านติชนัทฮันห์ เขียนหนังสือเล่มหนึ่งแล้วท่านก็พูดถึงประโยคนี้อยู่บ่อยๆก็คือ ปัจจุบันคือเวลาประเสริฐสุด ไม่มีเวลาไหนที่จะประเสริฐเท่ากับปัจจุบันอยู่แล้ว อดีตก็ไม่ใช่ อนาคตก็ไม่ใช่
ทำไมปัจจุบันจึงเป็นเวลาประเสริฐสุด เพราะเป็นเวลาเดียวที่เราสามารถจะทำสิ่งดีๆให้เกิดขึ้นได้ อดีตเราก็แก้ไขอะไรไม่ได้ อนาคตมันก็ยังมาไม่ถึง แล้วจะมาถึงหรือเปล่าก็ไม่รู้ เพราะว่าเราอาจจะมีอันเป็นไปเสียก่อน หรืออาจจะไม่ได้เป็นไปอย่างที่คาดหวังก็ได้
อย่างคนที่วาดหวังว่าจะเดินทางไปต่างประเทศอีก 4-5 เดือนข้างหน้า ปรากฏว่าเอาเข้าจริงๆก็เจอโควิด ปิดน่านฟ้าไปไม่ได้เลย อนาคตเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน ปัจจุบันเป็นสิ่งที่แน่นอนที่สุด เพราะฉะนั้น มันจึงเป็นเวลาเดียวที่เราสามารถจะทำสิ่งดีๆให้เกิดขึ้นได้
ถ้าเราต้องการความสำเร็จ เราต้องทำตั้งแต่เดี๋ยวนี้ถ้าเราต้องการความเจริญงอกงาม เราต้องทำแต่เสียแต่เดี๋ยวนี้ ไม่ใช่รอทำในวันข้างหน้า เพราะวันนั้นจะมาถึงหรือเปล่าก็ไม่รู้ หรือถึงแม้มาถึง ก็อาจจะมีเหตุให้ทำไม่ได้ นอกจากนั้น ปัจจุบันจึงเป็นเวลาที่สัจธรรมได้แสดงตัว ที่สามารถจะทำให้จิตใจเราสว่างไสว ถ้าเราหมั่นพิจารณา ก็จะพบว่ารอบตัวเรา สัจธรรมแสดงตัว ปรากฏต่อจิตใจเราตลอดเวลา
ต้นไม้ก็แสดงธรรมให้เรา ก้อนหินก็แสดงธรรมให้เรา ท้องฟ้าก็แสดงธรรมให้เรา เมฆก็แสดงธรรมให้เรา มันเป็นธรรมที่แสดงต่อเราเรียกว่าทุกเวลาเลย โดยเฉพาะในช่วงที่เป็นปัจจุบันขณะด้วย บางครั้งใบไม้ร่วง นั่นก็กำลังสอนธรรมให้กับเรา หรือว่าฝนฟ้าที่แปรปรวนก็แสดงธรรมให้ปรากฏแก่เรา น้ำค้างที่ระเหยหายไปในยามเช้า เขาก็แสดงธรรมให้กับเรา
มันไม่ใช่แค่ธรรมชาติอย่างเดียว เสียงเพลงที่กระทบหูก็อาจจะแสดงธรรมให้กับเราก็ได้ อย่างที่พระบางรูปในสมัยพุทธกาล บรรลุธรรมได้เพราะการได้ยินเสียงเพลง แล้วก็ได้เห็นสัจธรรมจากเสียงเพลงนั้น หรือบางท่านจะเข้านอน พอดับเทียนเท่านั้น จิตก็สว่างไสวเลย เพราะได้เห็นสัจธรรมจากเปลวเทียนที่มันดับ
ปัจจุบันเต็มไปด้วยสัจธรรม ที่สามารถจะทำให้จิตใจเราสว่างไสว จนเกิดปัญญาพาออกจากทุกข์ได้หลวงปู่มั่น ท่านพูดไว้ว่าสำหรับผู้มีปัญญา ธรรมะมีอยู่ทุกหย่อมหญ้า หรือจะพูดอีกอย่างหนึ่ง ธรรมแสดงตัวให้กับเราอยู่ตลอดเวลาในช่วงปัจจุบันขณะ อยู่ที่ว่าเราจะเปิดใจรับหรือเปล่า
