แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านติชนัทฮันห์ พวกเราคงรู้จักกันดี เพราะว่าถ้าเป็นวิปัสสนาจารย์ที่มีชื่อเสียงมาก ท่านสอนธรรมะที่ลึกซึ้งด้วยวิธีการที่ร่วมสมัย รวมทั้งแนะนำการภาวนาที่เข้าได้กับคนในยุคนี้ นอกจากท่านเป็นวิปัสสนาจารย์แล้ว ท่านก็ยังเป็นกวีด้วย มีงานกวีนิพนธ์ที่ไพเราะลึกซึ้งมาก และท่านยังเป็นศิลปินด้วย ศิลปินในความหมายของผู้ที่ประดิษฐ์งานศิลปะ งานศิลปะได้แก่ ภาพวาดพู่กัน แต่ไม่ใช่ใช้พู่กันวาดเป็นภาพอย่างศิลปินทั่วไป ท่านใช้พู่กันเขียนตัวหนังสือ ตัวหนังสือที่ท่านวาด สวยงามแล้วก็มีความหมายที่ลึกซึ้ง
อย่างที่เคยนำมาพูดบ่อยๆเช่น คำหรือประโยคที่ว่า No mud, No Lotus ไม่มีโคลนตม ก็ไม่มีดอกบัว ท่านผลิตงานทำนองนี้ออกมาเยอะ ในแง่หนึ่งเพราะว่าเป็นวิธีการเจริญสติของท่านด้วย และขณะเดียวกันก็เป็นงานที่มีความหมายทางธรรม ที่ภูหลงยังมีงานชิ้นหนึ่งของท่าน งานที่ท่านมอบให้อาตมาเขียนว่า This moment is full of wonders. ความหมายคือช่วงเวลาขณะนี้เต็มไปด้วยสิ่งมหัศจรรย์ ท่านเขียนเยอะ ตอนหลังก็มีลูกศิษย์ท่านนำผลงานเหล่านี้ไปแสดงเป็นนิทรรศการที่หอศิลป์กรุงเทพฯเมื่อหลายปีก่อน
แล้วก็มีลูกศิษย์ของท่าน ซึ่งเป็นพระ และภิกษุณีด้วย มาสอนหรือสาธิตการวาดภาพด้วยพู่กัน ที่จริงไม่ใช่การวาดภาพ แต่เป็นการวาดตัวหนังสือมากกว่า เป็นภาษาอังกฤษ นักเขียนคนหนึ่งชื่อนิ้วกลม เป็นนักเขียนที่คนรุ่นใหม่รู้จักดี แกก็สนใจเรื่องของศิลปะ แล้วก็ไปชมนิทรรศการนี้แล้วก็อยากจะฝึกวาดภาพหรือว่าตัวอักษรด้วยพู่กันอย่างนั้นบ้าง ก็มีพระท่านสาธิตและสอน แนะนำวิธีการวาด
นิ้วกลมบอกว่าตอนที่ลงมือวาด ใจก็อยากจะวาดให้สวย พอตั้งใจวาดให้สวย ก็เกิดอาการเกร็ง มือที่จับพู่กัน มันก็ไม่ลื่นไหลเท่าไหร่ ภาพที่ออกมาก็เลยไม่ค่อยสวยเท่าไหร่ พยายามวาดกี่ครั้งๆ มันก็ยังไม่ดีดังใจ พระที่สอนแนะนำการวาดด้วยพู่กัน ก็เลยแนะนำ ท่านพูดได้ดีว่า อย่านึกถึงภาพสุดท้ายสิ สิ่งสำคัญของการวาดด้วยพู่กัน มันไม่ได้อยู่ที่ผลลัพธ์ แต่อยู่ที่กระบวนการ ให้โยมตั้งใจกำหนดอยู่ที่ปลายพู่กัน อยู่ที่เส้นกำลังวาด อยู่กับปัจจุบัน เป็นคำแนะนำที่ถูกใจนิ้วกลมมาก
