แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
สองวันมานี้ วัดป่าสุคะโตก็ได้ส่งอาหารข้าวของเครื่องใช้ไปช่วยผู้ที่เดือดร้อนจากน้ำท่วมที่ตัวเมืองชัยภูมิ ไปช่วยวัดดาวเรืองจัดทำโรงทานส่งอาหารไปให้กับผู้ที่เดือดร้อน วัดดาวเรืองอยู่ห่างประมาณ 5 กิโลเมตรจากเมืองชัยภูมิ ก็ถือว่าเป็นจุดที่ดีสำหรับการทำอาหาร ส่งไปช่วยผู้ที่เดือดร้อนจากน้ำท่วม ก็มีพระ มีแม่ชี มีญาติโยมช่วยกันคนละไม้คนละมือ รวมทั้งญาติโยมจากที่อื่นส่งเงินส่งของส่งอาหารมาสมทบ
เมื่อเช้า อาตมาก็ติดรถของวัดไปชัยภูมิด้วย ถือโอกาสไปเยี่ยมญาติโยมที่เดือดร้อน เราก็ได้ไปช่วยในเรื่องการส่งข้าวของส่งเสบียงไปให้กับผู้ที่กำลังประสบภัย ชาวบ้านที่อยู่มา 60 กว่าปีบอกว่า ไม่เคยเจอน้ำท่วมหนักขนาดนี้ น้ำท่วมสูงมาก โดยเฉพาะเมื่อวานหรือเมื่อวานซืน น้ำท่วมในตลาดสูงถึงอกเลยก็ว่าได้ แม้ว่าตอนนี้น้ำจะลดลงไปพอสมควรแล้ว แต่ว่าตัวตลาดสูงท่วมถึงเอวหรือเกินกว่านั้นเลยด้วยซ้ำ
ไม่เฉพาะที่ตลาดหรือจุดที่อยู่ใจกลางเมืองเท่านั้น บริเวณรอบๆหรือชานเมืองนี้ก็โดนน้ำท่วมหนักมากเพราะว่าตรงอนุสาวรีย์เจ้าพ่อพญาแลน้ำลึกถึง 2 เมตรท่วมหัวไปเลย ถนนที่เคยมีรถสัญจรไปมากลายคลองไปแล้ว ถนนหลายสายก็ก็ใช้ไม่ได้แล้วต้องใช้เรือ หรือมิเช่นนั้นก็ต้องเป็นรถที่สูงคันใหญ่ ชาวบ้านหลายคนเก็บของไม่ทัน ข้าวของก็เสียหายไปมากมายโดยเฉพาะร้านค้าในตลาดนี้ก็เสียหายไปเยอะ
ตามถนนก็เห็นรถจอดอยู่กลางน้ำ เมื่อวานนี้เขาว่าน้ำท่วมถึงหลังคารถเลย วันนี้ก็ท่วมแค่ครึ่งคันรถ บางคนบอกว่าไม่ได้อาบน้ำมา 4 วันแล้ว ไปไหนไม่ได้เลย อยู่แต่ชั้น 2 ชั้นล่างน้ำท่วม 100% แต่ก็เห็นมีรถ เรือของผู้ที่มีจิตศรัทธานำเอาน้ำเอาอาหารไปแจก แต่ก็ไม่รู้ว่าตรงชานเมืองหรือตัวเมืองรอบนอก การช่วยเหลือไปถึงมากน้อยแค่ไหน
ยังดีที่ส่วนใหญ่ไฟฟ้าไม่ได้ตัด การใช้โทรศัพท์มือถือ หรือว่าการใช้ชีวิตจึงไม่ถึงกับลำบากทีเดียว ถ้าหากว่าฝนไม่ตกในวันสองวันนี้ สถานการณ์ก็คงจะดีขึ้น แต่ว่าความเสียหายก็คงจะมากมายทีเดียว ตอนที่ไป ตัวตลาดปิดเกือบหมดค้าขายอะไรไม่ได้เลย แต่ยังมีร้านเซเว่นที่ยังเปิดอยู่ เขาป้องกันน้ำท่วมไม่ให้เข้าร้านเต็มที่เลย
