แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
เวลาเราเดินขึ้นที่สูง โดยเฉพาะถ้าที่ที่สูงนั้นเป็นภูเขา ถ้าจะเดินไต่เขาให้ถึงจุดหมาย เราก็ต้องขึ้นเขาด้วยน้ำหนักที่น้อยที่สุด ถ้าแบกของเยอะแบกสัมภาระมากมัน มันก็ขึ้นเขาถึงจุดหมายได้ลำบาก ระหว่างทางก็ต้องสลัดทิ้งของสัมภาระลงไปทีละชิ้นสองชิ้นเพื่อให้ตัวเบา จะได้ขึ้นไปถึงจุดหมายคือยอดเขาได้ในที่สุด
ไม่เช่นนั้น มันก็จะลำบากมาก น้ำหนักมาก มันกลายเป็นตัวถ่วง ขึ้นที่สูงต้องอาศัยตัวที่เบา น้ำหนักน้อยฉันใด ในการปฏิบัติเพื่อให้ถึงจุดหมายสูงสุดของพระพุทธศาสนา เราก็ต้องทำให้ตัวของเรา หรือตัวตนของเรา มันเบาบางที่สุด จุดมุ่งหมายของการปฏิบัติในพระพุทธศาสนา เราก็ทราบดีอยู่แล้วคือ ความพ้นทุกข์ คือนิพพาน คือภาวะที่เป็นโลกุตระ
โลกุตระคืออยู่เหนือโลก การที่จะเข้าถึงภาวะนั้นได้ก็ต้องเข้าถึงความจริงที่มันเป็นปรมัตถ์ ปรมัตถ์ก็คือความจริงสูงสุด เปรียบไปก็ไม่ต่างจากการปีนเขา ถ้าเราปีนเขาด้วยน้ำหนักที่มาก มันก็ไปไม่ถึงยอด ในการปฏิบัติธรรมได้ถึงจุดหมายสูงสุดในทางพระพุทธศาสนา ก็ต้องไปด้วยตัวที่เบาหรือว่าอัตตาที่เบาบางตัวตนที่เล็กลงไปเรื่อยๆจนกระทั่งไม่เหลือเลย จึงจะเรียกว่าเบาอย่างถึงที่สุด และเข้าถึงจุดหมายได้
ในระหว่างทาง สิ่งหนึ่งที่จะช่วยให้เราก้าวหน้าในการปฏิบัติได้มากขึ้นเรื่อยๆคือ การทำตัวตนให้เบาบางลงไปเรื่อยๆ จะว่าไปแล้ว ตัวตนที่เบาบางหรือตัวที่เล็กลง มันเป็นเครื่องชี้วัดถึงความก้าวหน้าของการปฏิบัติ ไม่ว่าจะมีความรู้มากเพียงใด อันนั้นมันก็ไม่ได้เป็นเครื่องหมายถึงความก้าวหน้าของการปฏิบัติจนกว่าจะประจักษ์แจ้งแก่ใจว่าตัวตนมันเบาบางลงไปเรื่อยๆ
การที่ตัวตนเบาบาง มันก็ปรากฏออกมาได้หลายอย่าง เช่น การไม่ถือตัว ไม่มีอาการยกตนข่มท่าน ในทางพระพุทธศาสนาก็มีคำหนึ่งของความถ่อมตัว เวลาเราสวดสาธยายในมงคลสูตร 38 ประการมีข้อหนึ่งที่ท่านว่าเป็นมงคลอันสูงสุด ก็คือ นิวาโต จะ ความถ่อมตัวซึ่งเดี๋ยวนี้เราเข้าใจกันไปต่างๆนานา
แต่ความถ่อมตัวที่แท้มันเกิดขึ้นจากการที่อัตตาตัวตนที่เบาบาง มันก็เลยเกิดอาการเรียกว่าถ่อมตัวเองเป็นไปตามอัตโนมัติหรือเป็นธรรมชาติ ซึ่งแสดงออกโดยการเช่น ไม่ยกตนข่มท่าน ไม่ถือว่าฉันเก่ง ฉันฉลาด ฉันดีกว่า ซึ่งที่จริงมันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายนัก เพราะว่าพอเราปฏิบัติธรรมไปเรื่อยๆ ยิ่งเรามีความเพียรมากหรือว่าได้ผลของการปฏิบัติ ไม่ว่าจะเป็นการมีสติรู้ตัว การมีสมาธิ การมีปัญญา