แล้วเขาก็เห็นความผิดพลาด ก็คือว่า ตอนวาดไปนึกถึงผลลัพธ์สุดท้าย คืออยากให้มันสวย พอนึกให้ผลงานของตัวเองออกมาสวย ก็เลยเกร็ง แต่พอเอาใจมาอยู่กับปัจจุบันอย่างที่พระท่านแนะนำ อยู่กับปลายพู่กัน อยู่กับเส้นที่กำลังวาด อยู่กับปัจจุบัน ก็ปรากฏว่าผ่อนคลาย ภาพออกมาก็ดีขึ้น คำแนะนำของพระที่เป็นสมาชิกหมู่บ้านพลัมที่จริงมันไม่ใช่ใช้ได้กับการวาดภาพด้วยพู่กันเท่านั้น มันยังใช้ได้กับการทำงาน รวมทั้งกับการปฏิบัติธรรมด้วย หรือว่าใช้ได้กับการทำกิจกรรมหลายอย่าง
อย่างตัวอย่างที่เคยเล่า คนที่เป็นนักปีนเขาที่พิชิตยอดเขาเอเวอร์เรส เขาให้คำแนะนำในทำนองเดียวกันว่า ให้ลืมยอดเขาที่ต้องการไปให้ถึง แล้วก็ให้มาสนใจที่ผืนดินที่กำลังเหยียบ เดินไปทีละก้าวๆ หรืออีกตัวอย่างหนึ่ง นักไต่ลวดที่ขึงระหว่างตึกแฝดเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ กลางกรุงนิวยอร์ค เดินกลางอากาศบนลวด 45 นาทีโดยที่ไม่เกิดอันตรายอะไร เขาก็พูดถึงเคล็ดลับว่า ให้สนใจแต่ที่เท้า ให้เท้าซ้ายขยับไปอยู่หน้าเท้าขวา แล้วให้เท้าขวาขยับไปอยู่หน้าเท้าซ้าย แค่นั้นแหละไม่ได้สนใจจุดหมายหรืออยู่ที่ยอดตึกที่ต้องการไปให้ถึง
มันก็คือคำแนะนำอันเดียวกัน คือให้อยู่กับปัจจุบัน การอยู่กับปัจจุบันความหมายหนึ่งก็คือว่า ให้เราทำโดยอยู่กับสิ่งที่กำลังทำอยู่ข้างหน้า เอาใจมาจดจ่ออยู่กับสิ่งที่กำลังทำอยู่ข้างหน้า โดยวางผลลัพธ์ ความสำเร็จ หรือเป้าหมายลงไว้ก่อน เป้าหมายคืออะไร ความสำเร็จคืออะไร ผลลัพธ์คืออะไร หรือภาพสุดท้ายคืออะไร วางไว้ก่อน แล้วให้ใจมาอยู่กับปัจจุบัน อยู่กับสิ่งที่กำลังทำ เช่น อยู่กับเส้นที่กำลังวาด หรือว่าอยู่กับเท้าที่กำลังก้าวเดินแต่ละขณะๆ นั่นเป็นความหมายหนึ่งของการอยู่กับปัจจุบัน
แต่นอกจากการวางเป้าหมายหรือผลลัพธ์ที่ต้องการบรรลุแล้ว อยู่กับปัจจุบันอีกความหมายหนึ่งก็คือ การที่ไม่ไปพะวงถึงปัญหาที่มันอยู่ข้างหน้า หรือภารกิจที่มันรออยู่ข้างหน้าเรา อันนี้เป็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่ละเลย เพราะว่าเวลาทำอะไร ใจก็ไม่ค่อยอยู่กับปัจจุบัน ใจไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัว ถ้าไม่อยู่กับผลลัพธ์ที่ต้องการไปให้ถึง ก็ไปนึกถึงปัญหาที่คิดว่ามันรออยู่ข้างหน้า เช่นปัญหาเศรษฐกิจ หรือบางคนก็อาจจะนึกถึงงานกำลังรออยู่แม้ว่ากำลังจะเข้านอนแล้ว ก็ไปนึกถึงงานที่จะต้องไปนำเสนอพรุ่งนี้เช้า
หรือไปกังวลพะวงอยู่กับการที่จะต้องไปสอบในวันรุ่งขึ้น ซึ่งมันไม่ใช่โอกาส อันนี้ เรียกว่าไม่ได้อยู่กับปัจจุบัน ปัญหาที่รออยู่ข้างหน้าเหมือนกัน เช่น ลูกจะไปสอบไล่วันพรุ่งนี้ ก็ไปกังวลว่าเขาจะสอบได้หรือเปล่า หรือว่าเขาจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ไหม อันนี้เป็นปัญหาที่ยังไม่เกิดขึ้น แต่ก็ไปพะวงไปกังวลถึงมัน
คนจำนวนไม่น้อยเครียดกับการที่ปล่อยใจให้ไปอยู่กับอนาคต จนลืมที่จะอยู่กับปัจจุบัน หรือทำสิ่งที่อยู่ในปัจจุบัน ที่จริงปัญหาเหล่านี้หรือภารกิจที่รออยู่ข้างหน้า ในเมื่อมันยังไม่ถึงเวลา ก็ไม่ควรจะเอามาเป็นเรื่องกังวล พะวงหรือมาทำให้เกิดความเครียด สิ่งที่ควรทำคือ ผัดผ่อนมันไปก่อน แต่ก็แปลกสิ่งที่ควรผัดผ่อนแต่คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยผัดผ่อนเท่าไหร่ แต่สิ่งที่ไม่ควรผัดผ่อนก็กลับผัดผ่อน
ปัญหาหรือภารกิจที่รออยู่ข้างหน้า ก็ปล่อยให้มันมารบกวนจิตใจในวันนี้ในขณะนี้ ส่วนที่ควรทำในขณะนี้ในเวลานี้ก็กลับผัดผ่อน แทนที่จะทำเดี๋ยวนี้ก็กลับบอกว่าเดี๋ยวๆหรือเดี๋ยวก่อน อันนี้เป็นเรื่องที่แปลก สิ่งที่ไม่ควรผัดผ่อนก็กลับผัดผ่อน สิ่งที่ควรผัดผ่อนก็กลับไม่ผัดผ่อน สิ่งที่เราควรทำถ้าเราเข้าใจหรือเห็นความสำคัญของมัน เราจะไม่ผลัดไปวันพรุ่งนี้หรือผลัดไปด้วยประโยคที่ว่า เดี๋ยวๆหรือเดี๋ยวก่อน แต่เราจะทำเดี๋ยวนี้เลย
แต่เราจะพบว่า หลายคนเมื่อถึงเวลาที่จะต้องทำเดี๋ยวนี้เลย ก็กลับผัดผ่อนไปก่อนอย่างเช่น เด็กแทนที่จะเก็บที่นอนหรือทำความสะอาดบ้าน ก็กลับเอาเวลาไปดูไปเล่นโทรศัพท์มือถือ หรือว่าไปเล่นวิดีโอเกม แทนที่จะทำการบ้านเลย ก็กลับผลัดไปก่อน เดี๋ยวค่อยทำพรุ่งนี้เช้าก็ได้ แล้วเวลาที่มีอยู่เอาไปทำอะไร ก็ไปเล่น ไม่ใช่เด็กอย่างเดียว ผู้ใหญ่ก็เหมือนกัน ผู้ใหญ่มีงานที่ต้องทำ ควรจะทำเดี๋ยวนี้เลย แต่ว่าก็ผลัดไปก่อน เดี๋ยวก่อนๆ ยังไม่ทำตอนนี้ แล้วก็ไปเที่ยว ไปสุมหัวกับเพื่อน
มันมีหลายสิ่งหลายอย่างที่ถ้าเราตระหนักดีเราควรจะทำเดี๋ยวนี้เลย จะไม่ผัดผ่อนหรือว่าผลัดเอาไว้เป็นวันพรุ่งนี้ อะไรบ้างที่เราควรทำเดี๋ยวนี้ มันก็มีอยู่ 2 อย่างใหญ่ๆ คือสิ่งที่สำคัญและรีบด่วน เช่นอะไรบ้าง เช่น งาน เราต้องส่งพรุ่งนี้ มะรืนนี้ เราก็ต้องรีบแล้ว การบ้านเราต้องส่งพรุ่งนี้ เราก็ต้องรีบทำแล้ว อันนี้เรียกว่าสิ่งที่สำคัญและรีบด่วน
รวมถึงปัญหาด้วยนะ บ้านท่อน้ำแตกหรือว่าไฟฟ้าช็อต อันนี้เราก็ต้องรีบทำ เพราะมันเป็นเรื่องสำคัญ สมัยนี้ก็อาจจะรวมถึงคอมพิวเตอร์เสียด้วยเพราะว่าคอมพิวเตอร์นั้นก็เป็นอุปกรณ์ที่สำคัญที่ใช้ในการทำงานก็ต้องรีบไปซ่อมก่อน อย่างอื่นเอาไว้ก่อน เรื่องเล่นเรื่องเที่ยวเอาไว้ก่อน อันนี้เรียกว่าสิ่งสำคัญแล้วก็รีบด่วน
