แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
เมื่อ 10 ปีที่แล้ว มีเหตุการณ์สะเทือนขวัญเกิดขึ้นที่ประเทศนอร์เวย์ คือมีการสังหารหมู่คนตายถึง 77 คน ฆาตกรมีเพียงแค่คนเดียว เป็นคนนอรเวย์นั่นแหละ เขาอ้างว่าที่ก่อเหตุก็เพื่อประท้วงนโยบายของรัฐบาลที่ส่งเสริมความหลากหลายทางวัฒนธรรม เปิดโอกาสให้คนต่างชาติต่างศาสนา โดยเฉพาะคนมุสลิมเข้ามาอยู่อาศัยในประเทศ ซึ่งเขามองว่ามันเป็นการทำลายความบริสุทธิ์ของนอร์เวย์ เป็นการทำลายประเทศนอร์เวย์
ผู้ที่ตายส่วนใหญ่ก็เป็นเยาวชน ไปเข้าค่ายเยาวชนของรัฐบาลในเกาะแห่งหนึ่ง ฆาตกรปลอมตัวเป็นตำรวจ พอไปถึงค่ายก็เปิดฉากกราดยิงทุกคนที่ขวางหน้า หรือว่าอยู่ในสายตา แต่ว่าจำนวนไม่น้อยหลบซ่อนอยู่ในอาคารในห้องประชุม ฆาตกรชื่อ อันเดอร์ส เบรวิก เขาเข้าไปในห้องประชุมแล้วก็จ่อยิงทีละคน ๆ ผู้ที่เป็นเหยื่อก็คงไม่เชื่อว่า เขาจะทำอย่างนั้นได้ เพราะว่าไม่มีใครต่อสู้ เรียกว่ายอมแพ้
แต่ว่าฆาตกรก็จะถือเป็นโอกาสที่จะปลิดชีพทีละคนๆ ด้วยวิธีการเอาปืนจ่อหัวยิง ที่ตายในลักษณะนี้เกิน 70 คน สุดท้ายเขาก็ถูกจับ จะเรียกว่าเขาโชคดีหรือโชคร้าย ที่เขาไม่ได้ถูกวิสามัญฆาตกรรม ตำรวจก็จับเป็น เขาก็ยอมให้จับ ตอนที่ขึ้นศาล เขาก็เล่าว่าอะไรคือแรงจูงใจให้เขาทำอย่างนั้น แล้วเขาก็เล่าถึงเหตุการณ์ที่ฆ่านักศึกษา เยาวชน เขาก็ยอมรับว่าการกระทำของเขา มันโหดร้าย มันผิดธรรมชาติของมนุษย์ แต่ว่าก็จำเป็นต้องทำ
ที่มันน่าสนใจและน่าตกตะลึงก็ได้ ก่อนที่จะก่อเหตุ เขาไปฝึกนั่งสมาธิมาเป็นปี เพื่อว่าเขาจะได้สามารถที่จะข่มอารมณ์ ข่มใจ ไม่ให้หวั่นไหวเวลาสังหารเหยื่อทีละคนๆ เพราะเขารู้ว่า ถ้าเขาไม่ฝึกจิต เขาก็คงจะทำงานนี้ไม่สำเร็จ และสุดท้าย เขาคิดว่าเขาทำสำเร็จ เพราะว่าเขาสามารถฆ่าคนได้อย่างเลือดเย็นโดยไม่สะทกสะท้าน โดยใช้สมาธิเป็นเครื่องข่มใจ หรือจะพูดว่าเขาฆ่าคนอย่างมีสมาธิก็ได้ ซึ่งไม่ใช่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเอง แต่ต้องอาศัยการฝึกฝน ตระเตรียมตัวเองมาเป็นปีเลย
