แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
พวกเราส่วนใหญ่หรือทุกคนก็ว่าได้ เคยฝันร้ายมาแล้ว อาจจะนานมาแล้ว ฝันร้ายมีหลายลักษณะ ฝันร้ายอย่างหนึ่งที่อาจจะเกิดขึ้นตอนที่พวกเรายังเป็นเด็ก คือผีปีศาจที่มาหลอกหลอน
มีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งอายุราว 11-12 มีช่วงหนึ่งที่ฝันร้ายเป็นประจำทุกคืนเลย แล้วก็เป็นฝันร้ายแบบเดิมๆก็คือมีปีศาจหรืออสูรหลายตัวเลย มาหลอกพอเธอเจอ เธอวิ่งหนีเลยในฝัน ไปเจอตึกๆหนึ่งมืดสนิท ก็รีบหลบไปที่ตึกนั้น เปิดประตูเข้าไปเดี๋ยวไม่ทันปิด อสูรก็วิ่งผ่านประตูเข้ามา เธอก็วิ่งหนีๆๆจนกระทั่งไปเจอกำแพงหรือว่าข้างฝา ไปต่อไม่ได้
ขณะที่อสูรก็วิ่งไล่ตามจะมาถึงตัวเธอแล้ว ตกใจมากเลย เพราะมันไปต่อไม่ได้ มันยังไม่ทันทำอะไรเธอ เธอก็ตกใจตื่น ก็ร้องไห้ ด้วยความกลัว เป็นอย่างนี้ติดต่อกันหลายคืน จนไม่กล้านอนหลับเลย เธอก็เอาเรื่องนี้ไปเล่าให้เพื่อนๆฟัง เพื่อนก็ถามว่า อสูรหน้าตาหน้าตามันเป็นอย่างไร มันเป็นแม่มดหรือเปล่า มันมีเขี้ยวไหม อยากรู้ตามประสาเด็ก
เธอก็ตอบไม่ได้ เพราะว่าเธอเอาแต่วิ่ง ไม่เคยเหลียวหลังมาดูเลยว่า มันหน้าตาเป็นอย่างไร เธอก็เก็บความสงสัยอันนี้เอาไว้ แปลว่าไม่นานคืนต่อมาเธอก็ฝันร้ายอีก ภาพก็เหมือนเดิม อสูรวิ่งไล่ตามเธอ เธอก็วิ่งหลบเข้าไปพยายามซ่อนตัวอยู่ในตึก แล้วรีบเปิดประตูแต่ยังไม่ทันปิด มันก็ตามเข้ามา เธอก็วิ่งจนกระทั่งไปเจอกำแพงหรือข้างฝา ไปต่อไม่ได้ กลัวมากเลย
แต่ว่าชั่วขณะหนึ่ง เธอก็นึกถึงเพื่อนที่ถามว่า อสูรหน้าตาเป็นยังไง เธอก็หันหลังชนกำแพงเลย แล้วก็จ้องมองอสูร กลัวก็กลัว แต่ว่าด้วยความอยากรู้ด้วยความสงสัย จ้องมองอสูร อสูรก็หยุดชะงักเลย แล้วมันก็ได้แต่กระโดดขึ้นกระโดดลง ไม่ทำอะไรเธอ เธอก็พบว่า เอ๊ะ หน้าตามันคุ้นๆมากเลย มันเหมือนตัวการ์ตูนในหนังสือที่เธออ่านก่อนนอน
พอรู้ความจริงเช่นนี้ ตื่นขึ้นมา เธอก็หายกลัวอสูรเลย เพราะจริงๆมันไม่ใช่อะไรอื่นมันก็คือ ตัวที่ปรากฏอยู่ในการ์ตูนที่เธออ่านนั่นแหละ นับแต่นั้นมา ฝันร้ายนี้ก็ไม่เคยเกิดขึ้นอีกเลย อสูรมันคอยตามหลอกหลอนเธอ ตราบใดที่เธอยังหนีมัน แต่ทันทีที่เธอหันมามองมัน หันมาจ้องมัน มันก็หมดพิษสงหมดอำนาจ ไม่สามารถที่จะหลอกหลอนเธอได้ต่อไป