แต่ก็มีงานอีกอย่างหนึ่ง เป็นสิ่งที่สำคัญแต่ไม่รีบด่วน เช่นอะไรบ้าง การออกกำลังกาย การศึกษาหาความรู้ การเจริญสติการทำสมาธิภาวนา รวมทั้งการมีเวลาให้กับคนรัก มีเวลาให้กับพ่อแม่ มีเวลาให้กับคนในครอบครัว ที่ว่าไม่เร่งด่วนหรือว่าไม่รีบด่วนก็คือว่า ทำเมื่อไหร่ก็ได้ ออกกำลังกายนี่ทำเมื่อไหร่ก็ได้ หรือว่าการเจริญสติการทำสมาธิภาวนาทำเมื่อไหร่ก็ได้ หรือว่าการไปเยี่ยมพ่อแม่ ทำเมื่อไหร่ก็ได้
แต่ว่าถ้าคนเราผัดผ่อนไปเรื่อยๆก็เป็นอันว่าไม่ได้ทำเลย และมันก็เป็นสิ่งที่คนชอบผัดผ่อน แต่ทำไมเราควรจะต้องรีบทำเดี๋ยวนี้เลยนะ ก็เพราะว่าของบางอย่าง มันต้องใช้เวลาในการสะสม มันจะให้ผลทีละน้อยๆ กว่าจะเห็นผลชัดเจน ก็ใช้เวลา เหมือนกับการออกกำลังกาย ออกกำลังกายวันนี้มันยังไม่เห็นผลหรอก แต่เราควรทำบ่อยๆทำทุกวัน ทำเป็นเดือนเป็นปี มันถึงจะเห็นผล การทำสมาธิภาวนาก็เหมือนกัน ทำทุกวันๆมันยังไม่ก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงทางจิตใจ แต่ว่าพอทำบ่อยๆ ผลหรืออานิสงส์ของมันก็จะชัดเจน
ก็เหมือนกับการหยอดกระปุกออมสิน ใส่วันละบาท มันเล็กน้อยมาก แต่พอผ่านไป 1 ปี 2 ปี มีเงินเป็นพันเลย ยิ่งถ้าหลายวันๆละ 10 บาท ปีหนึ่งก็ 3-4 พันบาทแล้ว คือกว่ามันจะเห็นผลชัดเจน มันต้องใช้เวลา เพราะมันต้องใช้เวลา จึงควรจะรีบทำตั้งแต่เดี๋ยวนี้ แล้วก็ทำไปเรื่อยๆ นั่นคือเหตุผลประการหนึ่ง
เหตุผลอีกประการหนึ่งคือว่า ของบางอย่างมันคอยไม่ได้ เพราะอะไรๆก็อาจจะเกิดขึ้นได้เช่น พ่อแม่ของเรา หรือคนรักของเรา จะมีอันเป็นไปเมื่อไรก็ได้ เราไม่รู้ เพราะฉะนั้นถ้ามีโอกาสต้องรีบทำ จะผัดผ่อนไม่ได้เลย เพราะว่าผัดผ่อนเมื่อไหร่ อาจจะกลายเป็นว่าปล่อยให้โอกาสทองหลุดลอยไปเลยก็ได้ อันนี้คือสิ่งที่เราควรจะทำเสียแต่วันนี้ หรือทำเดี๋ยวนี้ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งสำคัญแล้วก็รีบด่วน รวมทั้งสิ่งสำคัญและไม่รีบด่วน
แต่ส่วนใหญ่ เรามักจะเอาเวลาที่มีอยู่ไปทำ ไม่ใช่ 2 สิ่งนี้หรอก แต่เป็นสิ่งที่ไม่สำคัญ และก็ไม่รีบด่วนด้วย เช่นอะไรบ้าง สิ่งที่ให้ความสนุกสนานเพลิดเพลินกับเรา ดูหนัง ไปเที่ยวห้าง หรือว่าไปช็อป หรือว่าเล่นเกม เล่นโทรศัพท์มือถือ เดี๋ยวนี้คนใช้เวลากับโทรศัพท์มือถือหรือโซเชียลมีเดียเยอะมาก แล้วก็สิ่งที่ควรทำก็ไม่ได้ทำ ผัดผ่อนไปก่อน ฉันขอเล่นโทรศัพท์ก่อน ฉันขอไปดูหนัง อันนี้เรียกว่าสิ่งที่ให้ความเพลิดเพลินให้ความสนุกแก่เรา ทั้งที่ไม่สำคัญเลยแล้วก็ไม่รีบด่วน
