แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
คนเราทุกวันนี้ มีความสะดวกสบายยิ่งกว่ายุคใดในประวัติศาสตร์ แต่ว่ากลับมีความเครียดมาก อาจจะเครียดมากกว่าคนรุ่นพ่อรุ่นแม่ ปู่ย่าตายายด้วยซ้ำ ความเครียดทุกวันนี้กลายเป็นปัญหาใหญ่ เพราะว่ามันเป็นเหตุให้คนล้มป่วย หรือว่าถึงตายแล้ว ก็ไม่น้อยเลย
เขาประมาณว่าความเจ็บป่วยของผู้คนประมาณครึ่งหนึ่งหรือ 70 เปอร์เซ็นต์ ที่ทำให้ต้องเข้าโรงพยาบาลนั้นมันเกิดจากความเครียด เช่น โรคที่เกี่ยวกับความดัน โรคหัวใจ โรคที่เกี่ยวกับสมอง เหล่านี้เพราะความเครียดทั้งนั้นแหละ
มีงานวิจัยบอกว่า คนตายเพราะความเครียดยิ่งกว่าตายเพราะบุหรี่หรือเหล้าเสียอีก พูดอย่างนี้ ก็อย่าไปคิดว่า ถ้าอย่างนั้นฉันไปกินเหล้าสูบบุหรี่เพื่อที่จะได้คลายเครียดก็ได้ อาจจะเครียดยิ่งกว่าเดิมก็ได้
มีงานศึกษาวิจัยชิ้นหนึ่งน่าสนใจทำในอเมริกา ถามคนอายุตั้งแต่ 34-93 ปี ข้อแรกคือว่า ปีที่ผ่านมานี้ คุณเครียดมากน้อยแค่ไหน ให้คะแนนความเครียดของตัว
คำถามข้อที่ 2 คือว่า ปีที่ผ่านมานี้ คุณได้ช่วยเหลือเพื่อน คนรู้จัก หรือว่าผู้อื่น มากน้อยแค่ไหน หลังจากนั้น 5 ปีเขาก็ก็ตามผลต่อเลยว่า คนที่ตอบแบบสอบถาม 2 ข้อนี้เป็นยังไงบ้าง
ก็พบว่า คนที่ไม่ว่าจะเครียดมากหรือเครียดน้อย ถ้าเป็นคนที่ตอบว่า ได้ช่วยเหลือผู้คนมากขึ้นในปีที่ผ่านมา จะไม่มีใครที่ตายเลย ไม่มีใครล้มตายเพราะโรคเครียด หรือโรคหัวใจ หรือโรคมะเร็ง หรือโรคเกี่ยวกับสมอง
คนที่บอกว่าได้ใช้เวลาที่ผ่านมาช่วยเหลือผู้คน ทั้งที่รู้จักที่อยู่ใกล้ตัว และคนอื่นรอบๆตัวมากขึ้นนี่ ไม่มีใครตายสักคนเพราะความเครียด มันก็แสดงให้เห็นว่าการช่วยเหลือผู้คน มันมีผลดีต่อสุขภาพอย่างน้อยก็ช่วยลดความเครียดได้ ไม่ทำให้เครียดหนักจนเจ็บป่วยล้มตาย
การช่วยคนอื่น มันดีทั้งต่อสุขภาพกายสุขภาพใจ ทีแรกอาจจะดีต่อสุขภาพใจก่อน เช่น ช่วยคนอื่นแล้ว รู้สึกมีความสุข มีความปลาบปลื้มยินดี พอเราได้ช่วยคนอื่น เรามีความสุขที่ได้เห็นเขามีความสุข พ้นจากความทุกข์ ความยินดี ความปิติ ความปราโมทย์ ตัวมันเองก็ช่วยลดความเครียดลงอยู่แล้ว พอความเครียดลดลง โรคภัยไข้เจ็บที่เกิดจากความเครียดมันก็ลดน้อยถอยลงตามไปด้วย
