แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
มีอาจารย์คนหนึ่งนะอายุประมาณ 48 ปลายๆ 50 ต้นๆ เป็นคนที่มีอนาคตไกล ชีวิตก็ไปได้ดีมีความก้าวหน้าในอาชีพการงาน เป็นศาสตราจารย์ ลูกศิษย์ลูกหาก็เยอะ แล้วก็มีความสุขกับงาน มีความสุขกับครอบครัว เป็นครอบครัวที่อบอุ่น มีคนที่รู้ใจ แล้ววันหนึ่งเขาพบว่ารู้สึกอ่อนเพลีย ตอนหลังก็มีอาการปวดที่ช่องท้องด้านบน ต่อมาตัวก็เริ่มเหลือง ไปหาหมอตรวจ พบก้อนมะเร็ง 10 ก้อนอยู่ที่ตับอ่อน
เขาถามหมอถึงโอกาสอยู่รอด หมอบอกว่า 99% ของคนที่เป็นมะเร็งตับอ่อนอยู่ได้ไม่เกิน 5 ปี เขาทำใจได้ไม่ตื่นตกใจมาก ก็พยายามที่จะดูแลรักษาตัวตามคำแนะนำของหมอ ไม่ได้ตื่นตระหนกตกใจอะไร แต่ว่าอาการก็ไม่ดีขึ้น แถมแย่ลงไปเรื่อยๆ สุดท้ายวันหนึ่ง เขาก็ถามหมอว่า อีกนานแค่ไหนกว่าผมจะตาย หมอตอบดี ตอบว่าคุณมีเวลา 3-6 เดือน ที่จะมีสุขภาพดี
เป็นคำตอบที่เขาไม่คาดคิดว่าจะได้จากหมอ เพราะเขาถามว่ามีเวลานานแค่ไหนกว่าจะตาย แต่หมอบอกว่ามีเวลา 3-6 เดือนที่จะมีสุขภาพดี เป็นคำตอบที่ดีมากเลย เพราะว่ามันทำให้เขาแทนที่จะไปจดจ่ออยู่กับความตาย ซึ่งก็ทำให้จิตใจหดหู่ ถ้าหมอตอบว่าคนไข้อยู่ได้อีก 2-3 ปีกว่าจะตาย คนไข้ก็จะนึกถึงแต่ความตาย จิตใจก็ห่อเหี่ยว
หมอไม่ได้พูดถึงความตาย หมอพูดถึงการมีสุขภาพที่ดีว่า ยังมีเวลาอีก 3-6 เดือน พอตอบแบบนี้ ใจก็มาให้ความสำคัญกับเรื่องการมีสุขภาพดี และเมื่อรู้ว่ามีเวลาอีก 3-6 เดือน ที่จะมีสุขภาพดี ก็ทำให้มีเวลาวางแผนชีวิตได้ว่าจะทำอะไรบ้าง เขาบอกว่าคำตอบของหมอ ทำให้เขารู้เลยนะว่าเขาจะต้องทำอะไรกับชีวิตที่เหลือ
แทนที่จะเอาแต่ห่อเหี่ยวว่าฉันกำลังจะตายแล้วหรือนี่ ก็กลับมาใส่ใจว่า ในช่วงที่ฉันมีสุขภาพดีฉันควรจะทำอะไรบ้าง แล้วเขาก็วางแผนชีวิตเลย เช่น วางมือจากงานการ แล้วก็หันมาให้เวลากับครอบครัว หันมาทำสิ่งที่เขาอยากจะทำแต่ไม่ได้ทำสักที เพราะว่าติดพันกับงานการ เขาใช้เวลา 3-6 เดือน ทำสิ่งที่พิเศษสุดในชีวิตด้วยความรู้สึกเบิกบาน
อันนี้เพราะว่า หมอตอบดี แทนที่จะพูดถึงความตาย แต่พูดถึงว่าการมีสุขภาพดี หมอส่วนใหญ่คงจะไม่ได้ตอบแบบนั้น พอตอบตามที่คนไข้ถามว่า อยู่ได้อีก 2-3 ปีกว่าจะตาย คนไข้ก็ห่อเหี่ยวเลย เพราะนึกถึงแต่ความตาย แต่พอหมอพูดถึงการมีสุขภาพดี คนไข้ก็รู้สึกดีขึ้น แล้วก็รู้ว่าในช่วงที่เหลือต่อไปนี้ควรจะทำอะไรบ้าง
ฟังเรื่องนี้ก็ทำให้นึกถึงครอบครัวหนึ่ง สามีป่วยเป็นมะเร็ง อาการแย่ลงไปเรื่อยๆจนกระทั่งรักษาไม่ได้แล้ว ก็ต้องเยียวยาตามอาการ แล้วก็มาใช้ชีวิตที่เหลือที่บ้าน มีเวลาไม่นาน ไม่เกิน 6 เดือน ภรรยาก็เศร้าเสียใจแล้วก็วิตกกังวลมาก แล้วก็นึกไปถึงแต่ความตายของสามี สามีตายไปแล้วตัวเองจะอยู่อย่างไร ลูกจะอยู่อย่างไร ใครจะส่งเสียลูก
คิดแบบนี้ก็ทำให้จิตใจห่อเหี่ยวมากขึ้น จนกระทั่งร่างกายผ่ายผอม กินไม่ได้นอนไม่หลับ น้ำหนักก็ลด เธอเขียนมาถามอาตมาซึ่งก็ไม่ได้รู้จักเป็นส่วนตัว ถามว่าจะทำยังไงดี
