แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ชีวิตคนเราไม่ว่าจะมีอายุยืนยาวแค่ไหน มันไม่ใช่ถนนที่ราบเรียบ มีบางช่วงที่ราบเรียบแต่ว่าก็มีหลายช่วงที่มันขรุขระเป็นหลุมเป็นบ่อ คนเราจะปรารถนาความสุขในชีวิต แต่ว่าความทุกข์ก็มักจะเกิดขึ้นกับเราอยู่เนืองๆ แม้เราจะไม่ชอบหรือแม้เราจะพยายามหลีกเลี่ยงก็ตาม
ความทุกข์บางอย่างเป็นของประเดี๋ยวประด๋าวชั่วคราว มาแล้วก็ไป แต่ความทุกข์ เหตุร้ายบางอย่าง มันก็อยู่กับเรายาวนาน อาจจะไม่ใช่หลายปี บางทีอาจจะตลอดชีวิตเลยก็ได้ อย่างเช่น ความสูญเสียอวัยวะคือพิการ หรือสูญเสียคนรักที่ล้มหายตายจากไป อย่างนี้มันไม่สามารถที่จะแปรเปลี่ยนอื่นได้ รวมทั้งความเจ็บป่วยโรคภัยบางชนิดมันก็อยู่กับเราอย่างยืดเยื้อยาวนาน เพราะว่าไม่มียารักษา ถ้ามาเจอแบบนี้เราก็ต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับความทุกข์ด้วยใจที่ปกติ มันเป็นศิลปะที่สำคัญจะเรียกว่าเป็นวิชาเอกของการดำเนินชีวิตก็ได้
มีผู้หญิงคนหนึ่ง เธอเป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง เพราะว่าเซลล์ประสาทที่ไขสันหลังมันผิดปกติ มีอาการตั้งแต่ยังเด็กเลย การเดินการเหินก็เริ่มขัดข้อง แต่เจ้าตัวก็ไม่รู้ว่าเป็นโรคอะไร จนกระทั่งพอโตขึ้นมาหน่อย 10 ขวบ 12 ขวบ ก็เริ่มรู้สาเหตุ อาการก็แย่ลงไปเรื่อยๆ การเดินมีปัญหา การใช้มือใช้แขนก็มีปัญหา แถมอวัยวะภายใน เช่น ปอดก็มีปัญหา การหายใจก็ติดขัด
ไปโรงเรียน ตอนหลังเดินไม่ได้ ขึ้นบันไดไม่ไหว พ่อก็ต้องอุ้มขึ้นบันได ไปเข้าชั้นเรียน จนเข้าสู่วัยรุ่น 14 15 พ่อก็เอาตัวเธอ แบก อุ้มขึ้นบันไดไปเข้าห้องเรียนไม่ไหวแล้ว ตัวเธอก็หนักขึ้น พ่อก็แก่ตัวลง ในขณะที่มือแขนเริ่มออ่นเปลี้ย ขานี้ไม่ต้องพูด สุดท้ายก็ต้องเลิกเรียน แล้วก็อยู่บ้าน เหมือนกับว่าในช่วงนั้นรอวันตายก็ได้เพราะว่าโรคนี้นับวันมีแต่ลุกลาม เลวร้ายลงไปเรื่อยๆ ปอดของเธอทำงานได้แค่ 10% ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ เกือบทั้งวันเลย
ชีวิตนี้ก็อยู่บ้านคนเดียวก็ว่าได้ในตอนกลางวัน เพราะว่าพ่อแม่ น้องสาวไปทำงาน ไปเรียนหนังสือ หงอยเหงาโดดเดี่ยว เหมือนกับว่ามันไม่มีอนาคต วันหนึ่งจากการอ่านนิยายที่ป้ายืมมาจากห้องสมุดมหาวิทยาลัย อ่านแล้วเกิดไฟขึ้นมาอยากจะเขียน ทีแรกก็เขียนด้วยคอมพิวเตอร์ก่อน ตอนหลังเขียนไม่ได้ นิ้วมือมีปัญหามีปัญหา ต้องเขียนด้วยโทรศัพท์มือถือ เอานิ้วจิ้มไปทีละตัวๆ แล้วก็มีนิ้วเดียวที่จิ้มได้ คือนิ้วชี้ข้างขวา