อันนี้เป็นสิ่งที่การศึกษาทางการแพทย์เขาชี้ชัดมากขึ้นเรื่อยๆว่า ความมีน้ำใจ ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ มันมีประโยชน์ มันไม่ใช่เพียงแค่การทำบุญที่ทำให้มีความสุขในภพหน้า แต่มันทำให้มีความสุขในภพนี้ในชาตินี้ด้วย ทั้งเกิดความเย็นใจและเกิดสุขภาพที่ดี เพราะอะไร เพราะพอเราช่วยคนอื่น ไม่ว่ารู้จักหรือไม่รู้จักด้วยความจริงใจ มันไปกระตุ้นเมตตากรุณาในใจของเรา ซึ่งเป็นสิ่งที่มีในทุกคนอยู่แล้ว พอมันกระตุ้นเมตตากรุณาแล้ว มันก็ส่งผลดีต่ออารมณ์ความรู้สึกของคนเรา
อย่างที่พระพุทธเจ้าสอนให้รู้จักแผ่เมตตา พระองค์ก็ตรัสว่าการแผ่เมตตามีอานิสงส์ 11 ประการ เช่น หลับก็เป็นสุข ตื่นก็เป็นสุข ไม่ฝันร้าย สีหน้าผ่องใส แค่ 4 ข้อนี้มันก็มีผลดีต่อสุขภาพใจและสุขภาพกาย เมตตากรุณามันมีอยู่ในทุกคน แต่ว่ามันแสดงตัวออกมาหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับว่าเราได้ทำอะไร ถ้าเราคิดดี พูดดี ทำดี เช่น ไปช่วยเหลือคนที่เขาเดือดร้อน มันก็ทำให้เมตตากรุณานี้มีกำลังมากขึ้นในจิตใจ พอมีกำลังขึ้นมา ก็ทำให้อารมณ์ความรู้สึกในทางบวกเพิ่มมากขึ้น มันก็ส่งผลทำให้ร่างกายนี้ดีขึ้น
มันดีกว่าการกิน การเสพ การเที่ยว การเล่นด้วยซ้ำ ถึงแม้ว่าสิ่งเหล่านี้จะทำให้มีความสุข แต่มันก็สุขไม่เท่ากับการที่ได้ช่วยเหลือผู้อื่น มีการทดลอง แบ่งนักศึกษาออกเป็น 2 กลุ่ม ทุกคนได้เงินจำนวนหนึ่ง เทียบเป็นเงินไทยก็ประมาณ 500 บาท
โดยบอกกลุ่มแรกว่า ให้เอาเงินจำนวนนี้ไปกินไปเที่ยวไปเล่นได้ตามสบาย ให้เวลา 1 วัน ส่วนอีกกลุ่มหนึ่ง บอกให้เอาเงินจำนวนนี้ไปทำกิจกรรมอะไรก็ได้ ที่เป็นการช่วยเหลือผู้อื่น ก็มีคนเอาเงินไปซื้อสี กระดาษ แล้วเอาไปสอนวาดภาพให้กับเด็กข้างถนน หรือบางคนก็เอาเงินไปซื้ออาหารแจกคนไร้บ้าน บางคนบอกว่าเอาเงินไปซื้ออาหารนี่มันแจกได้น้อย ก็เอาเงินไปซื้อวัตถุดิบมาแล้วก็ทำอาหารแจกคนชราที่เจ็บป่วยที่ถูกมองข้าม หรือคนไร้บ้าน
เสร็จกิจกรรมแล้ว ก็ให้นักศึกษาทุกคนเขียนความรู้สึกหลังจากที่ได้ใช้เงินที่ว่านี้แล้ว ไม่ว่าจะเอาไปกินเที่ยวเล่น หรือว่าเอาไปช่วยผู้อื่น ก็พบว่านักศึกษากลุ่มที่สอง หรือกลุ่มหลังที่เอาเงินไปช่วยเหลือผู้คน มีความรู้สึกที่ดีกว่า มีความภาคภูมิใจอิ่มเอิบใจมากกว่า เป็นความรู้สึกที่อิ่มใจแล้วก็อยู่ได้นาน แต่ถ้าเอาไปใช้กินเที่ยวเล่นมันก็ให้ความสุขแต่ว่ามันประเดี๋ยวประด๋าว
