แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
คนเราเวลามีอะไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นเงินทอง ข้าวของ เครื่องประดับ โทรศัพท์ รถยนต์ บ้าน หรือกิจการ เวลาสูญเสียสิ่งนั้นไป มันทุกข์ยิ่งกว่าตอนที่ไม่มีเสียอีก ลองสังเกตดู ตอนที่มีโทรศัพท์ รถยนต์ เครื่องประดับเพชรนิลจินดา เวลาที่สูญเสียมันไปมันทุกข์ยิ่งกว่าตอนที่ไม่มีหลายเท่า มองในแง่นี้การไม่มีมันดีกว่ามี
แต่ว่าคนนั้นส่วนใหญ่ก็ว่าได้ เลือกที่จะมีเพราะถ้าไม่มีมันก็ทุกข์เหมือนกัน ไม่มีก็ทุกข์เพราะว่าเห็นคนอื่นเขามีกันแต่เราไม่มีจึงอยากมี อีกอย่างหนึ่งพอมีแล้วก็มีความสุข ไม่ว่ามีหรือได้อะไรมาก็ตาม ก็จะมีความสุข แต่คนส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ตระหนักว่า สุดท้ายก็ลงเอยด้วยความทุกข์เมื่อต้องสูญเสียสิ่งนั้นไป แล้วจะไม่ให้สูญเสียเลย มันก็ยาก เพราะว่ามีกับหมดมันเป็นของคู่กัน ได้กับเสียมันเป็นของคู่กัน ไม่ว่ามีอะไร สุดท้ายก็ต้องหมดหรือสูญเสียสิ่งนั้นไป ไม่ช้าก็เร็ว จะเพราะเหตุใดก็แล้วแต่
พอเสียไปก็ทุกข์ยิ่งกว่าตอนที่ไม่มีสิ่งนั้น แต่ไม่มีก็ทุกข์เพราะคนอื่นเขามีกัน และเพราะมีเราก็สุข คนเราจึงหลงวนอยู่ในวัฏจักรนี้แหละ มีกับหมด ได้กับเสีย สุขกับทุกข์ ถ้าคนเราเลือกที่จะไม่มีได้ มันก็จะไม่ทุกข์ แต่ว่าคนส่วนใหญ่ก็ไม่สามารถจะทำอย่างนั้นได้มันอยากจะมีมันอยากจะได้ เหมือนกับคนอื่นเขา หรือมีหรือได้มากกว่าเขายิ่งดี เพราะว่ายิ่งมีมากเท่าไหร่ก็มีความสุขมากเท่านั้น สุดท้ายก็ตกอยู่ในความทุกข์เพราะว่าสิ่งที่มีนั้นหมดหรือว่าผันผวนแปรปรวนไป
อย่างไรก็ตาม บางครั้งเราก็จำเป็นต้องมี อย่างพระอรหันต์ หรือพระพุทธเจ้า พระองค์ก็มี พระอรหันต์ทั้งหลายก็มีอย่างน้อยๆก็อัฐบริขาร อันนั้นคือพระอันนั้นคือนักบวช ฆราวาสก็เหมือนกัน ก็จำเป็นต้องมีเช่นมีเงิน เพราะถ้าไม่มีก็ลำบาก สมัยนี้ก็ต้องมีโทรศัพท์เพื่อใช้ทำธุรกิจประกอบอาชีพ แม้กระทั่งนักเรียนก็ต้องมีโทรศัพท์เพราะว่าต้องเรียนทางออนไลน์ ถ้าไม่ได้โทรศัพท์ก็ไอแพด