มีพุทธสุภาษิตที่สวดอยู่บ่อยๆ เวลาทำวัตรสวดมนต์ ผู้ใดเห็นธรรมที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้าในที่นั้นๆอย่างแจ่มแจ้ง ไม่ง่อนแง่นคลอนแคลน เขาควรพอกพูนอาการเช่นนั้นไว้ ธรรมที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้าก็คือธรรมที่เกิดในปัจจุบันขณะนั้นเอง ไม่ว่าจะเป็นธรรมที่แสดงตัวในรูปของ รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส หรือว่าที่ปรากฏในรูปของธรรมารมณ์
ปัจจุบันจึงเป็นช่วงเวลาที่สามารถที่จะเปิดใจของเราให้กระจ่างแจ้งในสัจธรรมได้ อนิจจังทุกขังอนัตตาอันนี้ก็ปรากฏกับเราทุกเวลาทุกขณะ โดยเฉพาะที่มันเป็นปัจจุบันขณะ มันไม่ใช่แค่สัจธรรมอย่างเดียว ความสุขก็เหมือนกัน ปัจจุบันเป็นเวลาเดียวก็ว่าได้ที่เราจะแน่ใจได้ว่า ความสุขเกิดขึ้นกับเรา เราจะไปวาดหวังความสุขจากอนาคต มันวาดหวังได้ยาก เพราะว่าความสุขที่เราคาดหวังจากอนาคต ก็ล้วนแต่เป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน
บางคนอาจจะคาดหวังว่าจะมีความสุขเมื่อได้ไปเที่ยวต่างประเทศ หรือว่าได้ไปเที่ยวทะเล ได้ไปฟังคอนเสิร์ต ได้ไปเที่ยวห้าง แต่เหตุการณ์เหล่าน่าจะเกิดขึ้นจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้ จะมาถึงหรือเปล่าก็ไม่รู้ หลายคนวางแผนเอาไว้ แต่อยู่ดีๆรัฐบาลก็สั่งล็อคดาวน์ เดินทางไม่ได้ ไปเที่ยวไม่ได้แม้แต่จะไปเยี่ยมบ้านในวันสงกรานต์ ก็ทำไม่ได้ เพราะว่าเขาประกาศล็อคดาวน์ หรืองดเดินทาง
ความสุขที่วาดหวังในอนาคตแต่ไม่แน่นอน มันจะมาถึงหรือเปล่าก็ไม่รู้ หรือถึงแม้จะมาถึง แต่ว่าใจเราอาจจะไม่มีความสุขก็ได้ อย่างหลายคน ถึงแม้จะได้ไปเที่ยวต่างประเทศอย่างที่ตั้งใจ ได้ไปฟังดนตรี ได้ชมคอนเสิร์ต แต่ใจไม่มีความสุขเลย เพราะว่าใจห่วงนั่นห่วงนี่ ห่วงลูกห่วงหลาน ห่วงงานห่วงการ ห่วงพ่อห่วงแม่ บางที ห่วงว่าจะต้องไปตรวจสุขภาพไปตรวจชิ้นเนื้อไม่รู้ว่าเป็นมะเร็งหรือเปล่า ได้ไปจริง ได้ไปต่างประเทศ ได้ไปชมคอนเสิร์ต แต่ว่าไม่มีความสุข เพราะใจไม่พร้อม ใจเป็นห่วง หรือโกรธเคืองคนที่ข้างๆที่ส่งเสียงดัง เป็นต้น
จะว่าไปแล้วความสุขมันอยู่ที่การวางใจเป็นสำคัญ ไม่ใช่อยู่ที่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับเราหรือไม่ ความสุขอยู่ที่การวางใจเป็นสำคัญ ถ้าเราไม่รู้จักการวางใจให้มีความสุขได้ในปัจจุบัน จะหวังว่าเราจะมีความสุขในอนาคตได้อย่างไร ถ้าเราวางใจให้มีความสุขในขณะนี้ไม่เป็น มันก็ยากที่จะวาดหวังความสุขในวันข้างหน้าได้