แต่ตอนหลังก็จิ้มไม่ค่อยได้ ต้องใช้ข้อนิ้วจิ้มเอา ตอนหลังนั่งจิ้มไม่ได้ ต้องนอนจิ้ม ต้องเอาโทรศัพท์มือถือวางไว้ข้างหมอนนอน นอนตะแคง เอามือพาดไปที่หน้าผาก ช่วยหายใจ เพื่อให้นิ้วไปสัมผัสที่คีย์บอร์ดได้สะดวก แล้วต้องใช้ข้อนิ้วกดไปทีละตัวๆแม้มันจะลำบาก แต่ว่าเธอก็มีความสุข เพราะว่าเธอได้เขียนนิยายที่เธอชอบ เธอพบว่าตัวเธอมีฉันทะในการเขียน วันหนึ่งเขียนได้แค่ครึ่งหน้าเท่านั้นแหล่ะ แต่เขียนทุกวันๆมันก็เป็นเล่ม
ทีแรกก็ไม่มีที่ไหนพิมพ์ เขียนไป 4-5 เล่ม ก็ยังไม่มีสำนักพิมพ์ใดรับพิมพ์ แต่ตอนหลังก็เริ่มมีสำนักพิมพ์สนใจ พอซื้อลิขสิทธิ์จากเธอไป เธอก็มีรายได้มาเลี้ยงครอบครัว ไม่ได้เป็นภาระอีกต่อไป ตอนหลังผลงานเธอก็ได้รับการต้อนรับมากขึ้น เธอเริ่มเขียนนิยายตั้งแต่อายุ 21 ตอนนี้ก็ 35 แล้วมั้ง ปรากฏว่าเขียนไปแล้ว 18-19 เล่ม บางเล่มก็ได้รางวัลด้วย ผู้หญิงคนนี้ชื่อแพรว ชีวิตเธอลำบากมาก ไม่รู้จะมีอายุยืนยาวแค่ไหน วันๆหนึ่งก็นอนเป็นส่วนใหญ่ ไปไหนมาไหนก็ต้องนั่งรถเข็น
ถ้าเป็นเรา ใช้ชีวิตแบบนี้ก็คงคงทุกข์ทรมานมาก แต่ว่าเธอแม้ว่าร่างกายจะทุกข์ แต่ว่าจิตใจนี่ไม่ได้ทุกข์ ไม่ได้บอบช้ำอะไรมากเท่าไหร่ ก็ยังมีไฟในการเขียนนิยาย บางทีก็เขียนสารคดี เอาชีวิตของเธอจะมาถ่ายทอด หรือบางเล่มก็ได้รางวัลทั้งที่โรคของเธอรักษาไม่หาย แล้วก็สร้างความทุกข์ให้กับร่างกายมากทีเดียว คิดดูหายใจได้แค่ 10% ของคนปกติ ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ แล้วก็ไม่รู้ว่ามันแย่ลงไปเมื่อไหร่
แต่เธอก็อยู่กับร่างกายที่เป็นเหมือนกรงขังได้ เธอเปรียบเทียบร่างกายของเธอเหมือนกรงขัง แต่ทั้งๆที่ติดคุกด้วยร่างกาย ใจก็ไม่ได้ทุกข์ทรมาน ก็มีอิสระที่จะจินตนาการเขียนเรื่องราวต่างๆได้ ก็เรียกว่ามีความสุขกว่าคนจำนวนไม่น้อยที่สุขภาพดี มีอวัยวะครบ 32 เดินเหินไปไหนมาไหนได้ เธอทำอย่างนั้นได้ยังไง อยู่กับความทุกข์ทางกายที่ไม่มีวันที่จะเยียวยารักษาได้จนตลอดชีวิตได้อย่างไร
เธอทำได้เพราะ หนึ่ง เธอยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น เมื่อยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นกับร่างกายของตัวเองได้ หรือยอมรับความทุกข์ที่เกิดขึ้น ใจ มันก็ทรมานน้อยลง แต่ถ้าใจยอมรับไม่ได้ อย่าว่าแต่ป่วยหนักแบบเธอ แค่ปวดเมื่อยธรรมดาหรือโดนยุงกัด มันก็ทุกข์ทรมานมาก แต่พอยอมรับได้ ความทุกข์ใจมันก็เบาบางลง ความทุกข์กายก็ไม่ใช่เป็นเรื่องที่สาหัสสากรรจ์อีกต่อไป ยอมรับได้เพราะว่ามันเป็นธรรมดา ยอมรับได้เพราะว่ามันเกิดขึ้นแล้ว