ส่วนหนึ่งก็เพราะเธอรู้ความจริงว่ามันก็ไม่ใช่อะไรอื่น มันก็มาจากหนังสือการ์ตูนที่เธออ่าน แต่ในฝันตอนที่เธอจ้องมองมัน แล้วก็เผชิญหน้ากับมัน เท่านั้นก็มากพอที่ทำให้อสูรหยุดชะงักแล้วก็ไม่สามารถที่จะหลอกหลอนเธออีกต่อไป
มันไม่ใช่แค่ในฝัน ที่เวลาเรามองอะไรแล้ว สิ่งที่ถูกมองไม่ว่ามันจะน่ากลัวเพียงใด มันก็หมดพิษสงลงไป ในยามตื่นก็เหมือนกัน เวลาที่มันมีอารมณ์ความรู้สึกใดที่มันหลอกหลอนเรา หรือว่ามันก่อกวนรังควานเรา ถ้าเราเอาแต่หนีมัน หรือทำไปตามอำนาจของมัน มันก็ยิ่งมีอำนาจเหนือเราอยู่ร่ำไป แต่ทันทีที่เราหันมามองมัน เห็นมัน มันก็หมดอำนาจ หมดพิษสง จะเรียกมันดับไปเลยก็ได้
อาจารย์ปราโมทย์ ท่านเล่าว่าสมัยที่เป็นเด็ก เคยมีไฟไหม้ใหญ่แถวบริเวณบ้านของท่าน ที่เรียกว่าบ้านบาตรบ้านดอกไม้ เพราะทำดอกไม้ไฟกัน ทำประทัดเพราะมีดินปืนเยอะ ไฟไหม้รุนแรงมาก มีคนตายหลายคน ก็เลยกลัวไฟไหม้นับแต่นั้นมา
ท่านเล่าว่าตอนที่อายุ 10 ขวบ ขณะที่กำลังเล่นลูกหินอยู่หน้าบ้าน ปรากฏว่ามีไฟไหม้ ตึกแถวเดียวกับบ้านท่าน ห่างออกไปสัก 5-6 คูหา ตกใจมาก แล้วก็กลัวด้วย รีบวิ่งไปบอกพ่อแม่ แต่ว่าวิ่งไปได้แค่ 3-4 ก้าว จู่ๆ จิตของตัวหันมามองความกลัวที่เกิดขึ้น พอเห็นความกลัวเท่านั้น ความกลัวมันดับ แล้วท่านก็ไปบอกพ่อแม่ว่าไฟไหม้ ก็เห็นผู้ใหญ่ตื่นตกใจขณะที่เด็กชายปราโมทย์ยืนนิ่ง ไม่มีความกลัวอยู่เลยตอนนั้น
ความกลัวก็เหมือนกับอสูร พอมันถูกมองหรือถูกเห็น มันก็ดับวูบไป ทุกอารมณ์มันเป็นอย่างนั้น ความโกรธก็เหมือนกัน เราพยายามกดข่มความโกรธยังไง มันก็ไม่สำเร็จ มันก็แค่หลบไปชั่วคราว เช่นเดียวกับความกลัว แต่ถ้าหากว่าเราเห็นมัน มันก็หมดพิษสงลงไป เห็นที่ว่าคือเห็นด้วยสติ หรือใช้คำว่ารู้ทันก็ได้
มีคนถามหลวงปู่ดุลย์ อตุโลว่า ทำอย่างไรถึงจะตัดความโกรธให้ขาด หลวงปู่บอกว่า ไม่มีใครตัดให้ขาดได้หรอก มีแต่รู้ทันมัน เมื่อรู้ทันมัน มันก็ดับไปเอง พอรู้ทัน มันก็เกิดความรู้สึกตัวขึ้นมา ความโกรธ ความกลัวมันเกิดขึ้นเพราะอาศัยความหลง หรือว่าเกิดขึ้นในยามที่จิตมันหลง แต่พอรู้ตัว มีสติ มันก็ดับไป การมองหรือการเห็น อย่างซึ่งๆหน้าหรือว่าเห็นในสิ่งที่ปรากฏแก่จิตใจ