บางทีมันก็อดเผลอไม่ได้ที่จะเกิดความสำคัญตนว่า ฉันแน่ ยิ่งทำดีมากเท่าไหร่ บางทีตัวตน มันกลับเพิ่มพูนมากขึ้น ไม่ใช่ลดลงเพราะว่าตัวกิเลสมันก็พร้อมที่จะฉกฉวยทุกโอกาสแม้กระทั่งในเวลาที่เราทำความดี เราเสียสละ ทำด้วยความเอื้อเกื้อกูลผู้อื่น ไม่ได้ทำด้วยความเห็นแก่ตัว แต่เผลอเมื่อไหร่ กิเลสก็เข้ามา อัตตาตัวตนก็เข้ามาแทรก เกิดความสำคัญว่าฉันเก่ง ฉันดี
นักปฏิบัติ ตัวตนมันไม่ได้เล็กลงแต่มันเพิ่มมากขึ้น เกิดความสำคัญว่าฉันเป็นนักปฏิบัตินะ ฉันปฏิบัติได้ได้มากกว่าเธอนะ ฉันมีศีลมากกว่าเธอนะ ฉันขยันมากกว่าเธอนะ อันนี้มันก็เปิดช่องให้ตัวตนมันพอกพูนใหญ่ขึ้น มันไม่ได้เล็กลง การปฏิบัติธรรมหรือการทำความดีบางทีมันกลับทำให้ตัวตนหนาขึ้นใหญ่ขึ้นโดยไม่รู้ตัว มันกลายเป็นสวนทางกัน ก็กลายเป็นว่า ยิ่งขึ้นเขาลำบากเพราะว่าสัมภาระมันเยอะ ตัวตนมันหนัก น้ำหนักมันเพิ่มมากขึ้น
อันนี้เป็นเรื่องที่ต้องระวัง เราจะดูว่าเรามีความปฏิบัติก้าวหน้าหรือไม่ ก็ดูที่ว่าตัวเราเล็กลงไหม เรามีความอ่อนน้อมถ่อมตัวมากขึ้นหรือเปล่า เราไม่มีอาการยกตนข่มท่าน หรือว่าไปดูถูกไปดูแคลนคนอื่น แม้ว่าเขาจะรู้น้อยกว่า หรือแม้เขาจะปฏิบัติน้อยกว่า หรือแม้ว่าเขาจะมีความเพียรน้อยกว่า หรือเขาจะถือศีลน้อยกว่า ก็ไม่มีอาการที่ดูถูกดูแคลน อาจจะมีก็แต่เมตตากรุณาความปรารถนาดี
และเมื่อเห็นคนที่เขาปฏิบัติได้ก้าวหน้ากว่า ก็มีความอิจฉา กลับเกิดอาการที่เรียกว่า มุทิตาจิต ยินดีที่เขาปฏิบัติได้ก้าวหน้ากว่าเรา หรือว่าปฏิบัติได้ขยันหมั่นเพียรยิ่งกว่าเรา หรือบางทีมันไม่มีการเปรียบเทียบเลยก็ได้ เพราะเห็นว่าเขาทำความเพียรก็เป็นเรื่องที่น่าอนุโมทนาแล้ว ไม่มีการมาวัดว่ามากกว่าเรา เท่ากับเรา หรือว่าต่ำกว่าเรา มันไปพ้นจากภาวะการเปรียบเทียบ
การที่มีตัวตนน้อย มันก็แสดงออกหลายอย่าง นอกจากความถ่อมตัวจะแสดงออกที่ไม่ว่าจะเป็นดูถูกดูแคลนคนอื่น ไม่ว่าเขาจะรู้น้อยกว่า ปฏิบัติน้อยกว่า มีศีลน้อยกว่า แต่ยังรวมถึงว่า มีความพร้อมจะเปิดใจรับฟัง เคารพ อย่าว่าแต่กับคนเลย แม้กระทั่งสัตว์เดรัจฉานก็ไม่ได้ไม่มีอาการรังเกียจ เพราะว่าถ้าเห็น จะเรียกว่าถ้าเป็นแบบเซนก็คือเห็นพุทธะในสัตว์เหล่านั้น