พอเขาเล่า สารภาพ วิธีการตระเตรียมของเขา โดยเฉพาะการฝึกสมาธิก่อนที่จะก่อเหตุ คนก็ตกตะลึงเพราะว่าคนทั่วไปหรือว่าฝรั่ง เวลาพูดถึงสมาธิ เขาก็นึกถึงศาสนา ไม่ว่าจะเป็นศาสนาพุทธหรือว่าศาสนาฮินดู หรือว่าศาสนาทางตะวันออก ซึ่งก็ล้วนเป็นศาสนาที่สอนเรื่องสันติ เรื่องอหิงสา เรื่องเมตตากรุณา เขาก็เลยงงมากเลยว่า ทำไมสมาธิมีส่วนในการก่อเหตุสังหารโหดอย่างนี้ด้วย
ที่จริงสมาธินี่มันก็เป็นของกลางๆ มันก็มีมาก่อนพระพุทธศาสนา สมาธิก็เป็นสิ่งที่ไม่ใช่เฉพาะคนที่นับถือศาสนาบำเพ็ญเท่านั้น คนทั่วไป อาชีพต่างๆเขาก็ใช้สมาธิเหมือนกัน แม้กระทั่งเพชฌฆาต เวลาจะเอาขวานหรือเอามีดตัดคอคน เขาก็ต้องใช้สมาธิมาก เพราะไม่เช่นนั้น เขาก็อาจจะฟันผิด สมาธิจะเรียกว่าเป็นเครื่องมือที่จะใช้ทำอะไรก็ได้ มันไม่ได้จำเป็นว่า จะต้องเป็นสิ่งที่ใช้เพื่อบรรลุถึงวัตถุประสงค์ทางศาสนา เช่น ความพ้นทุกข์
แต่กรณีของเบรวิกนั้น ชี้ให้เห็นว่า สมาธิ สามารถจะถูกนำไปใช้ในทางที่เลวร้ายก็ได้ ที่จริงในทางพุทธศาสนามีคำว่ามิจฉาสมาธิ มิจฉาสมาธิคือ สมาธิที่ใช้เพื่อการทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง หรือว่าทำไปตามอำนาจของกิเลสก็ได้ จะเรียกว่ามิจฉาสมาธิ ตรงข้ามกับสัมมาสมาธิในพระพุทธศาสนา
คนเรา บางครั้งเวลาทำชั่ว ก็ต้องอาศัยสมาธิในการทำให้เกิดจิตที่แน่วแน่ในการทำสิ่งนั้นได้สำเร็จ การใช้สมาธิเพื่อประโยชน์ในการทำศึกสงครามมีก็มีอยู่เยอะ ญี่ปุ่นสมัย 300-400 ปีมีขุนพลคนหนึ่ง ฮิเดโยชิ มีชื่อมาก เพราะว่าเป็นบุคคลสำคัญในการรวมประเทศญี่ปุ่น มี 2-3 คนที่รวมประเทศญี่ปุ่นที่เคยเกิดศึกสงครามกันเป็นร้อยๆปีจนกระทั่งประเทศเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันแล้วเกิดความสงบขึ้นมา
ฮิเดโยชิ เป็นขุนพลที่เก่งมาก ไม่ว่าจะทำศึกสงครามเสร็จหรือว่าก่อนจะไปทำศึกสงคราม มีสิ่งหนึ่งที่เขาทำอยู่บ่อยๆก็คือ การทำสมาธิโดยอาศัยใช้วิธีชงน้ำชา วิธีชงน้ำชา เป็นวิธีที่จริงๆแล้วมันเกิดมาจากนิกายเซนในพุทธศาสนา เป็นกิจกรรมหนึ่งหรือเป็นวิธีในการที่จะสร้างสมาธิให้กับพระในนิกายเซน เพราะฉะนั้นก็จะมีพิธีกรรมที่ค่อนข้างละเมียดละมัยและก็เนิบช้า ซึ่งก็มีความหมายทางศาสนาโดยเฉพาะในทางที่ลดอัตตาตัวตน