ในชีวิตจริงของคนเรา ก็จำเป็นต้องมี อยู่ที่ว่ามากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับสถานะ หรือว่าเพศ เช่น เพศบรรพชิตความจำเป็นที่ต้องมีก็น้อยกว่าฆราวาส เพราะว่ามันเป็นสิ่งจำเป็น และสำหรับบางคนมันทำให้ความสุขในระดับหนึ่งด้วย
เมื่อเราจำเป็นต้องมี ทำอย่างไรถึงจะไม่ทุกข์เพราะการมีเหล่านั้น ส่วนหนึ่งก็ต้องอาศัยการเตือนตนเตือนใจอยู่เสมอว่า สิ่งที่เรามีไม่ว่าอะไรก็ตาม สักวันหนึ่งก็ต้องหมดหรือว่าเสียมันไป หรือเตือนใจเราอยู่เนืองๆว่า สิ่งที่มีมันก็อยู่กับเราเพียงแค่ชั่วคราว เพราะว่าไม่มีอะไรที่ยั่งยืนหรือว่าจีรัง พูดง่ายๆว่าเป็นอนิจจัง ระลึกถึงความเป็นอนิจจังไว้อยู่เสมอ มันก็ช่วยเตือนใจ และก็ช่วยทำให้มีภูมิคุ้มกันในจิตใจยามที่ต้องสูญเสียสิ่งเหล่านั้นไป
ถ้าไม่คิดไว้เลย ไปเพลิดเพลินกับการใช้สิ่งเหล่านั้น วันดีคืนดีมันหายไป มันเสียไป หรือว่าถูกยึดไป มันจะทุกข์มาก แล้วก็ทุกข์มากกว่าตอนที่ไม่มีเสียอีก ก็หมั่นเตือนใจไว้ว่า สิ่งทั้งหลายทั้งปวงมันอยู่กับเราเพียงแค่ชั่วคราว เพราะว่าแท้จริงแล้วเราไม่ได้เป็นเจ้าของมันเลย หรือว่าให้เรานึกว่า เราเพียงแค่เอาเขามาอยู่กับเราเพียงแค่ชั่วคราว แต่ไม่ใช่เจ้าของ
ถ้าเตือนใจเราแบบนี้ว่า สิ่งที่เรามี มันอยู่กับเราแค่ชั่วคราว เราไม่ใช่เจ้าของมันอย่างแท้จริง พอมันถึงเวลา มันไปจากเรา เราก็ไม่ทุกข์มาก แต่คนเราก็ไม่ได้เตือนตนอย่างนี้เท่าไรจนกว่าจะสูญเสียสิ่งเหล่านั้นไป แต่ก็ยังไม่สายที่เราจะเอาความสูญเสียนั้นมาเป็นเครื่องเตือนใจว่า ทั้งหลายทั้งปวงที่มีอยู่หรือเหลืออยู่และที่ยังมีอยู่ต่อไป มันอยู่กับเราเพียงแค่ชั่วคราว มันไม่ใช่ของเราเลยอย่างแท้จริง
มีผู้หญิงคนหนึ่ง บ้านถูกน้ำท่วมหนักมาก ก็ไม่ต่างจากบ้านหลายคน ก็เสียใจคับแค้นใจ แต่ว่าเธอก็เสียใจได้ไม่นาน เธอก็ได้คิดว่า น้ำท่วมมาสอนเรานะว่า ไม่มีอะไรที่เป็นของเราอย่างแท้จริงเลย ทรัพย์สมบัติที่มี มันก็อยู่กับเราเพียงแค่ชั่วคราว วันดีคืนดีน้ำก็พัดพาไป หรือว่าท่วมจนเสียหาย หรือมิเช่นนั้นไฟก็ไหม้ เธอก็เสียเยอะ รถก็ถูกน้ำท่วม ข้าวของในบ้าน เฟอร์นิเจอร์ทั้งหลาย เสียหายหมด