หลวงพ่อโต มีคราวหนึ่ง ท่านจะเดินข้ามสะพาน ปรากฏว่ามีหมาตัวหนึ่งนอนขวางสะพานอยู่ ท่านไม่เดินข้ามหรือไม่ไล่หมาตัวนั้น ท่านก็เดินอ้อม ก็มีคนถามท่านว่าทำไมทำอย่างนั้น ท่านก็บอกว่าหมาตัวนั้นอาจจะเป็นพระโพธิสัตว์ก็ได้ นี่ขนาดว่าท่านเป็นพระชั้นผู้ใหญ่แต่ว่าท่านไม่มีความถือตัวตนว่าฉันเป็นคน ฉันเป็นพระสงฆ์ ฉันเป็นพระสงฆ์สมณศักดิ์ หมาพวกนี้ต้องหลีกทางให้ฉัน ท่านไม่มี อันนี้เป็นความถ่อมตัว แต่เป็นไปอย่างธรรมชาติ เพราะว่าตัวตนของท่านเบาบาง
เมื่อตัวตนเบาบาง ในการที่จะเรียกร้องจากคนอื่นมันก็มีแต่จะน้อยลง มีแต่จะให้ มีแต่จะเอื้อเฟื้อ ความคิดจะเอาแต่ได้ มันก็จะน้อยลงไปเรื่อยๆ อันนี้เพราะความโลภมันน้อยลง และเช่นกัน เมื่อมีอะไรมากระทบ ถ้าตัวตนน้อย ก็จะมีความโกรธ มีความขุ่นมัวน้อย ในทางตรงข้าม ถ้าตัวตนมาก มีอะไรมากระทบ แม้เพียงเล็กน้อยก็เกิดความโกรธ พอโกรธแล้วก็อาจจะมีการตอบโต้กลับไป
สิ่งที่จะวัดว่า การมีตัวตนของเรา มันน้อยลงหรือมากขึ้น ก็ดูได้จากการที่เรามีปฏิกิริยาต่ออนิฏฐารมณ์โดยเฉพาะคำติฉินนินทา คำต่อว่า ถ้าเกิดว่ามีคำต่อว่ามากระทบ เกิดความโกรธขึ้นมาหรือว่าโกรธมากกว่าเดิมก็แสดงว่า ตัวตนเราใหญ่ขึ้น อาจจะเป็นเพราะว่ามีสถานะสูงขึ้น หรือว่ามีความสำคัญตนว่าเราเป็นผู้ที่ควรแก่การเคารพ หรือเพราะว่าเราเป็นนักปฏิบัติ จะมาทำอย่างนี้กับเราได้อย่างไร
หรือแม้กระทั่งไปสำคัญตนว่าเราเป็นพระ สภาวะแบบนี้หรือว่าสถานะแบบนี้ มันก็สามารถเสริมตัวตนให้ใหญ่ขึ้นให้หนาขึ้นได้ และการที่เราจะดูว่ามีตัวตนเราเล็กลงหรือไม่ มันก็ดูได้จากปฏิกิริยาของเรา เวลาเจอสิ่งที่มากระทบ เจอคำติฉินนินทา คำต่อว่าด่าทอ ไม่ว่าจะปฏิบัติดีแค่ไหน รู้แค่ไหน ถ้าเกิดว่าเจอคำติฉินนินทา คำต่อว่าด่าทอ แล้วโกรธ แสดงว่ายังมีตัวตนที่หนาอยู่ มีอัตตาที่ใหญ่อยู่ มันก็เป็นสิ่งที่ชี้ว่าต้องไปฝึกให้มากขึ้น
ในทางตรงข้าม แม้ถูกต่อว่าด่าทอแล้วไม่มีความโกรธเลย อันนี้ก็แสดงว่าตัวตนเล็กลง คนที่ไม่มีตัวตนหรือว่าถูกต่อว่าด่าทอยังไงก็ไม่โกรธ มันก็เป็นเครื่องชี้วัดถึงความก้าวหน้าการปฏิบัติได้
มีเรื่องเล่า หลวงพ่อประสิทธิ์ ถาวโร ในสมัยที่ท่านเป็นเจ้าอาวาสวัดถ้ำยายปริกที่เกาะสีชัง ท่านก็เจอกับอะไรต่ออะไรมากมายเพราะว่านักเลงท้องถิ่นตั้งใจจะมาฮุบที่ดินของวัด แต่ท่านก็ไม่ยอมแพ้เพราะเห็นว่าการที่มีวัดอยู่ มันเป็นประโยชน์ต่อพระต่อแม่ชีต่อญาติโยม แล้วท่านก็เจอแรงกระทบมากมาย บางคราวท่านเดินบิณฑบาต นักเลงไปว่าจ้างให้คนให้คนมาชนท่านตกถนนเลยก็มี จนบาตรหลุดมือเลยก็มี