แต่แม้จะน่าจะเสียหายมากมายอย่างนี้ หลายคนเขาก็ทำใจได้ ไม่บ่นไม่โวยวายไม่ตีโพยตีพาย ถือว่าที่เสียก็เสียไป เสียแต่ทรัพย์แต่ใจไม่เสีย ก็รักษาใจให้เป็นปกติได้รวมทั้งปรับตัวให้เข้ากับชีวิตที่มีแต่น้ำท่วม หลายบ้านเรียกว่าตัดขาดจากสังคมเลยก็ว่าได้ เพราะน้ำท่วมสูงมาก ไม่มีเรือที่จะสัญจรไปไหนมาไหนได้
สภาพอย่างนี้หลายคนคงจะได้ตระหนักว่า มีเงินเท่าไหร่มันก็ไม่มีประโยชน์แล้ว เพราะว่าไปซื้ออะไรไม่ได้เลย สิ่งสำคัญตอนนี้ไม่ใช่เงิน แต่ว่าคือข้าวคือน้ำ ซึ่งก็ดีมีเพื่อนบ้านหรือว่าผู้ที่เขามีน้ำใจ เขาก็รู้ว่าบ้านไหนมีคนติดอยู่ ออกไปไหนไม่ได้ ก็เอาข้าวเอาน้ำมาแขวนไว้ที่ประตูบ้าน อันนี้เรียกว่าน้ำใจของผู้คนนี้แหล่ะในยามนี้สำคัญที่สุดเลย ไม่ใช่เงินทองแล้วก็ไม่ใช่รถยนต์ด้วย
รถยนต์ใช้อะไรไม่ได้เลย จอดอยู่กลางน้ำหมดสภาพเลย ถ้าไม่มีเรือ ก็ตัดขาดจากโลกภายนอกเลยก็ว่าได้ เว้นแต่ว่ามีโทรศัพท์ติดต่อพูดคุยหรือว่ามีเพื่อนบ้านหรือว่าหน่วยบรรเทาสาธารณภัย นำอาหารน้ำมาให้ ในยามคนจะได้ตระหนักเลยว่าเงินไม่ใช่สิ่งสำคัญหรือว่าช่วยอะไรไม่ได้ มีแต่น้ำใจของผู้คน
และอีกอย่างหนึ่งที่สำคัญคือการรักษาใจ เพราะว่าแม้จะมีข้าวมีน้ำ แต่ถ้าหากว่าใจนี้รักษาไม่ได้ รักษาไม่เป็น นี้ก็นี่ก็แย่ ข้าวหรือน้ำช่วยแค่ดูแลร่างกาย ไม่ให้หิวโหย ไม่ให้เจ็บป่วย แต่ว่าใจต้องใช้สติรวมทั้งความมั่นใจในน้ำใจของเพื่อนบ้านหรือน้ำใจของคนที่รู้จัก ก็จะได้มีความหวังว่า ทนมันไปอีกสักหน่อยเดี๋ยวก็จะดีขึ้น และยิ่งมีสติด้วยแล้วก็ทำให้ใจไม่ทุกข์ทรมานมาก ยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้นได้
อันนี้สำคัญมากเลย การยอมรับกับความทุกข์ที่เกิดขึ้น หรือยอมรับเหตุการณ์เลวร้ายที่เกิดขึ้น เพราะถ้ายอมรับไม่ได้ บ่นโวยวายตีโพยตีพายก็จะทำให้ไม่ใช่แค่เสียทรัพย์ใจก็เสียด้วย บางทีถึงกับนอนไม่หลับ แต่ถ้ายอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นได้คือเห็นว่ามันเกิดขึ้นแล้ว บ่นไปก็ไม่มีประโยชน์ โวยวายไปก็มีแต่จะซ้ำเติมตัวเอง อย่างนี้ก็ช่วยทำให้ใจเป็นปกติ