แต่ว่าไม่ใช่เพราะว่ายอมรับได้อย่างเดียว เธอเห็นประโยชน์ของสิ่งที่เกิดขึ้นด้วย การเห็นประโยชน์ก็อาจจะทำให้เธอยอมรับความทุกข์ที่เกิดขึ้นกับตัวเองได้ง่ายขึ้น เธอพูดถึงความทุกข์ของเธอได้น่าสนใจว่า ความทุกข์ให้อะไรกับเรามากกว่าความสุขซะอีก ความสุขมันทำให้ใจเราฟุ้งล่องลอย แต่ความทุกข์ทำให้เราอยู่กับตัวเอง อยู่กับความเป็นจริง ซึ่งมันดีกว่าการล่องลอยมาก ล่องลอยในที่นี้เธอคงหมายถึงความหลงความลืมตัว เธอสามารถจะเห็นความหมายของชีวิตจากความทุกข์ได้ หรือสามารถจะมองเห็นคุณค่าของมันอย่างที่คนธรรมดานี่ นึกไม่ออกมองไม่ได้ สิ่งที่เธอเห็นหรือมองความทุกข์ มันเป็นสัจธรรมเลยก็ว่าได้ เพราะความทุกข์ มันก็ทำให้เราได้อยู่กับตัวเองได้ อยู่กับความเป็นจริง แล้วก็ทำให้ได้เห็นต่อไปว่า ความทุกข์ที่แท้ เป็นความทุกข์ใจไม่ใช่ความทุกข์กาย ถ้าใจไม่ทุกข์แล้ว ทุกข์กายอย่างไรก็ไม่ใช่เป็นเรื่องที่เลวร้าย เป็นเรื่องที่พอทนได้ เรียกว่าเธอไม่ได้เก่งในการเขียนนิยาย แต่ว่ายังมีความสามารถในการมองชีวิต สามารถจะมองเห็นคุณค่าของความทุกข์ที่เกิดกับตัวเองได้
คนเราถ้าหากว่า ทำสองอย่างนี้ได้ หนึ่ง ยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น สอง เห็นประโยชน์ของความทุกข์คือเหตุร้ายที่เกิดขึ้นกับตัวเองได้ มันก็สามารถที่จะรักษาใจให้เป็นปกติได้ แม้ว่าความทุกข์หรือเหตุร้ายมันจะไม่ได้ สลายหายไป มันจะยังคงอยู่ แต่ว่ามันก็เหลือแต่ความทุกข์กาย แต่ว่าใจไม่ทุกข์ จะเรียกว่าความทุกข์มันไม่เที่ยงก็ได้ ถึงแม้ว่าจะยังคงอยู่
แต่ว่าความทุกข์ที่เป็นความโศก ความร่ำไรรำพัน ความไม่สบายกายความไม่สบายใจ ความคับแค้นใจอย่างที่เราสวดทุกเช้า อันนี้มันไม่จีรัง แม้ว่าความเจ็บป่วยจะยืดเยื้อยาวนานจนตลอดชีวิตอันนี้เป็นความทุกข์ประเภทหนึ่งเป็นความทุกข์ที่เรียกว่าแก่หรือเจ็บ แต่ความทุกข์ที่เป็นความโศก ความร่ำไรรำพัน ความไม่สบายกาย ความไม่สบายใจ ความคับแค้นใจ พวกนี้มันไม่เที่ยง ยิ่งถ้ารู้จักวางใจได้ถูก มันก็เลือนหายไปได้เร็ว
ความทุกข์กายฉันใด ความทุกข์ใจที่มันท่วมท้นผู้คนเพราะว่าเจอเหตุร้ายใดๆก็ตาม มันก็เหมือนกัน ถ้าเรารู้จักรับมือกับมันได้ถูก มันก็จะไม่ท่วมท้นหรือว่าไม่เป็นพิษเป็นภัยกับจิตใจของเราอีกต่อไป