มีคราวหนึ่ง ท่านเดินเข้าไปในเมืองก็เดินผ่านหน้าบ้านของนักเลงคนหนึ่ง เขาเห็นเป็นโอกาสดีก็เลยยืนตะโกนด่าท่านด้วยถ้อยคำที่หยาบคาย หลวงพ่อท่านได้ยิน แทนที่ท่านจะโกรธและด่ากลับไป หรือแทนที่ท่านจะเอาหูทวนลม ท่านกลับเดินตรงมาหาชายคนนั้น พอมาถึงก็จับแขนเขย่าถามว่า มึงด่าใครๆ ชายคนนั้นก็ตอบว่า ก็ด่ามึงน่ะสิ ท่านยิ้มเลย อ๋อ ที่แท้ก็ด่ามึง ดีแล้วอย่าด่ากูก็แล้วกัน แล้วท่านก็เดินจากไปเลย ชายคนนั้นงงเลย ตกลงกูด่าใครกันแน่วะ
ท่านก็ไม่ได้โกรธเลย แต่ว่าท่านตั้งใจจะไปหยอกล้อ ยียวนกลับนักเลงคนนั้น เพื่อให้รู้ว่าที่ด่าไปนั้น ไม่มีประโยชน์หรอก ที่แท้ก็ด่ามึง ดีแล้วอย่าด่ากู คือท่านไม่เอาตัวกูไปรับคำด่า เป็นเพราะว่าตัวกูของท่านเล็กน้อยหรือว่าไม่มีเลยก็ว่าได้ เพราะฉะนั้นจะด่าก็ด่าไป ท่านถือว่าด่ามึง ไม่ได้ด่ากู
คนที่ทำอย่างนั้นได้ ก็ต้องมีตัวตนที่เล็กหรือเบาบาง หรือว่าไม่มีตัวตนเลย อันนี้ก็เป็นเครื่องที่วัดอย่างหนึ่งว่า ตัวตนของเราจะเบาบางหรือไม่ ก็จากปฏิกิริยาที่เรามีเมื่อเวลาถูกต่อว่าด่าทอ ไม่ว่าจะถูกต้องหรือไม่ถูกต้องก็ตาม อย่างไรก็ตามในขณะที่ตัวตนของเรายังมีเยอะ
มันก็ฝึกได้ ฝึกได้จากการที่เวลาเจอคำต่อว่าด่าทอแล้วเราสามารถคุมอารมณ์ หรือว่าสามารถที่จะคุมอากัปกิริยา หรือแม้กระทั่งคุมความรู้สึกนึกคิดของเราเพื่อไม่ให้โกรธ เพื่อไม่ให้ต่อว่าด่าทอออกไป การทำอย่างนั้นก็เป็นการฝึกให้ตัวตนเบาบางได้เหมือนกัน เมื่อตัวตนเบาบาง ถูกด่าก็ไม่โกรธ ขณะเดียวกัน เมื่อถูกด่าแล้ว ฝึกใจให้สงบเย็น มันก็กลับมาช่วยขัดเกลาตัวตนให้เบาบางลงได้
โจน จันได เขาเป็นคนหนึ่งที่เป็นไอดอลของคนรุ่นใหม่จำนวนมาก เพราะว่าเป็นผู้บุกเบิกการมาใช้ชีวิตแบบเรียบง่าย อยู่กับธรรมชาติ ทำนาปลูกผักเพื่อพึ่งตัวเอง แต่ว่าตอนที่โจนเขายังเป็นหนุ่ม เขาก็ไม่ได้เป็นอย่างนั้น เขาก็ยังอยากจะร่ำรวยเหมือนคนอื่น แต่ก็ไม่ค่อยมีโอกาสเท่าไหร่เพราะเรียนน้อย ก็เข้าเมืองไปรับจ้าง
คราวหนึ่ง เขาไปเป็นพนักงานรับจ้างทำความสะอาดโรงแรม เจ้านายของเขาเป็นแม่บ้าน โจนบอกว่าเขาไม่เคยเจอคนแบบนี้มาก่อนเลย เจอหน้าทีไรก็ด่า ด่าเสร็จแล้วก็ไป เขาก็ต้องยอมทน