แต่สำหรับฮิเดโยชิ วิธีชงน้ำชาเพื่อทำให้ตัวเองมีสมาธิจิตใจสงบ สงบจากความรุ่มร้อน สงบจากความเครียด ไม่ว่าจะเป็นก่อนหรือหลังจากไปทำศึกสงคราม เขาชอบมาก การทำสมาธิโดยอาศัยวิธีชงน้ำชา และสมาธิคงมีส่วนช่วยทำให้เขาประสบความสำเร็จในการทำศึกสงคราม
ที่จริงทุกวันนี้ การทำสมาธิก็เป็นที่แพร่หลายกันมากขึ้น ควบคู่ไปกับการเจริญสติ สำหรับฝรั่งการทำสมาธิกับการเจริญสติ มันใกล้เคียงกันมาก คนไทยส่วนใหญ่ก็มองอย่างนั้น ในต่างประเทศโดยเฉพาะในสังคมตะวันตก การทำสมาธิก็ดี การเจริญสติก็ดี ได้รับความนิยมมาก โดยเฉพาะในหมู่คนที่มีการศึกษา คนที่อยู่ในบริษัท หรือว่าทำกิจการต่างๆที่ใช้ความคิด ใช้หัวสมอง พวกนี้สนใจทำสมาธิกันมาก เพราะอะไร เพราะว่าจะได้ลดความเครียด
คนเหล่านี้ ขยันก็จริง เก่งก็จริง แต่ว่ามีปัญหาความเครียด ชีวิตที่เร่งรีบ การงานที่แข่งขัน แล้วก็คู่แข่งที่มากมาย มันก็ทำให้คนเหล่านี้จิตใจว้าวุ่นฟุ้งซ่านมาก ใช้ความคิดจนกระทั่งหยุดความคิดไม่อยู่ เกิดปัญหานอนไม่หลับ ต้องกินยานอนหลับ ยังไม่พอต้องยาระงับประสาท ตอนหลังพอมาเจริญสติ มาทำสมาธิ จิตใจก็สงบ นอนหลับได้ โดยที่ไม่พึ่งยา ทำให้ทำงานได้ดี มีประสิทธิภาพมากขึ้น
แต่ว่ามันก็ทำได้แค่นั้น หรือว่าวัตถุประสงค์ของเขา เขาต้องการแค่นั้น ซึ่งที่จริงแล้วมันไม่ได้ตรงกับจุดมุ่งหมายทางพุทธศาสนาในการทำสมาธิก็ดี การเจริญสติก็ดี เป็นไปเพื่อลดละกิเลส มันไม่ใช่แค่ทำให้จิตใจผ่อนคลายความเครียด แต่ว่าการทำให้กิเลสเบาบางลง เป็นการทำให้ความเห็นแก่ตัวลดน้อยลง และเป็นพื้นฐานไปสู่การเกิดปัญญา จนกระทั่งลดความยึดติดถือมั่นในตัวตน มันเป็นรากเหง้าหรือที่มาแห่งความสงบเย็นอย่างแท้จริง
แต่คนจำนวนไม่น้อยก็ใช้สมาธิก็ดี การเจริญสติก็ดี เพียงแค่เพื่อทำให้ใจสงบจากความฟุ้งซ่าน และบางทีก็เข้าใจว่านี่คือการปฏิบัติธรรม มันก็ไม่ผิด แต่ว่ามันยังไม่ถูกทั้งหมด เพราะว่าถ้าเป็นการปฏิบัติธรรมในพุทธศาสนา มันต้องไม่ใช่เพียงแค่ทำให้ใจสงบจากความฟุ้งซ่าน แต่ว่าทำให้กิเลสบรรเทาเบาบาง โลภะ โทสะ โมหะ มันลดน้อยลง ที่จริงโลภะไม่ลด โทสะ โมหะไม่เบาบาง มันก็ยากที่จะผ่อนคลายจากความเครียด