มีผู้หญิงคนหนึ่ง เธอเป็นคนที่มีหน้าตาดี ตอนนี้เป็นนิสิตก็เป็นดาวมหาวิทยาลัย หน้าตาสะสวย แต่วันดีคืนดีก็โดนคนสาดน้ำกรดใส่หน้า เป็นผู้ชาย ซึ่งเธอก็ไม่ได้คุ้นเคยดี แค่ติดต่อกันทาง Social Media เขาคิดว่าเธอรักเขา แต่พอเขารู้ความจริงว่า เธอไม่ได้รักเขาอย่างที่เขาคาดหวัง โกรธ หาว่าหลอกเขา เขาคงรักเธอแบบหัวปักหัวปำ พอผิดหวังก็เลยเอาน้ำกรดสาดหน้า เสียโฉมไปเลย
จากคนที่เคยมีหน้าตาดีสวยงามกลายเป็นคนที่เสียโฉมไปเลย เธอเสียใจมาก ถึงกับคิดจะฆ่าตัวตาย แต่ว่าก็ยับยั้งเอาไว้ได้ แต่ก็รู้สึกอับอาย ขายหน้าผู้คน โดยเฉพาะกับคนที่เคยเห็นความงามของเธอ ก็เลยขอให้แม่และยายย้ายบ้านไปอยู่ที่อื่น ไปอยู่ที่ๆไม่มีใครรู้จักเธอมาก่อน แต่ว่าเธอทุกข์ได้ไม่นาน อาจจะไม่กี่ปี เธอก็สามารถจะยิ้มแย้มแจ่มใสได้
เคยมีคนเชิญเธอไปออกรายการโทรทัศน์ เธอก็เป็นที่รู้จักของหลายคนตอนหลังเธอก็ไปทำงาน เป็นพนักงาน Call Center ของธนาคารแห่งหนึ่ง ก็ใช้ชีวิตเหมือนคนปกติ ใครมาทักเธอว่าคุณใช่ไหม ชื่อเค้กใช่ไหม ที่เคยมาออกรายการโทรทัศน์ เธอยิ้ม ไม่ได้ปิดบังโฉมหน้าของเธอ มีคนถามเธอว่าคิดยังไงกับผู้ชายที่สาดน้ำกรดใส่เธอ โกรธเขาไหม เกลียดเขาไหม
เธอบอกว่าไม่เลย เธอกลับอยากจะขอบคุณเขาด้วยซ้ำ เพราะการที่เธอเป็นแบบนี้ มันทำให้เธอมีเวลาอยู่กับครอบครัวมากขึ้น และที่สำคัญคือว่า ทำให้เธอคิดเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น คือได้เห็นสัจธรรมความจริงว่า ทุกอย่างย่อมเปลี่ยนแปลง ทุกอย่างย่อมมีวันหมดอายุ อย่างหน้าตาของเธอ ถ้าเธอไม่สูญเสียความสวยงาม หรือเสียโฉมพอเธอแก่ตัวลงมันก็ต้องสูญหายไปตามกาลและเวลา
เธอบอกว่าแต่ก่อนนี้เธอทำอะไรเธอชอบยึดติดมากเลย แต่พอเจอเหตุการณ์นี้ มันทำให้เธอรู้จักปล่อยวาง เห็นว่ามันไม่มีอะไรที่เที่ยงแท้แน่นอน พอเธอปล่อยวางเรื่องหน้าตาได้ ปล่อยวางเรื่องอื่นก็กลายเป็นเรื่องง่าย ก็ทำให้เธอไม่มีความทุกข์เพราะความยึดติดกับเรื่องอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นคำพูดของคน สายตาของคน หรือว่าเรื่องอื่นที่เคยทำให้เธอมีความทุกข์ เธอก็ยังเสียโฉมเหมือนเดิม แต่ว่าใจนี้ไม่ได้ทุกข์เหมือนเดิมแล้วหรือว่าทุกข์อย่างที่เคยเป็น
ก็เพราะเธอวางใจได้คล้ายๆกับแพรว คนที่พูดถึงคนแรก คือยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นได้ ไม่บ่นไม่โวยวาย ไม่ตีโพยตีพาย ไม่ให้ก่นด่าชะตากรรม ถึงแม้ทีแรกจะทำอย่างนั้นก็ตาม แต่เธอคงจะรู้ว่า ทำแล้ว มันก็ทุกข์ไปเปล่าๆ จึงยอมรับได้ แล้วที่สำคัญก็คือว่า เห็นประโยชน์ของมัน มันได้สอนให้เห็นสัจธรรมว่า ทุกอย่างมีวันหมดอายุ หน้าตาที่เธอภาคภูมิใจ แม้จะไม่สูญเสียไปจากเหตุการณ์ครั้งนั้น ในที่สุดก็ต้องจากไป เมื่อเธอเริ่มแก่ตัวลง ก็เห็นสัจธรรมตรงนี้ใจก็เปลี่ยนได้ ปล่อยวางได้มากขึ้น ยึดติดสิ่งต่างๆน้อยลง ก็ทำให้มีความปลอดโปร่ง มีความสุขในจิตใจมากขึ้น การหาประโยชน์หรือเห็นประโยชน์จากเหตุร้าย เป็นสิ่งสำคัญ เพราะคนเราไม่สามารถที่จะหนีมันพ้นได้ อยู่ที่ว่า มันจะมาเมื่อไหร่ หรือว่ามันจะมาหนักหรือเบา
พระพุทธเจ้าเคยตรัสสอนพระนันทิยะ พระนันทิยะตอนหลังได้เป็นพระอรหันต์ พระพุทธเจ้าตรัสว่าผู้ใดรู้จักหาประโยชน์จากอิฏฐารมณ์และอนิฏฐารมณ์ ผู้นั้นได้ชื่อว่าเป็นบัณฑิต
อิฏฐารมณ์ก็คือ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ธรรมารมณ์ที่น่าพอใจ รวมทั้งเหตุการณ์ที่น่าพอใจ เช่น ได้ลาภ ได้ยศ ได้รับคำสรรเสริญ หรือว่าได้สุข ส่วนอนิฏฐารมณ์คือรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ธรรมารมณ์ที่ไม่น่าพอใจ รวมทั้งเหตุร้ายที่ไม่น่าพอใจ เสื่อมยศ เสื่อมลาภ ได้รับคำนินทาว่าร้าย หรือว่าเจอทุกข์ เช่น ความเจ็บความป่วย สูญเสียของรัก คนรัก
ตราบใดที่ยังไม่สามารถจะหาประโยชน์จากทั้งอิฏฐารมณ์ โดยเฉพาะอนิฏฐารมณ์ได้ คนเราก็ต้องมีแต่จะทุกข์เพราะถูกกระทบอยู่เรื่อยไป แต่พอรู้จักหาประโยชน์จากอนิฏฐารมณ์ได้ เจอเรื่องร้ายๆ เจอสิ่งที่ไม่คาดฝัน มันก็ตั้งหลักได้ และสามารถอยู่กับมันได้ แม้ว่ามันยังไม่เลือนหายไป หรือเหตุการณ์บางอย่างมันก็ไม่เลือนหาย เสียโฉมก็เสียโฉมไปตลอดชีวิต หรือว่าป่วยด้วยโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงอย่างที่แพรวประสบ มันก็คงจะเป็นทั้งชีวิต ดูเหมือนมันเที่ยง
แต่ความทุกข์มันก็ไม่เที่ยงอีกนั่นแหล่ะ เพราะว่า ความทุกข์ในส่วนที่เป็นความโศก ความร่ำไรรำพัน ความไม่สบายกาย ความไม่สบายใจ ความคับแค้นใจ อันนี้มันไม่เที่ยง เสียโฉมก็เสียไปตลอดชีวิต แต่ว่าความทุกข์ที่เคยเกาะกุมใจ มันก็เลือนหายไป เมื่อเรารู้เช่นนี้ สิ่งหนึ่งที่เราอาจจะต้องเตือนใจเราอยู่เสมอก็คือว่า เหตุร้ายอาจจะเกิดขึ้นกับเราเมื่อไหร่ก็ได้
อย่างที่เราสวดทุกเช้า เราทั้งหลายเป็นผู้ที่ถูกความทุกข์หยั่งเอาแล้ว เป็นผู้ที่มีความทุกข์เป็นเบื้องหน้าแล้ว ความทุกข์หรือเหตุร้าย มันกำลังรอเราอยู่ จะเบาหรือหนักก็แล้วแต่ เราก็ต้องเตือนใจตัวเราเองอยู่เสมอว่า มันจะเกิดขึ้นกับเราเมื่อไหร่ก็ได้ ขณะเดียวกันก็ต้องฝึกเอาไว้ว่า ถ้าเกิดความทุกข์เกิดขึ้น หรือเหตุร้ายปรากฏแก่เรา เราจะหาประโยชน์จากมันได้อย่างไร อันนี้เป็นแบบฝึกหัดเป็นการบ้านของชีวิตเลย