มีคราวหนึ่งแม่บ้านให้ไปขัดลูกบิดประตูของห้องพัก ให้น้ำยาบรัสโซไปขัด แม่บ้านก็ยืนคุมอยู่ โจนก็ขัดด้วยความตั้งใจ พอใกล้จะเสร็จแล้ว จู่ๆผู้จัดการโรงแรมก็มา พอเห็นโจนขัดลูกบิดด้วยบรัสโซก็ตกใจ แล้วก็ไม่พอใจ พูดเสียงดังว่าขัดได้ยังไง ใช้บรัสโซขัดไม่ได้ แม่บ้านซึ่งยืนอยู่ตรงนั้น เป็นคนสั่งโจนแท้ๆ ก็ผสมโรงทันทีเลยว่าโจนนี่โง่ ทำอย่างนี้ได้อย่างไร โจนไม่คิดเลยว่าแม่บ้านจะด่าตัวเอง แต่แทนที่จะโกรธ แกก็ได้สติ แกก็ยิ้ม พนมมือไหว้แม่บ้าน แล้วก็บอกว่าขอโทษครับ ขอบคุณครับ
โจนบอกว่ามันเป็นเหตุการณ์ที่เปลี่ยนแปลงตัวเขาเลยนะ เพราะว่านับตั้งแต่นั้นมา เวลาแม่บ้านด่าเขา เขาก็จะฝึกตนที่จะยิ้ม ยิ้มรับคำด่า แล้วก็พนมมือ แล้วก็ขอบคุณ ทีแรกเขาก็ฝืนทำ แต่เขาถือว่าเป็นการฝึกฝนใหม่ๆนี้เขาก็รู้สึกละอายใจที่ทำอย่างนั้น เพราะรู้สึกเหมือนกับเสแสร้ง แต่ตอนหลังเขาทำด้วยความรู้สึกสบายใจ เพราะเขารู้สึกอย่างนั้นจริงๆ
คือรู้สึกขอบคุณแม่บ้านที่มาเตือนเขาที่ทำให้เขาจะมาจัดการกับความโกรธ เขาทำอย่างนั้นจริงๆเป็นอาจิณ จนกระทั่งพนักงานในโรงแรมด้วยการ บางคนหาว่าเขาโง่ บางคนก็หาว่าเขาฟั่นเฟือน แต่ว่าเขาไม่รู้สึกอะไรเลย เพราะเขารู้สึกสบายใจจริงๆ ที่ได้ทำอย่างนั้น มันเป็นความจริงใจของเขา เขาทำอย่างนี้เป็นเดือน
จนแม่บ้านอดรนทนไม่ไหวว่าทำไมโจนยิ้มให้แม่บ้าน แล้วก็ขอบคุณเขาขอบคุณเธอทุกครั้งที่เธอด่า ก็เลยมาถามโจน ว่าถามจริงๆเถิด เธอทำอย่างนั้นทำไม โจนอธิบายให้ฟังว่า ผมรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ เวลาแม่บ้านด่า ผมก็ขอบคุณ เพราะแม่บ้านเตือนให้ผมกลับมาดูตัวเอง แล้วทำให้ผมกลับมาใคร่ครวญว่าผมทำอะไรผิดไหม หากผมไม่ได้ทำอะไรผิดก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องโกรธ ส่วนแม่บ้านจะว่าอย่างไร ก็เป็นเรื่องของแม่บ้าน แปลว่าผมต้องขอบคุณจริงๆ ที่มาเตือนผมให้ผมมาใคร่ครวญตัวเอง ปรากฏว่าตั้งแต่นั้นมา แม่บ้านก็เลิกด่าโจนเลย เรียกว่าแพ้ใจ
ส่วนโจนก็บอกว่าเขาได้นิสัยใหม่ นิสัยใหม่คือ เวลาใครด่า ก็ไม่โกรธแล้ว แต่ก่อนที่ใครมาด่า โอ๊ยหน้าแดงเลยนะ แต่ตอนหลังถ้ามีใครด่าก็ยิ้ม อันนี้แปลว่าอะไร แปลว่า การที่เขาพยายามฝึกฝนที่จะยิ้มนี้ก็มีส่วนในการทำให้อัตตาตัวตนเขาเบาบางลง ทีแรกก็อาจจะมีความรู้สึกโกรธ แต่ว่าก็กลับมามองว่าคำด่าจากแม่บ้านมันมีประโยชน์ยังไงบ้าง พอคิดอย่างนั้นบ่อยๆ ใจมันยอมรับได้ อัตตาตัวตนมันก็เบาบางลง