อันนี้มันไม่ใช่ว่าเป็นเรื่องที่เล็กน้อย มันเป็นเรื่องที่สำคัญทีเดียว เพียงแค่เห็นหรือเพียงแค่มอง หรือเพียงแค่รู้ทัน มันก็มีอานุภาพที่จะทำให้อารมณ์หรือว่าสิ่งที่มาหลอกหลอน ไม่ว่าในยามตื่นหรือยามหลับยามฝันมันหมดสภาพไปได้ ที่จริงไม่ใช่แต่เฉพาะอารมณ์หรือภาพหลอนพวกนี้ แม้กระทั่งสิ่งที่เรียกว่ามาร มันก็พ่ายแพ้ต่ออานุภาพของการมอง หรือการรู้ทัน
มารชอบก่อกวนรังควานคนที่มุ่งทำความเพียรเพื่อการหลุดพ้น เพราะว่าถ้าหลุดพ้นจากความทุกข์เมื่อไหร่ ก็หลุดพ้นจากอำนาจของมารด้วย ในพระไตรปิฎกก็จะมีเรื่องราวของมารที่พยายามทำทุกอย่าง ออกอุบายหลายวิธีที่จะทำให้ผู้ปฏิบัติงานละเลิกการทำความเพียร บางทีก็หลอกให้กลัว แปลงกายเป็นพญาช้าง เป็นงูใหญ่ หรือว่าทำให้เกิดแผ่นดินไหว บางทีก็มาชักนำให้เขว
ขนาดพระพุทธเจ้า ตอนที่ทรงทำความเพียรอยู่นั้น ก็มีมารมาชวนให้เลิกปฏิบัติ บอกว่าท่านกลับไปครองราชย์ครองราชสมบัติดีกว่า อย่ามาทำความเพียรอย่างนี้เลย สูญเปล่า บางทีก็ชวนให้ไปบำเพ็ญทุกรกิริยาต่อ หรือบางทีก็ชวนว่านี่อย่าไปปฏิบัติเลย ไปทำบุญสร้างสมบุญกุศลดีกว่า จะได้ไปเกิดในสวรรค์ บางทีก็ชวนภิกษุณีที่กำลังทำความเพียรให้มุ่งสวรรค์อย่ามุ่งนิพพานเลย
แต่ว่าส่วนใหญ่มารเหล่านี้ก็พ่ายแพ้ ล่อหลอกไม่สำเร็จ เพราะวิธีหนึ่งที่นิยมใช้กัน ตั้งแต่พระพุทธเจ้าลงมาก็คือ การทักว่า มารผู้ใจบาป เรารู้จักท่านแล้ว อย่าคิดว่าเราไม่รู้จักท่าน พูดง่ายๆคือ ทำให้มารรู้ว่าพระพุทธเจ้าก็ดี พระภิกษุ ภิกษุณีก็ดี รู้ทันแล้ว
อย่างมีคราวหนึ่ง พระสมิทธิกำลังทำความเพียรอยู่ เกิดแผ่นดินไหว ตกใจมากเลย กลับไปเชตวัน พอพระพุทธเจ้าทราบ ก็เลยบอกพระสมิทธิว่า อันนั้นมันเป็นอุบายของมาร เวลาเกิดแผ่นดินไหวอีกก็บอกเลยนะว่า มารเรารู้จักท่านแล้ว ท่านอย่าคิดว่าเราไม่รู้จักท่าน พระสมิทธิกลับไปทำความเพียรต่อ เกิดแผ่นดินไหวอีก คราวนี้พระสมิทธิไม่กลัวแล้ว ประกาศเลยว่า ผู้ใจบาป เรารู้จักท่านแล้ว มารนั้นพอมันรู้ว่ามีคนรู้ทัน มันก็พ่ายแพ้โดยดี