ต้องรู้จักหาประโยชน์จากความทุกข์ เริ่มจากความทุกข์เล็กๆน้อยๆ ความปวดความเมื่อย หรือเหตุการณ์ที่ไม่ได้ใหญ่โตอะไร เช่น เงินหาย หรือว่า ถูกคนตำหนิ ติฉินนินทา เราก็ถือว่า อันนี้เป็นแบบฝึกหัดที่จะมาให้เราได้เรียนรู้ หาประโยชน์จากความทุกข์ จากอนิฏฐารมณ์ เราต้องฝึกอย่างนี้อยู่เสมอ
เพราะว่าพอมันเกิดขึ้นจริงๆ บางครั้งมันก็มาเหมือนพายุ ถ้าไม่ฝึกไม่เตรียมเอาไว้มันก็ตั้งรับไม่ทัน บางทีเสียผู้เสียคนเสียศูนย์ไปเลย แต่ถ้าเราฝึกไว้ตั้งแต่ตอนนี้ ฝึกตั้งแต่ทุกข์เล็กๆน้อยๆ จนกระทั่งทุกข์ปานกลาง เหตุร้ายที่ไม่ได้หนักหนาอะไร พอเจอเหตุร้ายหนักๆเช่น สูญเสียคนรัก เสียอวัยวะ หรือว่าเจอเหตุร้ายอย่างที่ทั้งแพรวและเคสที่ประสบ ก็จะรับมือมันได้ ไม่ใช่แค่ไม่ทุกข์ แต่ว่ายังอาจจะมีความสุขได้ด้วย
การที่เราไม่เจอเหตุร้าย ยังไม่เจอทุกข์ท่วมทับในวันนี้ก็ถือว่าเป็นโอกาส อย่ามองว่าเป็นแค่โชค แต่มองว่าเป็นโอกาสที่จะให้เราได้มีเวลาตระเตรียม มีเวลาฝึกฝน ยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น รวมทั้งรู้จักจัดหาประโยชน์จากความทุกข์หรืออนิฏฐารมณ์ พอถึงเวลาที่มันเกิดขึ้นกับเราจริงๆแบบหนักๆ เราก็จะตั้งตัวได้ แล้วก็จะไม่ได้ทุกข์ฟรีๆ เราก็สามารถจะหาประโยชน์จากมันได้
การเห็นประโยชน์จากความทุกข์ ไม่ปล่อยให้มันมาท่วมท้นใจนี่ มันเป็นสิ่งที่สำคัญมากเลย ตราบใดที่เรายังไม่สามารถที่จะฝึกใจให้ปล่อยวางร่างกาย ปล่อยวางทรัพย์สมบัติ เพราะเห็นว่า มันไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน ไม่ใช่เราไม่ใช่ของเรา
พูดง่ายๆตราบใดที่ยังไม่เห็นสัจธรรมในเรื่องของอนัตตาว่า ไม่มีอะไรที่เป็นเราของเราเลย ตราบนั้น การฝึกให้รู้จักยอมรับความทุกข์ที่เกิดขึ้น และรู้จักฝึกให้เห็นประโยชน์ของมัน หาคุณค่า ความหมายในทางดีงามจากมันได้ อันนี้มันเป็นสิ่งจำเป็นมาก และถ้าเราทำได้ การที่เราจะได้เห็นสัจธรรมที่ลึกซึ้งจนถึงขั้นว่า มันไม่มีอะไรที่ยึดมั่นถือมั่นได้เลย ไม่มีอะไรที่ยึดว่าเป็นเราเป็นของเราได้เลย มันก็จะเกิดขึ้นได้
อย่างที่เค้กเริ่มที่จะเห็น จนกระทั่งเขาไม่ทุกข์ไปกับการสูญเสียโฉมสูญเสียความสวยงาม มันเป็นบันไดที่จะทำให้เราก้าวไปสู่ การเข้าถึงสัจธรรม จนกระทั่งสามารถจะพาจิตเป็นนอิสระจากความทุกข์ รวมถึงผัสสะต่างๆที่เกิดขึ้นได้ ซึ่งก็จะนำไปสู่ความเป็นอิสระในจิตใจ เกิดความเกษมอย่างแท้จริง
- พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมเช้าวันที่ 2 ตุลาคม 2564