คนที่ทำสมาธิ ถ้าหากว่าทำเป็นแค่ทำให้ความคิดมันหยุด หรือว่าจิตมันนิ่ง หรือแม้แต่เจริญสติเพื่อรู้ทันความคิด จนกระทั่งวางความคิดได้ หากว่าไม่ล้วงลึกจนถึงการลดกิเลส หรือว่าตัณหา อุปาทาน มันก็ยังมีความเครียด มีความทุกข์ใจอยู่ จริงๆเวลาเราทำสมาธิก็ดี เพียงแค่สงบจากความคิด สงบจากความฟุ้งซ่าน มันยังไม่พอ มันเป็นความสงบชั่วคราว ถ้าหากว่าทำแค่นั้นแหละ
ถ้าหากว่าตั้งใจจะปฏิบัติธรรมจริงๆ มันต้องสามารถที่จะพิจารณาจนเห็นลึกลงไปถึงรากเหง้าของความเครียด ว่าเครียดเพราะอะไร ถ้ามาดูพิจารณาความเครียดก็จะพบจิตใจมันรุ่มร้อนเพราะว่า อยากได้ไม่รู้จักจบ ไม่รู้จักสิ้น ได้มากแล้วก็ยังไม่พอ อยากจะได้อีก รุ่มร้อนหรือร้อนใจเพราะว่าคนอื่นเขาได้มากกว่า ก็เกิดความอิจฉา เกิดความร้อนใจ
หรือว่าเกิดความขุ่นเคืองใจเมื่อถูกตำหนิถูกวิพากษ์วิจารณ์หรือแม้กระทั่งมีคนมาแนะนำ ก็รู้สึกเสียหน้า เกิดความขุ่นมัวขึ้นมา หรือเศร้าโศกเสียใจเพราะว่าสูญเสียสิ่งรัก พลัดพรากของรัก กำไรหดหาย ราคาหุ้นมันตก ก็เครียดขึ้นมาเลยจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ
เพราะฉะนั้น หากไม่สาวไปจนเห็นสมุทัยของความเครียด สมาธิที่ทำอยู่มันก็แค่ทำให้สงบเป็นพักๆ เป็นคราวๆ ไม่ว่าจะอาศัยโดยการทำสมาธิหรือการเจริญสติปัฏฐานก็ตาม มันเหมือนกับกินยาแอสไพรินแก้ปวด กินแล้วมันก็หาย แต่มันหายปวดชั่วคราว ไม่นานก็ปวดใหม่ เพราะว่าไม่ได้บำบัดไปถึงรากเหง้าหรือว่าหรือว่าตัวสมุทัยที่แท้
สำหรับชาวพุทธ เพียงแค่ใจสงบจากการเจริญสติ จากการทำสมาธิ มันไม่พอ มันต้องทำต่อไป จนกระทั่งโลภะ โทสะ โมหะ มันเบาบาง เวลาเราเจริญสติ ทำสมาธิ และเรารู้สึกว่าจิตใจสงบ ต้องถามตัวเองว่าตอนนี้โลภะมันลดลงไหม โทสะมันเบาบางลงหรือเปล่า โมหะหรือความหลงนี้มันลดลงไหม
บางคนแม้ว่าใจจะสงบ หรือพบความสงบจากการทำสมาธิการเจริญสติ แต่ว่าโลภะไม่ลดลงเลยหรือบางทีมันก็เอาแฝงมาไม่รู้ตัว อาตมาเคยไปแสดงธรรม เอาหนังสือไปแจกผู้ที่มาฟังธรรม หนังสือจำนวนพอดีกับคนที่มาฟังธรรม แต่ว่าหนังสือมีหลายหัวหลายปก ก็เลยบอกให้คนที่มาฟังธรรม รับไปคนละเล่ม มีหลายคนพอรู้ว่าหนังสือมีหลายหัว เขาก็อยากได้ทุกเล่มเลย แล้วมารับไปหยิบไปเกินกว่า 1 เล่ม มันก็ทำให้คนอื่นที่มาทีหลังไม่ได้ เพราะหนังสือมันหมด ซึ่งเอามาพอดีคน