มีคราวหนึ่ง มารไปสิงพระพรหม ตอนที่พระพุทธเจ้ากำลังสนทนากับพระพรหม กำลังโต้ตอบกันอยู่ก็เข้าสิงพระพรหม แล้วก็กล่าวจ้วงจาบพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็ตรัสว่า มารผู้ใจบาป เรารู้จักท่านแล้ว ท่านอย่าคิดว่าเราไม่รู้จักท่าน มารหมดสภาพเลย ยอมแพ้ เลิกสิงพระพรหมเลย
มารเคยสิงเข้าร่างพระโมคคัลลานะเหมือนกัน ทำให้เกิดความปั่นป่วน ทีแรกท่านก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ตอนหลังท่านเอะใจ ก็รู้ทัน ก็เลยพูดเหมือนกันว่า มารผู้ใจบาป เรารู้จักท่านแล้ว ท่านอย่าคิดว่าเราไม่รู้จักท่าน ก็เช่นเดียวกันแค่ทักเท่านี้ มารก็ยอมแพ้ ไม่ต้องใช้ฤทธิ์เดชขับไล่ เพียงแค่รู้ทันเท่านั้น เพราะจุดอ่อนของมาร ก็คือการถูกรู้ทัน ถึงแม้ว่าจะมีฤทธิ์มีเดชมากมายแค่ไหน
มีคราวหนึ่งพระพุทธเจ้าไปโปรดคหบดีท่านหนึ่งชื่อว่าสูรอัมพัฏฐ แสดงธรรมให้เห็นว่า ขันธ์ทั้ง 5 มันไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์ มันไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน สูรอัมพัฏฐก็เกิดปัญญา ดวงตาเห็นธรรมเป็นพระโสดาบันเลย มารพอรู้ ก็กลัวว่าคหบดีท่านนี้จะพ้นอำนาจของมัน ก็เลยหาทางไปล่อหลอกให้เขว ทำยังไง แปลงกายเป็นพระพุทธเจ้า กลับมาที่บ้านของสูรอัมพัฏฐ
แล้วก็พูดว่า เมื่อสักครู่นี้ ที่ข้าพเจ้าบอกท่านว่า ขันธ์ทั้ง 5 มันไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์ มันไม่ใช่ตัวตนนั้น มันไม่ใช่ทุกขันธ์ที่เป็นอย่างนั้น มีบางขันธ์ที่มันเที่ยง มันสุข และมันเป็นตัวตน พูดอย่างนี้
สูรอัมพัฏฐเอะใจ ทำไมพระพุทธเจ้ากลับคำ เมื่อสักครู่นี้ยังบอกว่า ขันธ์ทั้ง 5 มันไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์ มันไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน ตอนนี้มาเปลี่ยน มีข้อยกเว้นขึ้นมาแล้ว ท่านก็สงสัยว่าไม่ใช่พระพุทธเจ้า แต่คือมาร ก็เลยพูดขึ้นมาว่า ท่านคือมารใช่ไหม พอมารได้ฟังคำนี้ ความรู้สึกเหมือนกับขวานฟาดกลางหัวเลย เจ็บปวดและตกใจมาก สุดท้ายก็เลยสารภาพว่า ใช่ หลอกสูรอัมพัฏฐไม่สำเร็จ ทั้งที่มารมีฤทธิ์เดชมากกว่าสูรอัมพัฏฐ เจอการดักคอและการรู้ทัน ก็ยอมพ่ายแพ้ เลิกก่อกวนรังควานทันที