หลายคนที่เดือดร้อนเวลานี้ก็ให้แง่คิดอะไรหลายอย่าง หลายคนที่ทางวัดไปช่วยเหลือ เขาเคยเป็นคนที่เกื้อกูลกับทางวัด เวลาวัดลำบากหรือว่าเดือดร้อน เช่น ตอนที่ป่าที่ภูหลงไฟไหม้ เดือดร้อนมาก ก็ได้อาศัยกำลังญาติโยมจากชัยภูมิหลายคนส่งอาหารส่งน้ำไปช่วย ภูหลงหรือวัดป่าสุคะโตเดือดร้อนก็เป็นฝ่ายรับความช่วยเหลือ แต่ตอนนี้น้ำท่วม ทางวัดก็เป็นฝ่ายที่ให้ความช่วยเหลือแทน
ผู้ที่เคยช่วยเหลือตอนนี้ก็เป็นฝ่ายที่เดือดร้อน แล้วก็ต้องการความช่วยเหลือ มันเป็นบทบาทที่สลับกัน มีคำพูดว่า น้ำท่วมปลากินมด น้ำลดมดกินปลา อันนี้มันสะท้อนสัจธรรมว่า ไม่ว่าจะอยู่ในบทบาทใดหรือสถานการณ์ใด มันก็จะแปรเปลี่ยนเป็นตรงกันข้ามได้ และเมื่อเหตุการณ์ผันผวนแปรปรวน ปลาเคยกินมดเป็นผู้ล่า มดเป็นเหยื่อ แต่ว่าพอน้ำลด ปลาก็กลายเป็นเหยื่อ มดก็กลายเป็นผู้ล่า และนี่คือบทบาทที่กลับตาลปัตรกัน
แต่ที่จริงมันสะท้อนให้เห็นถึงความจริงยิ่งกว่านั้น ก็คือว่า ไม่ว่าเราจะอยู่ในบทบาทใด วันดีคืนดีก็อาจจะกลับตาลปัตร ไปอยู่ในอีกบทบาทหนึ่งก็ได้ เช่น คนที่เคยได้รับความช่วยเหลือ วันหนึ่งก็กลายเป็นผู้ที่เป็นฝ่ายช่วยเหลือแทน ฝ่ายที่เคยให้ความช่วยเหลือ วันหนึ่งก็กลายเป็นผู้รับความช่วยเหลือ
วัดป่าสุคะโต วัดดาวเรือง ก็เป็นฝ่ายรับความช่วยเหลือของญาติโยมแถวแก้งคร้อ ชัยภูมิ อยู่เนือง แต่จนถึงวันนี้เราปลอดภัยจากน้ำท่วม เรามีกำลังที่จะช่วยเหลือเขาได้ ส่วนพวกที่เคยช่วยเหลือเราตอนนี้ก็กลายเป็นฝ่ายต้องรอรับความช่วยเหลือแล้ว อันนี้มันก็เป็นสัจธรรม บทบาทใดก็ตาม มันก็ไม่เคยจีรังยั่งยืน
พวกเราคงจำนิทานอีสปได้เรื่องราชสีห์กับหนู เราคงจะได้ยินได้ฟังตั้งแต่เล็ก เดี๋ยวนี้อาจจะลืมไปก็ได้ นิทานเรื่องนี้ มีว่า ราชสีห์ตัวหนึ่งจะเรียกว่าเป็นเจ้าป่าเลยก็ได้ มันนอนหลับอยู่ มีหนูตัวหนึ่งทะเล่อทะล่าปีนขึ้นไปบนตัวราชสีห์ มันไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ปรากฏว่าราชสีห์ตื่นขึ้นมา ก็เลยตะครุบหนูตัวนั้น หนูตัวนั้นก็คาดว่าใกล้จะถึงฆาต ก็ร้องขอความช่วยเหลือ ร้องขอความเมตตา