แต่ว่าผู้คนกลับทำสิ่งเหล่านี้ก่อน แล้วก็ทุ่มเทเวลาไปกับสิ่งเหล่านี้มาก จนกระทั่งไม่มีเวลาเหลือสำหรับการทำสิ่งสำคัญไม่ว่าด่วนหรือไม่ด่วน อย่างที่ยกตัวอย่างเมื่อสักครู่ อันนี้เป็นปัญหาของคนในทุกวันนี้มาก แล้วก็บอกว่าไม่มีเวลา ไม่มีเวลาพักผ่อน ไม่มีเวลาให้กับลูก ไม่มีเวลาสำหรับการออกกำลังกาย ไม่มีเวลาสำหรับการทำสมาธิ เพราะว่าสิ่งที่ควรผัดผ่อน ไม่ผัดผ่อน แต่ว่าทำเดี๋ยวนี้เลย
อีกสิ่งหนึ่งที่ควรจะผัดผ่อนแต่ไม่ผัดผ่อน ก็คือ ปัญหาหรือภารกิจที่มันยังไม่ถึงเวลา อย่างที่ยกตัวอย่างไปสักครู่ว่า จะนอนอยู่แล้วนะแต่ว่าก็ยังคิดถึงงานการที่จะต้องทำวันพรุ่งนี้ ทั้งๆที่คิดไปก็ไม่มีประโยชน์ เพราะว่ากำลังจะเข้านอนแล้ว ก็เอาแต่วิตกกังวลกับงานที่จะต้องไปทำวันพรุ่งนี้ กับการสอบ แทนที่จะเริ่มต้นวันพรุ่งนี้ หรือพระบางท่าน จะขึ้นเทศน์วันพรุ่งนี้ก็เอามาคิดแล้ว ทั้งๆที่มันไม่ใช่เวลา สิ่งที่ควรทำ เมื่อถึงพรุ่งนี้ค่อยว่ากัน
อันนี้คือสิ่งที่เกิดกับผู้คนจำนวนมาก เอาสิ่งที่มันควรจะเป็นเรื่องของวันพรุ่งนี้มาหมกมุ่นครุ่นคิดเสียแต่วันนี้ ที่จริงเวลา ใจมันเผลอไปคิดถึงเรื่องที่เป็นปัญหาก็ดีหรือภารกิจในวันพรุ่งนี้หรืออนาคตก็ตาม สิ่งที่จะเตือนใจเราได้ก็คือ เตือนใจเราว่ามันยังไม่ถึงเวลา อย่าเพิ่งเอามาคิด เวลานี้คือเวลานอน หรือว่าตอนนี้คือเวลาที่กำลังอยู่กับคนในบ้าน อยู่กับลูก หรือว่าตอนนี้คือเวลาสวดมนต์ ใจควรอยู่กับปัจจุบันอยู่กับสิ่งที่กำลังทำ อันนี้ต่างหากคือสิ่งที่ควรผัดผ่อน พอมันเข้ามารบกวนจิตใจก็ผลัดมันไปก่อน เอาไว้พรุ่งนี้ค่อยคิด
แต่สิ่งที่ควรผัดผ่อน กลับไม่ผัดผ่อน แต่สิ่งที่ไม่ควรผัดผ่อนแต่ก็ผัดผ่อนไป เดี๋ยวนี้เป็นอย่างนี้มันสลับกัน ถ้าเราเตือนใจว่ายังไม่ถึงเวลา เรื่องของพรุ่งนี้ก็ให้ถึงพรุ่งนี้ก่อนค่อยว่ากัน หรือมิเช่นนั้นก็เตือนใจเราว่ามันอาจจะไม่แย่อย่างที่เราคิดก็ได้ หรือสิ่งที่เราห่วง ปัญหาที่เรากังวล อาจจะไม่เกิดขึ้นก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาเศรษฐกิจของประเทศ หรือว่าปัญหาที่เกี่ยวกับลูกเกี่ยวกับหลานที่เราวิตกว่าจะเกิดขึ้นในวันข้างหน้า