ใครมาด่าว่าเขา เขาก็เฉย ไม่จำเป็นที่จะต้องไปตอบโต้ เมื่อเร็วๆนี้เขาไปเยี่ยมลูกชายที่อเมริกา เขามีแฟนเป็นฝรั่ง เขาไปถึง 5 เดือน ก็มีคนเขียนใน Facebook หาว่าเขาหนีประเทศไทยไปแล้ว ไปเป็น American citizen คนที่รู้จักก็โกรธ โมโห มีคนหนึ่งก็บอกว่าจะชี้แจงว่าโจนไม่ได้นี้ไปเสพสุขที่อเมริกา โจนก็กลับเบรค บอกว่าอย่าไปเสียเวลาเลยกับเรื่องพวกนี้ ผมไม่ใช่คนสำคัญอะไร เอาเวลาคุณไปทำเรื่องที่สำคัญดีกว่า ตอนนี้ covid นี้มันกำลังระบาด เรื่องชีวิตของคนเป็นเรื่องสำคัญ
ถึงแม้คนจะมาด่า หรือปล่อยข่าวลือ เขาก็เฉย โดยเฉพาะเขาบอกว่าผมไม่ใช่เป็นคนสำคัญอะไร อันนี้มันสะท้อนเห็นตรวจตัวตนที่เล็กลงของเขา จากการที่ได้ฝึกฝน อันนี้เป็นแบบอย่าง พวกเราสามารถนำมาเป็นข้อเตือนใจได้ โดยเฉพาะในยุคนี้เวลามีใครมาวิจารณ์ใครมาต่อว่าด่าทอ ผู้คนก็จะตอบโต้ เดี๋ยวนี้เราเห็นเป็นปกติไปอย่างที่เห็นใน Facebook การโต้กันไปโต้กันมา กลายเป็นแบบแผนปกติไปแล้ว จนกระทั่งคนเห็นว่ามันเรื่องธรรมดาหรือเป็นเรื่องที่ควรทำด้วยซ้ำ
แต่ลืมไปว่าการทำอย่างนั้น มันไม่เป็นผลดีอะไรเลย แล้วก็มันก็ไม่ใช่วิสัยของชาวพุทธด้วย เดี๋ยวนี้นักปฏิบัติธรรมหรือชาวพุทธจำนวนมากก็ไปซึมซับเอาแบบแผนการปฏิบัติแบบนี้มา ใครมาด่าฉัน ฉันก็ด่ากลับ ไม่ได้สนใจที่จะนึกถึงคำสอนของพระพุทธเจ้าเลยที่ว่า ถ้าใครโกรธเราแล้วเราโกรธตอบ เรานี่แย่กว่าเขา ที่จริงอย่าว่าแต่มาอย่าด่าว่าเราเลย แม้กระทั่งมาตำหนิติเตียนสิ่งที่เรานับถือ สำหรับชาวพุทธคือพระรัตนตรัย อันนี้ก็เป็นเรื่องที่ต้องดูแลรักษาใจให้ดี
สมัยหนึ่ง มีพระกลุ่มหนึ่ง ที่มีนักบวชนอกศาสนามาติเตียนพระพุทธเจ้า พระองค์ทราบก็เลยพูดเตือนสติ ท่านว่า เวลาใครมาติเตียนเราก็ดี ติเตียนพระธรรมก็ดี ติเตียนพระสงฆ์ก็ดี อย่าไปโกรธอย่าไปขุ่นมัว อย่าไปแสดงความไม่พอใจคนที่เขาพูดเช่นนั้น เพราะถ้าท่านทั้งหลายโกรธ ไม่พอใจคนเหล่านั้น อันตรายหรือโทษก็จะเกิดขึ้นแก่ท่านทั้งหลาย ท่านเตือนเลยนะ ถ้าโกรธเมื่อไหร่อันตรายก็เกิดขึ้นแก่ท่าน อันตรายอะไรบ้าง ก็คือความทุกข์ใจ
และอันตรายอีกประการหนึ่งก็คือ การที่ไม่สามารถที่จะใคร่ครวญว่าสิ่งที่เขาพูดนั้นมันดีหรือไม่ดี อย่างที่พระพุทธเจ้าตรัสถามภิกษุเหล่านั้นว่า ถ้าหากว่าท่านโกรธ ไม่พอใจบุคคลที่ติเตียนเรา ติเตียนพระธรรม ติเตียนพระสงฆ์ ท่านจะรู้ไหมว่าคำพูดของเขา อันไหนที่ดี อันไหนที่ไม่ดี พระสงฆ์เหล่านั้นตอบว่า ไม่ทราบพระเจ้าค่า