แต่ว่าการที่เสียทรัพย์ ได้ข้อคิดและคติธรรม ได้ปัญญาว่า รถยนต์ก็หาใหม่ได้ ทรัพย์สมบัติหลายอย่างก็หาใหม่ได้ แต่ว่าได้คติธรรมหรือปัญญาที่ว่านี้มีเงินเท่าไหร่ก็ซื้อไม่ได้ เมื่อเธอได้คิดแบบนี้ได้ปัญญาแบบนี้ ต่อไปพอสูญเสียอะไรอีกมันก็ไม่ทุกข์แล้ว เพราะว่าเตือนใจไว้ตั้งแต่ตอนที่มีสิ่งเหล่านั้น ตอนที่มีสิ่งเหล่านั้นหรือได้อะไรมาก็เตือนใจไว้ว่ามันอยู่กับเราเพียงแค่ชั่วคราว ไม่นานก็จากเราไป เพราะไม่มีอะไรที่เป็นของเราอย่างแท้จริง
พูดง่ายๆคือว่า ไม่ไปยึดอะไร ในสิ่งทั้งหลายทั้งปวงว่าเป็นของเรา หลวงพ่อพุทธทาสท่านพูดไว้ให้เป็นข้อคิดที่ดีว่า ถ้าจะอยู่ในโลกนี้ อย่างมีสุข อย่าประยุกต์สิ่งทั้งผอง เป็นของฉัน ก็คืออย่าไปยึดมั่นสิ่งทั้งหลายทั้งปวงว่าเป็นของฉัน เป็นของกู มองว่าเราแค่หยิบยืมมาใช้ชั่วคราว ที่จริงแม้กระทั่งร่างกายของเราก็เหมือนกัน ไปคิดว่าเป็นของเรา เป็นของกู ไม่ได้เลย เพราะว่า ขืนไปยึดแบบนั้นก็จะมีความทุกข์ในยามที่มันแก่ชรา ในยามที่มันเสื่อม ในยามที่เจ็บป่วย หรือในยามที่มันหมดลม
อะไรก็ตามที่เรายึดว่าเป็นของเรา เราก็กลายเป็นของมันทันทีเลย อย่างที่เคยพูดไว้หลายครั้งแล้ว ลองพิจารณาดูว่าจริงไหม ยิ่งยึดมั่นถือมั่นว่า เป็นของเราๆมากเท่าไหร่ เราก็กลายเป็นของมันอย่างแน่นหนา ทันทีเลย ทำอย่างไรเราถึงจะไม่เป็นของมัน ก็อย่าไปยึดมั่นว่า มันเป็นของเรา โดยเฉพาะทรัพย์สมบัติเช่น เงินทอง ถ้าเราเผลอเมื่อไหร่ ไปคิดว่ามันเป็นของเรานี่ เราเป็นของมันทันที
เราต้องเปลี่ยนใหม่ว่า เราไม่ใช่ของมัน เราก็เป็นนายมันได้เลย จะทำอย่างนั้นได้ ก็จะต้องไม่ยึดมั่นว่า มันเป็นของเรา พอเราไม่ยึดมั่นว่ามันเป็นของเรา เราก็เป็นนายมันเลย
หลวงพ่อคูณ ท่านพูดไว้ดีเรื่องเงิน ท่านพูดอย่างชนิดที่เรียกว่าถึงลูกถึงคนมาก ท่านบอกว่า กูใช้เงินนี่อย่างไม่มีเมตตากรุณาเลย กูใช้มันอย่างทารุณมาก เพราะมันเป็นทาสของกู กูเป็นนายมัน กูใช้คน กูมีเมตตาแต่กูใช้เงินไม่มีเมตตาเลย ไม่มีวันหยุดเลย ใช้มันแม้กระทั่งเสาร์อาทิตย์ ใช้ยังไงก็คือแจก