แล้วก็บอกว่าสักวันหนึ่งจะตอบแทนราชสีห์ ถ้าราชสีห์ปล่อย ราชสีห์ก็หัวเราะไอ้หนูนี่น่ะหรือจะตอบแทนข้าได้อย่างไร ตัวเล็กนิดเดียว แต่ว่าก็ไม่ถือสา แล้วก็ปล่อยหนูไป อยู่มาวันหนึ่ง ราชสีห์โดนจับ ติดบ่วงของพราน พยายามที่จะสะบัดเท่าไหร่ๆก็ไม่หลุด เชือกก็ไม่ขาด ร้องครางร้องคำรามสนั่นป่า หนูได้ยิน ก็เลยวิ่งมาที่ต้นเสียง ก็เจอราชสีห์กำลังเดือดร้อน หนูก็เลยช่วยชีวิตด้วยการกัดเชือกที่ล่ามราชสีห์เอาไว้
ราชสีห์ก็เลยเป็นอิสระ ขอบอกขอบใจหนูมาก แล้วก็ได้คิดว่า ที่เคยปรามาสหนูว่าจะมีปัญญาช่วยฉันได้หรือ จะมีปัญญาตอบแทนฉันได้หรือ แต่หนูก็ทำได้ เป็นนิทานที่เตือนให้เราได้แง่คิดว่า คนเราไม่ว่าจะอยู่ในฐานะที่สูง หรือว่าอยู่ในฐานะที่ได้เปรียบยังไง วันหนึ่งก็อาจจะต้องตกอยู่ในฐานะที่ลำบากก็ได้ แล้วก็คนที่ตัวเองเคยช่วยเหลือ วันหนึ่งก็อาจจะกลับมากลายเป็นผู้ช่วยเหลือแทน
เพราะว่านี่เป็นสัจธรรม อะไรๆก็ไม่เที่ยง อะไรๆก็ไม่แน่นอน ถ้าคนเราในยามที่มีอำนาจวาสนา ก็อาจจะคิดว่าตัวเองไม่ต้องพึ่งพาใครแล้ว แต่พอถึงวันหนึ่งก็อาจจะตกอับ ถึงตอนนั้นแหละจะพบว่า คนที่ตัวเองเคยช่วยเหลือ เขาสามารถที่จะมาช่วยเหลือตัวเองได้
เราอาจจะเคยได้ยินเรื่องราวของเด็กคนหนึ่ง อายุ 11-12 แม่ป่วย ครอบครัวก็ยากจนมาก มีแต่แม่กับลูก แม่ต้องการยา แต่ลูกก็ไม่รู้จะหายาจากไหน ก็ไม่ได้แพงเท่าไหร่แต่ไม่มีปัญญาซื้อ ก็เลยต้องไปขโมยจากร้านยา ปรากฏว่าเจ้าของร้านยาจับได้ จะไปส่งตำรวจ เด็กก็ร้อง วิงวอนขอให้ปล่อยเถอะ ไม่ทำอีกแล้ว พยายามที่จะให้เหตุผลว่าแม่ป่วย ไม่สบาย ยากจน แต่ว่าเจ้าของร้านคงต้องการดัดสันดาน ก็เลยจะจับไปส่งตำรวจ
ร้านก๋วยเตี๋ยวข้างๆ เจ้าของก็เห็น สงสารเด็ก คิดว่าเด็กคงจะไม่ได้มีสันดานเป็นโจร ก็เลยช่วยเด็ก โดยออกเงินค่ายาให้ เท่านั้นไม่พอก็ยังทำก๋วยเตี๋ยว 2 ถุง ฝากให้เด็กเอาไปให้แม่ด้วยและตัวเองกินเองด้วย เด็กก็ขอบคุณพ่อค้านั้นใหญ่เลย