พระพุทธเจ้าก็เลยตรัสว่า เมื่อรู้ว่าคำพูดของเขาอันไหนที่ดี ไม่จริง ก็ชี้แจง ว่ามันไม่จริงอย่างไร มันไม่ได้เกิดขึ้น มันไม่ได้มีอยู่ในตัวเรา หรือว่าอยู่ในหมู่พวกเราอย่างไร อันนี้คือสิ่งที่ควรทำ ก็คือ 1 ไม่โกรธ แม้ว่าเขาจะพูดกระทบสิ่งที่เรานับถือ เพราะถ้าเราโกรธ อันตรายก็จะเกิดขึ้นแก่เรา อันนี้เป็นเรื่องของการทำจิต
ประการที่ 2 คือการทำกิจ คือการชี้แจงว่า ที่เขาพูด ตรงไหนที่มันไม่จริง ตรงไหนที่ไม่ถูกต้อง อย่าว่าแต่คำด่าว่า แม้กระทั่งคำชม พระพุทธเจ้าก็ทรงเตือนว่า อย่าไปชื่นชมโสมนัส เพราะว่าไปชื่นชมโสมนัส อันตรายก็จะเกิดขึ้นกับท่านทั้งหลายเหมือนกัน และท่านก็แนะนำว่า ตรงไหนที่เขาพูดจริง ก็รับรองว่าเป็นความจริง มีในเราหรือมีในพวกเรา ก็เท่านั้นแหละ
เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะโกรธด่าว่า สิ่งที่เรานับถือ ที่เราเคารพ ก็อย่าไปโกรธ แต่เดี๋ยวนี้ชาวพุทธจำนวนมากก็ลืมคำสอนข้อนี้ไป พอมีใครมาแตะมาตำหนิพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ก็โกรธเลย แล้วก็ตอบโต้กลับไปด้วยถ้อยคำที่รุนแรง อันนั้นมันไม่ใช่วิสัยของชาวพุทธ และมันก็แสดงให้เห็นถึงการที่ยังมีตัวตนที่แน่นหนา มีความยึดถือมั่นในตัวเราของเรา
อันนี้ก็เป็นการบ้าน เป็นแบบฝึกหัด และเป็นสิ่งที่ทดสอบชาวพุทธผู้เป็นนักปฏิบัติธรรมว่า เราปฏิบัติธรรมเราศึกษาธรรมมา ตัวตนเราเล็กลงไหม เบาลงไหม หรือว่าตัวตนเราหนาขึ้น อัตตาเราพอกพูนมากขึ้น ไม่ว่าจะขยันหมั่นเพียรอย่างไร ไม่ว่าจะรู้มากแค่ไหน ไม่ว่าจะได้พบความสงบจากการปฏิบัติเพียงใด แต่ถ้ามีอะไรมากระทบโดยเฉพาะคำพูดที่เป็นคำติฉินนินทาต่อว่าด่าทอ แล้วยังโกรธอยู่ อันนี้ก็แสดงว่าเราสอบตกแล้ว
ก็ต้องไปฝึกใหม่ เพื่อที่จะทำให้ตัวตนเบาบาง มันฝึกได้ อย่างที่โจนเป็นแบบอย่าง ว่าทีแรกเขาก็โกรธเวลาใครมาต่อว่าด่าทอ หน้าแดงเลย ถ้าตอบโต้กลับไปได้เขาก็ตอบโต้ แต่ตอนหลังเขาฝึก เริ่มจากการฝึกยิ้ม และก็ขอบคุณ และไม่ได้ขอบคุณด้วยคำพูดเฉยๆ แต่เอามาพิจารณาตนด้วย ถือว่าเขามาสอนให้เราเรียนรู้การจัดกับความโกรธของเรา พอได้ทำอย่างนั้นอัตตาตัวตนก็เบาบางลง เล็กลง อันนี้เป็นสิ่งที่ฝึกได้ เป็นสิ่งที่ทำได้ และก็ควรทำด้วย
- พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมเย็นวันที่ 13 ตุลาคม 2564