เพราะฉะนั้น ถ้าหากว่าต้องการความสุขมันก็ต้องรู้จัก เป็นสุขตั้งแต่ตอนนี้ ไม่ใช่ไปรออนาคตและเราจะเป็นสุขตอนนี้ได้อย่างไร มันก็ต้องรู้จักการวางใจ นั่นก็คือการรู้จักอยู่กับปัจจุบัน มันไม่ได้เพียงแค่การวางอดีตวางอนาคต แต่รวมถึงว่าการรู้จักชื่นชมสิ่งดีๆที่มีอยู่หรือว่าการที่สามารถเห็นความสุขในปัจจุบันได้
มีผู้หญิงคนหนึ่งเขียนการ์ดอวยพรให้เพื่อนแทนที่จะอวยพรเพื่อนว่าขอให้เธอมีความสุข เธอกลับเขียนว่าให้เธอเห็นความสุข ก็เพราะว่าความสุขมีอยู่กับเธอ มีอยู่รอบตัวเธออยู่แล้ว อยู่ที่ว่าเธอจะเห็นหรือเปล่า ถ้าเธอเห็นเธอก็มีความสุข
แต่คนส่วนใหญ่ความสุขอยู่รอบตัวแต่มองไม่เห็นเพราะใจไม่ว่าง ใจไม่เปิด ใจเปิดเมื่อไหร่ถึงจะพบความสุขว่ามีอยู่รอบตัว อย่างเพื่อนคนหนึ่ง ขยันมากเป็นงานที่ต้องใช้ความคิด คิดอยู่ตลอดเวลาจนกระทั่งมีช่วงหนึ่งต้องไปพักฟื้นที่บ้าน เพราะผ่าตัดไส้เลื่อน เป็นช่วงเวลาเดียวในรอบหลายสิบปีที่ไม่ได้ทำงาน ต้องวางงาน และพักฟื้นที่บ้าน
มีบ่ายวันหนึ่งพักผ่อนหย่อนใจอยู่ที่ระเบียงบ้าน ตอนบ่าย บ่ายแก่ๆ ได้ยินเสียงนกเขาร้อง ทีแรกก็ 1 ตัวตอนหลังก็ร้องตาม มีนกหลายตัวร้องตาม ประสานเสียงกัน เขาฟังแล้วรู้สึกไพเราะมาก เกิดปิติ จนน้ำตาคลอ มันเป็นความสุขที่เขาบรรยายไม่ถูก
แล้วจู่ๆเขาก็ฉุกคิดขึ้นมาว่า ฉันอยู่บ้านมาตั้งแต่ลูกยังเรียนอนุบาล ตอนนี้ลูกใกล้จะจบมหาวิทยาลัยแล้วทำไมเพิ่งจะได้ยินเสียงนกร้องอย่างนี้ นกเพิ่งร้องวันนี้หรือเปล่า เปล่า มันไม่ได้เพิ่งร้องแต่วันนี้ แล้วทำไมฉันไม่ได้ยิน ก็เพราะว่าใจฉันเอาแต่คิดโน่นคิดนี่ ไม่ได้เปิดใจรับความสุขที่มีอยู่รอบตัว
เหตุการณ์นี้ทำให้เขาได้คิดว่า ที่จริงความสุขไม่ได้อยู่ไกล มันอยู่รอบตัวเรา เพียงแต่ว่าเราไม่เปิดใจรับเอง ไปวาดหวังไปคิดว่าความสุขมันอยู่ข้างนอก อยู่ไกล ที่จริงมันอยู่รอบตัว อยู่ในสวนรอบบ้านนี้เอง
ที่จริง ความสุขมีอยู่รอบตัวเราอยู่แล้ว การที่เรามีสุขภาพดี ไม่เจ็บไม่ป่วย การที่เรายังหายใจปกติ หัวใจก็ยังทำงานได้ปกติ ก็ถือว่าเป็นโชคแล้ว ยิ่งมีคนรักอยู่รอบข้าง อันนี้ก็เป็นความสุขอย่างหนึ่งที่คนเรามีอยู่ทุกขณะอยู่แล้ว แต่ว่าไม่เห็น เพราะไปจดจ่ออยู่กับความสุขที่รออยู่ข้างหน้า พอไปจดจ่อที่ความสุขข้างหน้า ก็เลยไม่เปิดใจรับรู้ว่ามีอยู่รอบตัวหรือมีอยู่กับตัว
ที่จริงความสุขมีอยู่ทุกขณะ อยู่ในใจของเรา แม้จะไม่ได้ยินเสียงนกร้อง แต่เพียงแค่รู้จักทำใจให้สงบมันก็พบความสุขได้ไม่ยากที่ใจของเรา หรือได้ทำความรู้สึกให้เกิดขึ้น เมื่อใดก็ตามที่มีความรู้สึกตัว ตอนนั้นเรากำลังอยู่กับปัจจุบัน ถ้าเราปล่อยใจไหลไปในอนาคต ลอยไปในอดีต ตอนนั้นมันก็ลืมตัว ตอนนั้นมันก็หลง