เหตุการณ์ผ่านไป 30 ปี พ่อค้าร้านก๋วยเตี๋ยวนั้นแก่ชราและป่วยเป็นโรคหัวใจ ต้องผ่าตัด ผ่าตัดเรียบร้อยแล้ว ปรากฏว่าไม่มีเงินค่าผ่า เพราะว่าค่ารักษาค่าผ่าแพงมากหลายแสนบาท ลูกสาวก็ไม่รู้จะจะทำยังไง ก็เลยไปขอความอนุเคราะห์จากหมอ พอหมอรู้ว่าผู้ป่วยเป็นใคร ปรากฏว่าหมอจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้ทันทีเลย เพราะว่าหมอคนนี้ก็คือเด็ก คนที่ผู้ป่วยเคยช่วยเอาไว้ เด็กคนนี้ตอนหลังก็ได้เป็นหมอใหญ่
พอหมอรู้ว่าผู้ป่วยคือคนที่เคยช่วยตัวเองไว้ จำได้แม่น ชื่อนามสกุลนี้ แม้ว่าจะไม่ได้ไปขอบคุณโดยตรงแต่ว่าก็ยังสำนึกในบุญคุณ พอรู้ว่าเป็นผู้ป่วยของตัว ก็ออกค่ารักษาพยาบาลให้ทั้งหมด ตามเรื่องบอกว่าหมอเขียนในใบเสร็จว่าจ่ายเงินค่ารักษาพยาบาลให้ผู้ป่วยแล้วด้วยก๋วยเตี๋ยว 2 ถุง และค่ายาอีกไม่กี่บาท ข้อความส่วนใหญ่อาจจะเป็นส่วนต่อเติม เป็นดราม่า แต่ว่าเรื่องนี้ ก็มีพื้นฐานมาจากเรื่องจริง
เรื่องราชสีห์กับหนู ก็เป็นเรื่องคล้ายๆกัน คนๆหนึ่งช่วยเด็กเอาไว้ แล้วก็คงไม่ได้คิดว่า เด็กคนนี้สักวันหนึ่งจะมาตอบแทนอะไรฉันได้เลย แต่ว่าในที่สุดเขาก็สามารถตอบแทนได้ เรื่องราวของคนเราก็เป็นอย่างนี้เยอะ ก็คือว่า คนที่เคยสุขสบาย วันหนึ่งก็ลำบาก คนที่เคยลำบากวันหนึ่งก็สุขสบาย ถ้าหากว่าเมื่อสุขสบายแล้วไม่ประมาท ตระหนักว่าวันหนึ่งฉันอาจจะเดือดร้อนลำบากก็ได้
เพราะฉะนั้น ถ้ามีโอกาสที่จะทำความดี ช่วยเหลือใคร ก็ช่วย เห็นใครที่ต่ำต้อยก็ไม่ได้ไปดูถูกเขา ว่าเขาไม่มีปัญญาที่จะอยู่ในสายตาของฉัน ถ้าไม่ไปดูถูกหรือไม่ไปด้อยค่าคนที่ต่ำต้อยนั้น ใครจะไปรู้ว่าคนที่ต่ำต้อย ในวันข้างหน้านี้สามารถจะมีกำลังมาช่วยเหลือ
เพราะฉะนั้น เมื่อเราอยู่ในฐานะที่สะดวกสบายหรือได้เปรียบก็ควรจะเจียมเนื้อเจียมตัวไว้ อย่ากร่างเหมือนราชสีห์ เพราะว่าอาจจะมีสักวันที่อาจจะต้องเดือดร้อน และถึงวันนั้นก็อาจจะต้องพึ่งพาคนที่ดูเหมือนเป็นคนต่ำต้อย เป็นคนที่เล็กน้อย เจอใครที่เดือดร้อนก็ช่วยเขาไปเถิดโดยที่ไม่ได้หวังผลอะไร แล้วก็ไม่ได้คิดว่าเขาจะมาช่วยตอบแทนเราหรือไม่
แต่การทำเช่นนั้น ถ้าเป็นชาวพุทธก็ถือว่าเป็นการสร้างบุญ ซึ่งมันก็จะไม่สูญเปล่า แต่ว่าถ้าจะทำบุญจริงๆก็ไม่ได้หวังผลอะไร เพียงแต่ตระหนัก สักวันหนึ่งเราก็อาจจะต้องเป็นฝ่ายที่รอรับความช่วยเหลือของผู้อื่น เพราะชีวิตนั้นเปราะบาง ที่จริงแค่ความแก่เฒ่า ความแก่ชรา มันก็สามารถทำให้คนที่เข้มแข็ง แข็งแรงก็กลายเป็นผู้ที่ต้องพึ่งพิงหรือพึ่งพาอาศัยผู้อื่น