ท่านบอกว่านัดคนมารับเงินทุกวันเลย ต้องแจกให้ได้อย่างน้อยวันละหมื่น นี้คือสมัยที่ท่านยังไม่ได้มีทรัพย์มาก หรือมีคนบริจาคมาก ท่านพูดไว้เด็ดมากเลยนะว่า กูใช้มันอย่างทารุณมาก ใช้มันอย่างไม่มีเมตตากรุณา ใช้อะไร คือแจก ถ้าเก็บเอาไว้ เราก็กลายเป็นทาสของมัน คอยปกปักรักษามัน วิธีที่ท่านจะขึ้นมาเป็นนายของเงิน ก็คือใช้มัน คือการสละ คือการบริจาค คือการให้
เพราะว่าไม่ได้ยึดว่ามันเป็นของกู หรือถึงจะมีความยึดอย่างนั้นอยู่ แต่ว่าการสละออกไป การให้ การบริจาค มันก็ช่วยลดความยึดมั่นในความมีของกู เพราะฉะนั้นถ้าไม่อยากให้เราตกเป็นทาสของเงิน หรือตกเป็นทาสของทรัพย์ เราต้องใช้มัน ใช้มันอย่างทารุณยิ่งดีเลย มันจะไม่มีโอกาสเผยอขึ้นมาเป็นนายเหนือหัวเรา
อันนี้เป็นวิธีการของหลวงพ่อคูณ ที่เราก็เอามาใช้ได้ วิธีการที่ตัดช่องทางที่มันจะมาเป็นนายเรา ก็ด้วยการที่เราทำให้มันเป็นทาสของเรา ใช้มันอย่างทารุณ คือให้ ให้มันอย่างไม่มีวันหยุด เสาร์อาทิตย์ก็ให้ มันก็ปิดช่อง ไม่ให้กิเลส ตัณหา อุปาทานเข้ามาครอบงำจิต จนไปหลงผิดว่า เงินเป็นของเรา
นอกจากการตระหนักว่า สิ่งที่เรามีไม่ว่าอะไรก็ตาม มีแล้วก็หมด ได้แล้วก็เสีย อยู่กับเราเพียงแค่ชั่วคราว เราไม่สามารถจะเป็นเจ้าเข้าเจ้าของมันอย่างได้แท้จริง ในระหว่างที่มีในระหว่างที่ใช้มัน มีความสุขมีความสบาย ก็ต้องเตือนใจอยู่เหมือนกันว่า มันเป็นสุขที่เจือไปด้วยทุกข์ ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นอะไรก็ตาม เงิน โทรศัพท์ บ้าน รถยนต์ ให้ความสะดวกสบายกับเรา แต่มันก็เป็นภาระให้กับเราไม่ใช่น้อยเลย ภาระในการดูแล ภาระในการรักษา
ยังไม่นับว่า เมื่อถึงเวลาที่มันสูญหาย หรือว่าเสียหายไป มันก็สร้างทุกข์ให้กับเรามากกว่าตอนที่เราไม่มีมันเสียอีก เมื่อเราตระหนักว่าความสุขที่มี หรือที่เกิดขึ้นในระหว่างที่ใช้มันนี้ มันเจือไปด้วยทุกข์ เราก็จะได้ไม่ไปหลงยึดมัน หรือเพลินกับมัน
มีผู้ชายคนหนึ่ง เขาเป็นเจ้าของธุรกิจโรงแรม เขามีความใฝ่ฝันที่จะเป็นเจ้าของโรงแรมมาตั้งแต่วัยรุ่นแล้ว สุดท้ายเขาก็ดิ้นรนขวนขวาย จนกระทั่งได้เป็นเจ้าของโรงแรม หลังจากนั้นเขาก็มีกิจการอีกหลายแห่ง แต่โรงแรมเป็นสิ่งที่เขารักมาก แต่ต่อมาเกิดวิกฤตจากโควิด โรงแรมได้รับผลกระทบมาก ขาดทุนไปมากมาย ตัวเองก็มีอายุมาก ไม่มีเวลาที่จะมาดูแลหรือว่าพาโรงแรมให้พ้นจากวิกฤต ลูกเองก็ไม่ได้สนใจเพราะลูกก็มีความฝันอย่างอื่น