ถึงเวลาจริงๆมันอาจจะไม่เกิดขึ้นก็ได้ มันไม่แย่อย่างที่เราคิด ถ้าเรานึกแบบนี้ มันก็ช่วยทำให้สามารถจะผลัดมันออกไป ไม่เอามาเป็นเครื่องรบกวนจิตใจในปัจจุบันก็ได้
ที่จริงมันมีอีกสิ่งหนึ่ง ที่เราไม่ควรผัดผ่อน เมื่อสักครู่ที่พูดมันเหมือนเรื่องอนาคต เราไม่ควรเอามาใส่ใจกับปัจจุบัน ที่จริงก็ไม่ถูก ของบางอย่างแม้จะเป็นเรื่องอนาคต แต่ถ้าเราตระเตรียมไว้ก่อนก็ดี การตระเตรียมเพื่อรับมือกับปัญหาที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เป็นสิ่งที่ควรทำเสียแต่เดี๋ยวนี้หรือว่าควรทำเมื่อมีเวลา ไม่ใช่พอเป็นเรื่องของอนาคตแล้วเราจะตระเตรียมไม่ได้
สิ่งที่พูดเมื่อสักครู่หมายถึงว่าไม่เอาปัญหาในอนาคตมันมารบกวนจิตใจ แต่ถ้าเป็นการตระเตรียมเพื่อรับมือ อันนี้ก็เป็นเรื่องหนึ่งเช่นการตระเตรียมรับมือความทุกข์ที่อาจจะเกิดขึ้น ตระเตรียมรับมือกับความเจ็บความป่วยที่อาจจะเกิดขึ้นหรือที่จะต้องเกิดขึ้นแน่นอนคือความตาย อันนี้มันเกิดขึ้นแน่นอน การตระเตรียมเป็นสิ่งสำคัญ
โดยการเตรียมใจ ในเมื่อเรารู้ว่าสักวันหนึ่งเราต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องป่วย และในที่สุดก็ต้องตาย ฉะนั้นเราต้องฝึก เตรียมจิตเตรียมใจเอาไว้ ด้วยการเจริญมรณสติหรือว่าด้วยการฝึกสติ เพื่อที่จะสามารถรับมือกับความเจ็บความป่วยได้ ป่วยกายแต่ใจไม่ป่วย หรือว่าเมื่อถึงเวลาที่จะต้องตาย เราก็สามารถที่จะรับมือกับความตายได้ด้วยใจที่สงบ
หรือก่อนที่จะถึงตอนนั้นก็ต้องเตรียมรับมือกับความเป็นไปของคนที่เรารัก เช่น พ่อแม่ ท่านก็อายุมากแล้ว สักวันหนึ่งท่านก็ต้องจากเราไป เพราะฉะนั้นเราก็ต้องเตรียมพร้อมรับมือกับการจากไปของท่านเสียแต่วันนี้ อาจจะเริ่มตั้งแต่การมีเวลาให้กับท่าน มีเวลาดูแลเอาใจใส่ท่าน มีเวลาชักชวนท่านให้เข้าหาธรรมะ ถ้าหากว่าเป็นสิ่งที่เหมาะสมไม่ใช่การยัดเยียด
หรือการตระเตรียมเรื่องงานเรื่องการ ในเมื่อเรารู้ว่ามันมีงานที่จะต้องทำเป็นงานชิ้นใหญ่ เราก็ค่อยๆทำทีละนิดทีละหน่อย ค่อยๆสะสมไปเรื่อยๆ อันนี้คือสิ่งที่ควรทำในปัจจุบัน ไม่ใช่ว่าอะไรก็ตามที่คิดเรื่องอนาคตนี่ ก็ปล่อยให้เป็นเรื่องของอนาคต หลายอย่างมันเป็นเรื่องที่ต้องขวนขวาย ซึ่งการขวนขวายในสิ่งเหล่านี้เราเรียกว่าความไม่ประมาท