อาตมาก็บอกไปว่า เห็นใจนะที่สามีของโยมกำลังจะเสียชีวิต แต่ว่าอย่าลืมนะ ตอนนี้ สามีโยมยังมีชีวิตอยู่ยังไม่ตาย ในขณะที่เขายังมีชีวิต ยังมีลมหายใจ ยังมีความรู้สึกตัว ยังสามารถที่จะใช้ชีวิตไม่ต่างจากคนส่วนใหญ่ได้ อันนี้คือโอกาสทอง คือเวลาทอง ควรใช้ชีวิตช่วงนี้ให้มีคุณค่า มีความสุขร่วมกัน หรือว่าใช้โอกาสนี้ทำความดีต่อกันและกัน
อย่าเพิ่งไปนึกถึงความตายของสามีซึ่งมันเป็นอนาคต นึกถึงตอนนี้ สามียังพูดคุยได้ ยังพอจะไปไหนมาไหนได้บ้าง นี้คือช่วงเวลาที่สำคัญ เราควรใช้โอกาสนี้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ทำความดีร่วมกัน หรือชวนกันไปทำความดี หรือว่ามีความสุขร่วมกัน อีกอย่างหนึ่ง ตอนนี้ถึงแม้ว่าโยมจะช่วยเขาไม่ได้ทางร่างกายแต่ว่าด้านจิตใจนี้ช่วยได้เยอะ
ถ้าโยมมีจิตใจแช่มชื่นเบิกบาน หรือว่ามีความแจ่มใส ไม่เครียด มันก็ช่วยถ่ายเทความสุขของตัวเองไปให้กับสามีได้ แต่ถ้าโยมเครียด แล้วก็ไม่ดูแลตัวเองทั้งกายทั้งใจ ความทุกข์ของโยมก็จะส่งผ่านไปยังสามี ทำให้แย่กว่าเดิม คือป่วยทั้งกายป่วยทั้งใจ
ไม่นานเธอก็ตอบกลับมาว่า ตอนนี้รู้สึกดีขึ้นแล้ว ก็หันมาดูแลตัวเอง หันมาเอาใส่ใจสุขภาพตัวเอง โดยเฉพาะพยายามใช้เวลาช่วงนี้ทำสิ่งดีๆร่วมกัน ก็รู้สึกดีขึ้นทั้งสองฝ่าย แทนที่จะห่อเหี่ยวเพราะนึกถึงแต่ความตายของสามี ซึ่งเป็นเรื่องอนาคต ก็หันมาสนใจกับตอนนี้ที่สามียังพอจะใช้ชีวิตอย่างมีความสุขได้
คนเรา บางทีเราไปนึกถึงอนาคตมากเกินไป โดยเฉพาะอนาคตที่มันไม่ค่อยสวยงามเท่าไหร่ ถึงแม้ว่ามันจะเกิดขึ้น แต่มันก็ยังไม่เกิดในเวลานี้ ในขณะนี้จะมีสุขภาพดีก็ต้องรู้จักชื่นชม แล้วก็ใช้ความมีสุขภาพดีนี้ให้เกิดประโยชน์ อาจารย์คนนี้ตอนหลังแกก็ใช้เวลาช่วงที่เหลืออยู่นี้ทำสิ่งดีๆทั้งกับตัวเรา กับครอบครัวแล้วก็กับลูกศิษย์ลูกหา
แกเป็นคนที่ยอมรับชีวิตได้ แกพูดว่า คนเรามันก็เหมือนการเล่นไพ่ บางทีเราจั่วได้ไพ่ที่ไม่ดีมา แต่ว่ามันป่วยการที่เราจะบ่นโวยวายตีโพยตีพายว่า ทำไมฉันได้ไพ่ไม่ดี นักเล่นไพ่ที่ฉลาด เขาจะไม่มัวบ่นว่าทำไมได้ไพ่ไม่ดี แต่เขาจะสนใจว่า ทำยังไงจะเล่นไพ่ในมือให้ดีที่สุด คนที่ได้ไพ่ต่ำๆ แต่ว่าสุดท้ายชนะได้ก็เพราะเขาไม่มัวแต่บ่น ไม่มัวแต่โวยวายตีโพยตีพาย แต่เขาพยายามเล่นไพ่ในมือให้ดีที่สุด
คือ คนเราบางครั้งก็มีความพร่อง มีความขลุกขลัก ป่วยการที่จะมาบ่นว่า ทำไมฉันต้องมาป่วยเป็นโรคนั้นโรคนี้ สิ่งสำคัญมันอยู่ที่ว่า เราจะทำยังไงกับสิ่งที่มีอยู่ตอนนี้ให้ดีที่สุด โดยเฉพาะในยามที่ยังมีลมหายใจ ในยามที่ยังมีสุขภาพดีพอสมควร อันนี้ก็เป็นแง่คิดที่น่าสนใจ โดยเฉพาะคำพูดของหมอคนนี้ มันชวนทำให้คนไข้หันมามอง แล้วก็รู้ว่า ควรจะทำอะไรให้มันดีที่สุดสำหรับช่วงเวลาที่เหลืออยู่
- พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล แสดงธรรมก่อนฉันเช้าวันที่ 9 ตุลาคม 2564