อันนี้ก็เป็นความโลภ แทนที่จะรับไป 1 เล่ม แต่มาเอาอีกเล่ม ทั้งที่มาฟังธรรมแต่ว่าก็ยังไม่รู้ทันความโลภ ปล่อยให้ความโลภครอบงำใจ อย่าไปคิดว่าความโลภหมายถึงว่า อยากรวย หรือว่าไปแสวงหาเงินเป็นล้านๆ บางทีความโลภมาในรูปที่เนียนๆดูเหมือนน้อย ก็อยากได้หนังสือสองเล่ม ถึงแม้ว่าจะบอกแล้วว่าให้คนละเล่ม ไม่สนใจ ก็ฉันอยากได้ 2 เล่ม โดยที่ไม่สนใจว่าคนอื่นเขาจะไม่ได้รับหนังสือแจก อันนี้ก็เป็นความโลภอย่างหนึ่ง ซึ่งบางทีนักปฏิบัติธรรมหรือผู้ใฝ่ธรรมก็ไม่สังเกต ไม่รู้ทัน
โทสะก็เหมือนกัน มาปฏิบัติธรรมแล้วโทสะมันน้อยลงไหม หรือว่ายิ่งปฏิบัติธรรม ยิ่งทำสมาธิ ยิ่งเจริญสติโทสะยิ่งเกิดขึ้นง่าย หงุดหงิดคนได้ง่ายเพราะว่าส่งเสียงดัง รบกวน แต่ก่อนมาปฏิบัติธรรม ก่อนที่จะมาเจริญสติทำสมาธิ เสียงดังยังไงก็เฉย แต่ตอนหลัง เสียงดังนิดดังหน่อยก็ไม่ได้ รู้สึกรำคาญ รู้สึกหงุดหงิด อย่างนี้เรียกว่าถอยหลัง เพราะว่าก่อนปฏิบัติไม่หงุดหงิดกับเสียง แต่พอปฏิบัติแล้วกลายเป็นคนหงุดหงิดง่ายเจ้าอารมณ์
โมหะก็เหมือนกัน ความหลง มันไม่ใช่แค่ความไม่รู้สึกตัว ซึ่งก็เป็นเรื่องสำคัญ อย่างกรณีของเบรวิกแม้ว่า เขาทำสมาธิเป็นปี แต่ว่าโทสะก็ไม่ได้ลด กลับรุ่นแรงมากขึ้นถึงกับฆ่าคนอย่างเลือดเย็น และโมหะก็หนาแน่นมาก โมหะในที่นี้ในกรณีของเขาคือความสำคัญผิดว่า เชื้อชาติของฉัน ผิวขาวมันประเสริฐที่สุด หรือว่าศาสนาของฉัน ศาสนาคริสต์นี้มันวิเศษที่สุด คนผิวคล้ำ คนเชื้อชาติอื่น คนศาสนาอื่นนี้ มันจะเป็นสิ่งที่นำมลทินมาสู่ประเทศของฉัน ทำให้ประเทศของฉันแปดเปื้อนต่ำทราม
อันนี้คือโมหะที่มันสามารถจะทำให้กลายเป็นฆาตกรที่น่ากลัวมาก สมาธิภาวนาไม่ได้ช่วยเลย เพราะว่าไม่ได้เป็นสมาธิที่ลดละกิเลส กลายเป็นเครื่องมือของกิเลส สมาธิถ้าไม่ได้นำไปใช้เพื่อลดละกิเลส ต้องระวังเลย มันจะกลายเป็นเครื่องมือของกิเลส อาจจะไม่ถึงกับไปฆ่าคน แต่อาจจะเป็นเครื่องมือในการกอบโกย