แต่ทันทีที่ใจเราอยู่กับปัจจุบันจริงๆ มันก็จะเกิดความรู้สึกตัวขึ้นมา แล้วมันก็จะเกิดภาวะโปร่งโล่งเบาอิสระ ปราศจากความกังวล มันเป็นความสุขที่เราพบได้ในทุกขณะ มันเป็นความสุขที่พบได้ในปัจจุบัน มันไม่ต้องรอหาจากที่ไหน เพราะฉะนั้น ถ้าเรารู้จัก ทำใจให้อยู่กับปัจจุบัน เราก็สามารถที่จะพบความสุขในช่วงขณะนี้เวลานี้ได้ไม่ยาก แต่ใครก็ตามที่ชอบอาลัยความสุขในอดีตหรือไปวาดหวังความสุขในอนาคต มันจะยากมากที่จะพบความสุขในปัจจุบัน
มันมีคนหนึ่งพูดไว้น่าฟัง เขาบอกว่า อย่าร้องไห้เมื่อดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า เพราะน้ำตาจะบดบังเธอไม่ให้เห็นดวงดาว มีบางคนอาลัยอาวรณ์ดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้ว เสียดายจังเลย อาทิตย์ยามสายัณห์มันสวยมาก แต่ตอนนี้มันลับขอบฟ้าไปแล้วฉันมาดูนี่เดี๋ยวเดียวเอง ยังไม่ทันซึมซับ เสียดายมากเลย บางทีรู้สึกอาลัยอาวรณ์
จนลืมไปว่าดวงดาวมันกำลังส่องแสง มันกำลังทอแสงระยิบระยับอยู่เบื้องบน แต่ว่าหลายคนก็มองไม่เห็นความงดงามของดวงดาวยามค่ำคืน เพราะว่ามัวไปมองอาลัยอาวรณ์กับดวงอาทิตย์ที่ลับขอบฟ้า ซึ่งเป็นเรื่องอดีตไปแล้ว
อันนี้เป็นอุปมาอุปไมยที่เตือนเราว่า อย่าไปอาลัยความสุขในอดีต เพราะมันจะเป็นตัวปิดกั้นให้ไม่เห็นความงดงามในปัจจุบัน เพราะฉะนั้น ถ้าเราวางใจให้เป็น เราจะพบความสุขได้ไม่ยาก
เคยมีพิธีกรโทรทัศน์คนหนึ่ง นิมนต์ท่านทะไลลามะมา แล้วเขาก็สัมภาษณ์มีตอนหนึ่งในบทสัมภาษณ์ เขาถามท่านทะไลลามะว่า ช่วงเวลาที่พระองค์มีความสุขที่สุดในชีวิตคือตอนไหน ช่วยเล่าให้ฟังหน่อย
ท่านนิ่งสักพัก แล้วก็ตอบด้วยรอยยิ้มว่าอาตมาคิดว่า ช่วงเวลานั้นก็คือตอนนี้ไงล่ะ เป็นคำตอบที่สั้นแต่ลึกซึ้งมาก ช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุดในชีวิตก็คือตอนนี้ อันนี้ก็ตรงกับที่ท่านติชนัทฮันห์พูด ปัจจุบันเป็นเวลาประเสริฐสุด เราจะพบความสุขที่แท้ก็ ณ ปัจจุบันขณะนี้เอง
เพราะฉะนั้น ถ้าเราต้องการความสุข มันก็ต้องรู้จักเป็นสุขตั้งแต่ตอนนี้ หรือว่าพบความสุขในปัจจุบันขณะ และเราก็สามารถที่จะมีความสุขในเวลานี้ขณะนี้ได้ ถ้าหากว่าเราวางใจเป็น