พอไม่ประมาทมันก็กระตุ้นเตือนให้เราเกิดความกระตือรือร้น ไม่ผัดผ่อน ไม่ประมาทต่อความตายก็ทำให้เราเตรียมตัวเตรียมใจเสียแต่เดี๋ยวนี้ หมั่นทำดีสร้างบุญสร้างกุศล มันฝึกจิตฝึกใจไว้ เมื่อถึงเวลาเจ็บป่วยก็ไม่ได้ทุกข์ทรมาน เมื่อถึงเวลาตายก็พร้อม อันนี้รวมถึงการตระเตรียมทรัพย์สมบัติให้ลูกให้หลานหรือว่ามรดกด้วย ซึ่งถ้าไม่ตระเตรียม พอจะตายมันก็เกิดความวิตกกังวล รู้สึกเสียดายว่าปล่อยเวลาผ่านเลยไป ตอนนี้ทำอะไรไม่ได้แล้ว
การที่เราจะรู้จักแยกแยะว่า อะไรควรทำเสียแต่เดี๋ยวนี้ อะไรควรผัดผ่อนไปก่อน อันนี้เป็นศิลปะของการดำเนินชีวิตเลย ถ้าคนเราแยกแยะไม่ออกว่า อะไรควรทำเดี๋ยวนี้ ไม่ใช่เดี๋ยวก่อน อะไรควรจะผัดผ่อนไปก่อน ไม่เอามาเป็นเรื่องวิตกกังวลในเวลานี้ ถ้าเราแยกแยะไม่เป็น ชีวิตก็จะวุ่นวาย แล้วก็อาจจะลงเอยด้วยความทุกข์มาก แต่ถ้าเรารู้จักแยกแยะได้ว่าอะไรที่ควรทำเดี๋ยวนี้เลย ไม่ควรผัดผ่อน ไม่ควรอ้างว่าเดี๋ยวๆๆก่อน อะไรที่ควรจะผัดผ่อน ไม่ควรจะเอามารบกวนจิตใจในเวลานี้ ถ้าเราแยกแยะได้ ชีวิตจะมีความสุขมาก แล้วเราก็จะสามารถทำสิ่งที่มีคุณค่าด้วยเวลาที่จำกัดได้
เพราะคนเราก็มีเวลาที่จำกัด ถ้าเรามัวแต่ไปทำสิ่งที่ไม่สำคัญแล้วไม่รีบด่วน สุดท้ายแล้วเราไม่มีเวลาเหลือเลยสำหรับสิ่งที่สำคัญและรีบด่วน และก็สิ่งสำคัญแล้วก็ไม่รีบด่วน ทั้งหมดนี้มันต้องอาศัยสติ เพราะถ้าไม่มีสติ มันก็ง่ายที่จะหลงเพลินหรือไหลไปตามสิ่งที่ล่อเร้าเย้ายวน ทั้งที่มันยังไม่ควรจะทำในเวลานี้ ก็หมกมุ่นกับมัน จนไม่มีเวลาเหลือทำสิ่งอื่น
สติก็ช่วยทำให้เราไม่เอาเรื่องที่เป็นปัญหาในอนาคต ซึ่งไม่รู้จะเกิดขึ้นจริงหรือเปล่า เอามาสร้างความกังวลให้กับจิตใจจนเครียดจนนอนไม่หลับ สติช่วยทำให้เราปล่อยวางในสิ่งเหล่านี้ได้ ไม่ว่ามันจะเป็นภารกิจที่รออยู่ข้างหน้า หรือปัญหาที่ไม่รู้จะเกิดขึ้นหรือเปล่า ก็ให้เป็นเรื่องของวันพรุ่งนี้เป็นเรื่องของอนาคตไป วันนี้ฉันจะทำสิ่งที่ควรทำ
และในขณะเดียวกัน สติก็ทำให้เราตระหนักว่าอะไรคือสิ่งที่เราควรเดี๋ยวนี้ อย่าผัดผ่อน เพราะว่าสติกับความไม่ประมาทคืออันเดียวกัน พอมีสติมันก็ตระหนักว่ามีอะไรบ้างที่เราควรทำเสียแต่เดี๋ยวนี้ อย่าปล่อยให้มันเนิ่นนานล่าช้าออกไป และเมื่อถึงเวลาที่จะทำสิ่งเหล่านั้นก็ทำได้ด้วยใจที่ไม่วอกแวก
เพราะว่ามีสติเป็นตัวกำกับให้อยู่กับปัจจุบันโดยที่ไม่ไปพะวงถึงเป้าหมายหรือผลลัพธ์อย่างที่พูดไว้ในตอนต้น
- พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมเย็นวันที่ 14 ตุลาคม 2564