แต่นักธุรกิจจำนวนไม่น้อยนั่งสมาธิ มีจิตสงบ จะได้มีสมาธิในการคิดเพื่อที่จะเอาเปรียบผู้อื่น เพื่อที่จะทำลายคู่แข่งขัน หรือว่ากอบโกยกำไรให้ได้มากที่สุด โดยที่ไม่สนใจว่าจะเกิดผลกระทบต่อผู้บริโภคหรือว่าต่อสิ่งแวดล้อมธรรมชาติ หรือว่าต่อคนเล็กคนน้อย เดี๋ยวนี้ก็มีเยอะ ใช้สมาธิเนี่ยเพื่อเป็นเครื่องมือของกิเลส สนองโลภะก็ดี
สนองโทสะอย่างเบรวิก เขาใช้โทสะ มันทำงานอย่างได้ผล หรือใช้กิเลสไปเพิ่มพูนความหลงให้มากขึ้น เกิดความหลงตัวลืมตนมากขึ้น เราต้องระวัง อันนี้ชาวพุทธเรามาปฏิบัติธรรม มาเจริญสติมาทำสมาธิภาวนา ต้องตรวจสอบอยู่เสมอว่ามาถูกทางไหม หรือว่ายิ่งปฏิบัติแล้วยิ่งเห็นแก่ตัวมากขึ้น สนใจแต่ตัวเอง ไม่สนใจคนอื่นและส่วนรวม มีงานส่วนรวมก็ไม่ช่วย ฉันจะขอปฏิบัติเพื่อพ้นทุกข์เฉพาะตัว ทั้งๆที่ตัวเองก็เป็นส่วนหนึ่งของส่วนรวม แต่ว่าไม่คิดที่จะรับผิดชอบส่วนรวม อย่างนี้ก็เป็นความเห็นแก่ตัวอย่างหนึ่งซึ่งมีไม่น้อยในหมู่คนที่มาปฏิบัติธรรม
ก็กลายเป็นว่าปฏิบัติธรรมเพื่อส่งเสริมกิเลส และส่งเสริมความเห็นแก่ตัว อย่างนี้เรียกว่ามาผิดทางแล้ว แม้เจริญสมาธิ มันก็เป็นมิจฉาสมาธิ แม้เจริญสติก็เป็นมิจฉาสติ เคยได้ยินไหมมิจฉาสติ สติมันไม่ได้มีแต่สัมมาสติ สมาธิก็ไม่ได้มีแต่สัมมาสมาธิ เพราะฉะนั้นเราต้องหมั่นตรวจสอบอยู่เสมอ หมั่นมองตน หมั่นสำรวจว่า กิเลสลดน้อยถอยลงไหม โลภะโทสะโมหะเบาบางลงไหม
ความยึดติดถือมั่นที่เรียกว่าอุปาทาน โดยเฉพาะอัตตวาทุปาทานคือความยึดติดในตัวตนมันเบาบางลงหรือเปล่า ถ้ามันไม่เบาบางลง ต้องระวังเพราะมันอาจจะเพิ่มมากขึ้นก็ได้ เพราะกิเลสมันก็สามารถที่จะใช้ทุกอย่างเพื่อส่งเสริมตัวมัน ใช้ธรรมะเพื่ออวดว่ากูเก่ง กูแน่ กูเป็นนักปฏิบัติธรรม อันนี้เขาเรียกว่าส่งเสริมอัตตา
กิเลสมันฉลาดมาก มันสามารถที่จะใช้ธรรมะเพื่อส่งเสริมตัวมัน อัตตาตัวตนก็เหมือนกันสามารถจะใช้ธรรมะเพื่อมาเพิ่มพูนสร้างความยิ่งใหญ่ให้กับตัวมัน และสุดท้ายมันก็นำผู้นั้นไปสู่ความทุกข์ ยากที่จะพบกับความสุขสงบเย็นได้ แม้ว่าจะทำสมาธิเจริญสติมามากมายเพียงใดก็ตาม
- พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมเย็นวันที่ 4 ตุลาคม 2564