ถ้าเราตระหนักว่า ชีวิตเรา มันก็ต้องพึ่งพาอาศัยกัน วันนี้เราโชคดีมีฐานะได้เปรียบ แล้วก็ช่วยเหลือเขา ถึงวันที่เราเดือดร้อน ถึงวันที่เราอ่อนแอ ถึงวันที่เรากรอกบาง ก็ต้องอาศัยความช่วยเหลือของผู้อื่น
อย่างสถานการณ์น้ำท่วม ทำให้เราเห็นเลยว่า คนเราในยามที่สุขสบาย ก็อย่าคิดว่ามันจะไม่ลำบาก วันดีคืนดีก็ต้องอาศัยความช่วยเหลือของผู้อื่น ซึ่งผู้อื่นนั้นก็อาจจจะเป็นคนที่ตัวเองเคยช่วยมาก่อน
อดคิดไม่ได้ว่า ถ้าหากป่าบนหลังเขาอุดมสมบูรณ์ ฝนตกหนักก็คงจะไม่ทำให้น้ำท่วมเจิ่งนองชัยภูมิขนาดนี้ เพราะว่าป่าจะช่วยซับน้ำเอาไว้ได้ แต่เพราะว่าป่าถูกทำลายไปเยอะ มันก็เลยไม่มีตัวซับน้ำ ฝนที่เทลงมาจากบนหลังเขาก็ทะลักสู่ตัวเมือง แม่น้ำชีก็ระบายไม่ทัน น้ำก็เลยท่วมอย่าไม่เคยมีมาก่อน บนหลังเขาเมื่อปี 21 ก็เคยท่วมใหญ่มาก่อน เพราะว่ามันเพิ่งมีการทำสัมปทานตัดไม้กัน ตัดไม้กันหลายปีทีเดียว น่าจะมาสิ้นสุดเอาเมื่อปี 14 มั้ง
คนสมัยนั้น บอกว่าป่าหายไปเยอะเลย เพราะเหตุนี้พอฝนตกหนัก ปีนั้นน้ำก็เลยท่วมหนักบนหลังเขาเป็นทะเลเลย หลวงพ่อบุญธรรมท่านเล่าว่าเหมือนกับทะเล แผ่นน้ำมันกว้างขวางเหลือเกิน เพราะว่าป่าถูกทำลาย แต่ตอนหลังป่าค่อยๆฟื้นตัวขึ้น มีต้นไม้มากขึ้น เหตุการณ์ที่น้ำท่วมหลังเขาก็เลยไม่เกิดขึ้นอย่างปีนั้น แต่ว่าน้ำก็เทไปท่วมตัวเมืองแทน และอีกหลายเมืองด้วย
อันนี้เป็นเพราะว่าเราไม่ได้เห็นคุณค่าของป่า แล้วเราก็ไม่ได้รักษาจริงจัง มันก็เลยต้องเกิดเหตุการณ์แบบนี้ แต่ถ้าเรารักษาป่าเอาไว้ ป่าก็จะช่วยซับน้ำไม่ให้เราเดือดร้อน ก็คงจะคล้ายกับราชสีห์ช่วยหนู แล้ววันหนึ่งหนูก็ช่วยราชสีห์ แต่ว่าป่ามันไม่ใช่หนู คุณค่ายิ่งกว่าหนูอีก เป็นเพราะว่ามนุษย์เราคิดว่าเราควบคุมธรรมชาติได้ แล้วเราก็ไม่เห็นคุณค่าของป่า ในที่สุด เมื่อป่าไม่อยู่ ไม่สามารถจะช่วยเราได้ ไม่สามารถที่จะซับน้ำได้ ก็เลยเกิดน้ำท่วมใหญ่อย่างที่เห็น
- พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมเย็นวันที่ 29 กันยายน 2564