มารที่ว่านี้ เราจะมองว่า เทวปุตตมารก็ได้ หรือจะมองว่าเป็นกิเลสมารก็ได้ซึ่งก็คือความโลภ ความหลง ความโกรธ รวมทั้งกิเลสตัวรองๆลงมาเช่น ความกลัว ความอิจฉาพยาบาท พวกนี้เวลามันเกิดขึ้นในใจแล้ว ถึงแม้มันจะก่อความปั่นป่วนรังควานจิตใจเราอย่างไร แต่ทันทีที่เรารู้ทันมัน เห็นมัน หรือว่ามองมันด้วยสติ มันก็หมดพิษสงทันที
คล้ายๆกับโจร ถ้ามันรู้ว่าเจ้าของบ้านเห็นมัน หรือใครก็ตามเห็นมัน เช่น ขณะที่กำลังขนย้ายข้าวของอยู่ อยู่ๆก็พบว่าเจ้าของบ้านสบตาอยู่ พอรู้ว่ามีคนมอง พอรู้ว่ามีคนเห็น มันก็ถอยเหมือนกันเหมือนกับว่าอับอาย ยอมแพ้ไปเลย โดยที่เจ้าของบ้านยังไม่ต้องเอาอาวุธมาไล่ แค่รู้ทันหรือเห็นมันเท่านั้นแหละ เพราะว่าโจรกลัวการถูกรู้ถูกเห็น
มีบ้านหลังหนึ่ง อยู่ในละแวกที่โจรชุกชุม เวลาบ้านหลังอื่นไปต่างจังหวัด เขาปิดบ้านล็อคประตูกัน โจรนี้สามารถเข้าไปขโมยข้าวของทรัพย์สมบัติในบ้านเหล่านั้นได้ แต่เจ้าของบ้านหลังนี้มีวิธีที่ดีกว่านั้น เวลาจะไปธุระต่างจังหวัดจะเปิดประตูบ้านเอาไว้ เปิดไฟเปิดวิทยุด้วย กลางคืนก็สว่าง วิทยุก็ดัง บ้านก็เปิด ปรากฏว่าไม่เคยมีโจรเข้าบ้านเลย บ้านอื่นปิดประตูล็อคประตู เสร็จโจร
แต่บ้านหลังนี้โจรไม่เคยเข้ามาหรือขโมยของเลย เพราะอะไร เพราะมันกลัว บ้านเปิดไฟทั้งบ้าน แถมเปิดประตูด้วย สงสัยมีคนอยู่ จะไปขโมยหรือ กลัวเจ้าของบ้านเห็น ก็เลยไม่กล้าเข้าไปยุ่งยากเลย ส่วนบ้านอื่นเจ้าของบ้านไม่อยู่ เพราะฉะนั้นโจรย่ามใจ ไปปล้นข้าวของได้ตามสบาย เพราะรู้ว่าทำแล้วไม่มีคนเห็น
โจรนี้ก็กลัว กลัวคนเห็น อารมณ์เหล่านี้ก็เหมือนกัน มันก็กลัว การมองหรือการเห็น แบบการเห็นเฉยๆ ที่ครูบาอาจารย์บอกว่ารู้ซื่อๆ นี่ จริงๆมันก็ไม่เหนื่อยอะไรเลย เมื่อเทียบกับการไปต่อสู้ขับไล่ไสส่งหรือพันตูกับอารมณ์ เช่น มีความโกรธก็ไปขับไล่มัน มีความกลัวก็ไปกดข่มมัน อย่างนี้เหนื่อย
แต่การเห็น การมอง การจ้อง การรู้ซื่อๆ มันไม่เหนื่อย แต่ว่าคนเรา สิ่งที่มันง่ายๆก็ไม่ค่อยจะทำเท่าไหร่ กลับไปทำสิ่งที่ยาก แล้วมันก็ไม่ค่อยได้ผลด้วย ไปสู้รบกับอารมณ์ หรือไปสู้รบกับมาร มันก็มีแต่ล้มเหลว ไม่ได้ผล มีแต่ไปเพิ่มกำลังให้กับมัน