ย้อนมาที่นิโคลัส เขาพบความสุขในระหว่างการเดินทาง โดยที่ไม่รอว่าจะต้องมีความสุขเมื่อถึงจุดหมายปลายทางคือ กาฐมาณฑุ อันนี้ก็เป็นแง่คิดให้พวกเราผู้ที่ยังอยู่ในระหว่างการเดินทาง พวกเราซึ่งเป็นนักปฏิบัติทุกคน ก็ล้วนแต่เป็นผู้ที่กำลังเดินทา เราต่างก็ต้องการที่จะถึงจุดหมายปลายทางคือการพ้นทุกข์ คือนิพพาน หรือการเข้าถึงปรมัตถธรรม
หรือบางคนอาจจะไม่ได้คิดวาดหวังไปถึงขนาดนั้นเพียงแค่ให้มีสติ มีความรู้สึกตัวแจ่มชัดก็พอ แต่ว่าตอนนี้ยังไปไม่ถึง อยู่ในระหว่างการปฏิบัติ แต่ถึงแม้ว่าเรายังไม่ถึงเป้าหมายที่ต้องการบรรลุ ในระหว่างที่เราปฏิบัติ เราก็ยังสามารถที่จะมีความสุขจากการปฏิบัติได้ อย่าไปรอว่าฉันจะมีความสุขได้ก็ต่อเมื่อบรรลุถึงจุดหมายที่ต้องการ หรือวาดหวังเอาไว้
ในขณะที่ยังไม่ถึง ขณะที่ปฏิบัติอยู่ เราก็สามารถที่จะมีความสุขได้ ถ้ารู้จักวางใจให้เป็น มันจะมีความฟุ้งบ้าง มีความเครียดบ้าง ก็ยอมรับมัน รู้เท่าทันมัน การยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น หรือว่าการรู้จักรับรู้สิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นด้วยใจที่เป็นกลาง มันก็ช่วยทำให้เรามีความสุขได้
อย่างนิโคลัส ก็ยอมรับกับความเป็นจริง ดินฟ้าอากาศที่แปรปรวน เครื่องบินที่ไม่มารับ พอเขายอมรับได้ ใจก็ไม่ทุกข์แล้ว แล้วก็ความสุขด้วยการที่ได้ชื่นชมธรรมชาติระหว่างการเดินทางกลับไปที่พัก ดื่มน้ำชาพักผ่อนหย่อนใจ
ในระหว่างที่เราปฏิบัติ เราก็สามารถมีความสุขในระหว่างการเดินทางได้ โดยเฉพาะถ้าเรามีฉันทะ ฉันทะคือความชอบ มีความชอบสุขที่ได้ทำ จะบรรลุหรือไม่ก็อันนั้นเป็นเรื่องอนาคต แต่ตอนนี้ฉันพอใจที่ได้ทำ มีฉันทะ เมื่อมีฉันทะก็มีความสุข และความสุขนี้ก็จะเป็นสิ่งสำคัญที่จะเป็นตัวหล่อเลี้ยงหรือผลักดันให้เราไปถึงจุดหมายปลายทางได้
พระพุทธเจ้าตรัสว่าจะบรรลุความสุขได้ ก็ต้องอาศัยความสุข นิพพานเป็นความสุขที่ประเสริฐยิ่ง จะบรรลุถึงพระนิพพานได้ก็ต้องอาศัยความสุข หรืออาศัยวิถีทางประกอบด้วยความสุข เพราะฉะนั้น รักษาใจให้มีความสุขอยู่เสมอในระหว่างที่เดินทาง ในระหว่างที่ปฏิบัติ
พระพุทธเจ้าตรัสประโยคหนึ่งที่น่าคิดมากว่า ภิกษุผู้มากด้วยปราโมทย์ ย่อมทำความทุกข์ให้หมดสิ้นไปได้ ปราโมทย์หรือความเบิกบานร่าเริง มันเป็นสิ่งสำคัญเลยในการที่จะทำทุกข์ให้หมดสิ้นไป
เพราะฉะนั้นในระหว่างที่เราเดินทาง เราก็สามารถที่จะมีความสุขกับการเดินทาง มีความสุขกับการปฏิบัติได้ ถ้าเราวางใจเป็น โดยเฉพาะการรู้จักอยู่กับปัจจุบัน
- พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมเย็นวันที่ 20 ตุลาคม 2564