ทั้งที่โรงแรมเป็นธุรกิจที่เขารักมาก ไม่ได้คิดที่จะทำเงินหรือเอากำไร แต่ว่ามันเป็นธุรกิจ เป็นกิจการที่ชอบ ใฝ่ฝันมาตั้งแต่เล็ก แต่สุดท้ายก็ต้องขาย มีคนถามว่ารู้สึกยังไง หลังจากที่ขายโรงแรมที่รักไป เขาตอบดี เขาตอบว่าโล่งอก ไม่ได้เสียใจเลย
จะคิดแบบนี้ได้ หรือจะรู้สึกแบบนี้ ส่วนหนึ่งก็คงเพราะว่า รู้ว่าโรงแรมแม้จะเป็นสิ่งที่เขารัก แต่ว่ามันก็เป็นภาระเหมือนกัน ไม่ได้ฝันหวานว่ามีแต่ความสุข หรือฝันหวานว่ามีแต่ความสุข เพราะมันเจือไปด้วยทุกข์ด้วย เพราะฉะนั้นพอสูญเสียโรงแรมนั้นไป ก็ไม่เสียใจ กลับรู้สึกโล่งอก แล้วก็สามารถเดินหน้าต่อไปได้
มีอะไรก็ตาม แม้มันจะให้ความสุขกับเราก็เตือนตน หรือว่าหมั่นพิจารณาอยู่เสมอว่า มันก็มีความทุกข์แฝงอยู่ ทุกข์มันแฝงอยู่ในความสุขเสมอ ไม่ว่าเราจะนั่งในท่าที่สบายแค่ไหน ให้เราสังเกตดูอยู่ในท่านั้นไม่ได้นานหรอก เดี๋ยวก็เมื่อยแล้ว ไม่ว่าจะเอนหลัง พิงเสา ไขว่ห้าง หรือแม้กระทั่งเอนกายลงนอน
แม้แต่นอนที่ใครๆก็คิดว่าเป็นท่าที่สบายสบาย พอนอนไปสักพักก็ต้องขยับ เพราะถ้าไม่ขยับก็จะเมื่อย ความเมื่อยที่ปรากฏมันก็คือทุกข์นั่นแหละที่มันแฝงอยู่ในความสุขความสบาย ซ่อนอยู่ในท่าที่เราคิดว่าผ่อนคลายในที่สุด ทุกข์มันเจออยู่ในสุขอยู่เสมอ
มันก็คงเหมือนกับกินปลาก็ต้องมีก้าง ถ้าคนที่ไม่รู้ว่าปลามีก้าง ก็อาจจะมีก้างติดคอ ถ้าคนที่รู้ว่าปลามีก้างก็จะกินอย่างระมัดระวัง ก็ทำให้ไม่ต้องเจอความทุกข์เพราะว่าก้างติดคอ อันนี้ก็หมายความว่า คนเราจะมีอะไรก็มีได้ แต่ว่าก็ขอให้มีอย่างรู้เท่าทัน รู้เท่าทันในความเป็นอนิจจังของมัน แล้วก็รู้เท่าทันในทุกข์ที่มันซุกซ่อนอยู่ ที่มันแฝงอยู่
ฉะนั้นถ้าเราเตือนใจอยู่เสมอ ว่าอะไรๆก็ไม่เที่ยง สิ่งที่เรามี ก็ไม่เที่ยง ไม่ใช่ว่าสิ่งที่มีอย่างเดียว สิ่งที่เราเป็นด้วย เป็นอะไรก็ตาม โดยเฉพาะเป็นในสิ่งที่ใครๆอยากจะเป็น ปรารถนาจะเป็น เช่น เป็นอธิบดี เป็นปลัดกระทรวง เป็นผู้ว่า ไม่ว่าเป็นอะไรก็กลายเป็นอื่นได้เสมอ เพราะเป็นของชั่วคราว