เช่นเดียวกัน ระหว่างการวางกับการแบก วางมันง่ายกว่าแบก เพราะว่าวางมันไม่เหนื่อยเลย แบกนี่มันเหนื่อย แต่คนเราก็แปลกชอบแบก ทั้งๆที่สิ่งที่แบกมันก็ไม่ใช่เป็นสิ่งที่ดีเสมอไป ไม่ใช่ทรัพย์สมบัติ ไม่ใช่ชื่อเสียง ไม่ใช่คนรัก แต่บางทีก็เป็นอารมณ์ที่รบกวนจิตใจ เผาผลาญใจ เช่น ความโกรธทิ่มแทงใจ เช่นความเกลียดซึ่งทำให้หนักอกหนักใจ แต่ทำไมคนเราชอบแบกมากกว่าวาง
เวลาแนะนำว่า ให้วางๆ ก็บอกว่าพูดง่ายทำยาก อ้าวแล้วการแบกมันง่ายหรือไง มันยากกว่าวางอีก ระหว่างการมอง การดู การเห็น การรู้ซื่อๆนี่ กับการไปขับไล่ไสส่งพันตู มันก็ต่างกัน เวลาเรามองสิ่งที่ไหลเลื่อนไปตามกระแสน้ำ มันไม่เหนื่อยอะไรเลย ก็เพียงแต่ดู แต่การโจนลงไปเพื่อที่จะทำอะไรกับสิ่งที่มันลอยผ่านหน้าเราไป อันนี้มันเหนื่อยกว่า
หรือถ้าเทียบกับสมัยนี้ก็คือ การดูรถที่มันแล่นผ่านหน้าเราบนถนน การเจริญสติมันก็ไม่ต่างจากการดูรถที่มันแล่นผ่านหน้าเราบนถนน การดูเฉยๆมันไม่เหนื่อย แต่ว่าคนส่วนใหญ่ไม่คิดที่จะดูเฉยๆ กลับไปพยายามห้ามรถที่แล่นอยู่ไม่ให้วิ่งต่อ หรือมิเช่นนั้นก็กระโจนขึ้นรถ รถคันนี้นั่งสบาย กระโจนตามไปด้วย อันนี้ก็เหนื่อยเหมือนกัน เพราะว่ามันจะพาไปไหนก็ไม่รู้
ระหว่างการผลักไสกับการไหลตาม มันเหนื่อยทั้งคู่ ผลักไสความคิด กดข่มอารมณ์ หรือไหลตามความคิด ไหลตามอารมณ์ นี่เหนื่อย แต่เพียงแค่เราดูเฉยๆ มันไม่เหนื่อย และที่จริงการดูหรือการมอง มันมีอานิสงส์มันมีอานุภาพมากกว่าเยอะเลย แต่เราไม่ค่อยได้เห็นความสำคัญ หรือไม่เชื่อว่ามันจะมีอานุภาพ แต่ถ้าเราลองทำดู แม้ว่าใหม่ๆมันจะยาก เพราะว่าใจหนึ่งก็จะเอาแต่ถ้าไม่ผลักไสก็ไหลตาม ไม่เผลอก็เพ่ง เพราะว่าเราทำจนเป็นนิสัย
แต่พอเราตั้งใจที่จะมองเฉยๆ ไม่ว่าอะไรเกิดขึ้น ความคิด อารมณ์บวกหรือลบ มันก็ไม่ยอมที่จะดู หรือว่ารู้ซื่อๆ แต่พอทำไปแล้วก็จะรู้ว่า การไปผลักไสกดข่ม มันก็ไม่ได้ผล และถ้าไหลตามมัน ทำตามอำนาจมันก็ทำให้เกิดผลเสีย ถ้าเรารู้ทันมัน เห็นมัน แค่นั้นมันก็มากพอที่จะทำให้สิ่งเหล่านี้มันหยุดรบกวนรังควานจิตใจ และก็ทำให้ใจเราเกิดความสงบ และเกิดความโปร่งโล่งตามมาในที่สุด
- พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมเย็นวันที่ 12 ตุลาคม 2564