อันนี้มันก็ชี้ให้เห็นว่า การช่วยเหลือผู้อื่น มันให้ความสุขบำรุงจิตใจเรามากกว่าการกินเที่ยวเล่น การช่วยเหลือผู้อื่นมันไปกระตุ้นเมตตากรุณาในใจเรา และเมตตากรุณานี้มันเป็นสิ่งที่มีอยู่ในใจของทุกคนอยู่แล้ว มันไม่ใช่จะต้องไปสร้าง มีแต่ว่าจะรักษาให้คงอยู่แล้วก็ส่งเสริมได้อย่างไร พูดอย่างนี้เพราะว่าเด็กทารกแรกเกิด เขาก็มีความเมตตากรุณา มีน้ำใจมาตั้งแต่แรกเกิดแล้วก็ว่าได้
อย่างเอาเด็กแรกเกิด มีอายุได้ไม่กี่วัน ไม่กี่อาทิตย์ เวลาเด็กได้ยินเสียงคนอื่นร้อง เด็กก็จะรู้สึกเป็นทุกข์ขึ้นมาเลย แล้วเขาจะร้องไห้ตาม เหมือนกับว่าเขาเป็นทุกข์ที่มีเพื่อนกำลังเดือดร้อน แต่ถ้าเป็นเสียงร้องของตัวเองจากการเปิดเทป เขาไม่ร้อง เขารู้จักแยกแยะได้ว่าเป็นเสียงร้องของใคร ถ้าเป็นเสียงร้องของคนอื่น เด็กด้วยกัน เขาจะเป็นทุกข์มาก แล้วเขาจะร้อง จนกว่าเด็กคนนั้นจะเงียบ เขาถึงจะหยุดร้อง
และถ้าเป็นเด็ก 14 เดือน เขาจะไม่ร้องแล้ว แต่ถ้าเขารู้ว่ามีใครเป็นทุกข์ กำลังเดือดร้อน เขาจะไปหา บางทีก็ไปกอด ไปจูบ ให้กำลังใจ ถ้าเด็กโตกว่านั้น คือ 18 เดือน จะไม่ทำแค่นั้นแล้ว จะหาทางช่วย เอาของเล่นที่ตัวเองชอบไปให้ ตัวเองชอบอะไรก็เอาของของนั้นไปให้ เพราะคิดว่า จะทำให้เด็กคนอื่นหายทุกข์หายร้องไห้ ถ้าโตขึ้นมาอีกหน่อย จะไม่ได้เอาของที่ตัวเองชอบไปให้ แต่จะเอาของที่เด็กคนนั้นชอบแหละไปให้
อย่างเช่น มีเด็กคนหนึ่งร้อง เด็กผู้หญิงอีกคนหนึ่งได้ยิน ทีแรก เธอก็เอาตุ๊กตาหมีที่เธอชอบไปให้ แต่เด็กคนนั้นก็ยังร้อง เธอก็เลยเข้าไปในห้องของเล่น ไปหาของเล่น แล้วก็ไปหยิบเอาตุ๊กตาหมีที่เด็กคนนั้นชอบไปให้ พอยื่นให้ เด็กคนนั้นก็เงียบเลย อันนี้ก็แสดงว่าเด็กเขามีน้ำใจ เป็นน้ำใจที่ไม่มีใครสอน มันเป็นความเมตตากรุณาที่มีอยู่ในใจของเขาตั้งแต่แรกเกิดก็ว่าได้
จะเรียกว่าเมตตากรุณาเป็นสัญชาตญาณก็ว่าได้ ถ้าคนเราทำตามสัญชาตญาณด้านดี ได้ทำก็มีความสุขเกิดความอิ่มเอิบใจ พอเกิดความสุขเกิดความอิ่มเอิบใจ ความเครียดก็เบาบางลง ความเจ็บปวดก็ทุเลาลง สุขภาพจิตสุขภาพกายก็ดีขึ้น
เพราะฉะนั้น การช่วยเหลือคนอื่น มันก็เป็นสิ่งคลายเครียด แล้วก็เป็นสิ่งบำรุงสุขภาพทั้งกายและใจดีเลยแล้วก็อาจจะช่วยบรรเทาโรคภัยไข้เจ็บได้ด้วย
- พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมก่อนฉันเช้าวันที่ 16 ตุลาคม 2564