แต่ถ้าไปหลงคิดว่า มันเป็นของเราจริงๆ อันนี้จะทุกข์มากเลย อย่างที่เคยเล่า ผู้ว่าจังหวัดใหญ่จังหวัดหนึ่ง จังหวัดเกรดเอ พอเกษียณแล้ว กลายเป็นคนธรรมดา เสียศูนย์ไปเลย ทำใจไม่ได้เพราะว่าอำนาจที่เคยมีหายหมด บริษัทบริวารที่เคยห้อมล้อมก็หายไปหมด เพราะไปหลงคิดว่าเราเป็นอย่างนั้นจริงๆ แม้กระทั่งสมณศักดิ์อันสูงส่งก็เหมือนกัน
มีเรื่องเล่าว่า หลวงพ่อโต ในบั้นปลายชีวิตของท่าน ท่านได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นสมเด็จพระพุฒาจารย์ ก็สูงมาก วันหนึ่ง ท่านได้รับนิมนต์ไปในสวนแห่งหนึ่งแถวราษฎร์บูรณะ ต้องพายเรือเข้าไปทางคลองเล็กๆ คลองหนึ่ง ท่านเอาพัดยศไปด้วย เพราะเป็นงานใหญ่ ปรากฏว่าวันนั้นน้ำลด เรือเข้าคลองไม่ได้ ทั้งที่เรือลำเล็ก เรือสำปั้น ทั้งที่มีลูกศิษย์ แต่ลูกศิษย์เข็นเรือไม่ไหว ท่านก็ลงไปเข็นเรือด้วย
คนแถวนั้นเห็นแล้วก็จำท่านได้ ก็ตะโกนบอกต่อๆกันไปว่า สมเด็จเข็นเรือโว้ยๆ เพราะไม่เคยเห็น หลวงพ่อโตท่านได้ยิน ท่านก็เลยพูดกับชาวบ้านแถวนั้นว่า ฉันไม่ใช่สมเด็จจ้า ฉันชื่อขรัวโตจ้า สมเด็จอยู่ที่เรือ แล้วท่านก็ชี้ไปที่พัดยศที่ปักตั้งไว้ตรงกลางเรือ คือท่านได้รับสมณศักดิ์เป็นสมเด็จ แต่ท่านรู้ว่าเป็นแค่สมมุติ ท่านก็ไม่สำคัญมั่่นหมาย รู้ว่าเป็นแค่หัวโขน
ถ้าคิดแบบนี้ ทำใจแบบนี้ ถึงเวลาที่แปรเป็นอื่น หรือสูญเสียสิ่งที่มีไป หรือสูญเสียสิ่งที่เป็น มันก็ไม่ทุกข์ เรามีอะไรก็มีได้ แต่ว่าต้องมีให้เป็น ถ้ามีไม่เป็นก็เป็นทุกข์ เป็นอะไรก็ตาม ต้องเป็นให้ถูก ถ้าเป็นไม่ถูกก็ยากที่จะมีความสุขได้
เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะมีอะไรก็ตาม จะเป็นอะไรก็ตาม ก็หมั่นเตือนใจอยู่เสมอว่า มันเป็นของไม่เที่ยง มันมาแล้วก็หมด ได้แล้วก็เสีย เป็นของไม่ยั่งยืน แม้ว่ามันจะให้ความสุขกับเรา แต่มันก็เจือไปด้วยทุกข์ และสุดท้ายเมื่อสูญเสียมันไป ก็มีแต่ทุกข์สถานเดียวถ้าไปยึดมั่นถือมั่น ในทางตรงข้าม รู้จักใช้มัน ใช้มันเยี่ยงนาย ใช้มันในฐานะผู้เป็นนาย มันก็ยากที่จะมีความทุกข์ในสิ่งที่มี ในสิ่งที่เป็น
- พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมเย็นวันที่ 5 ตุลาคม 2564