แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ช้างเป็นสัตว์ที่มีเรี่ยวแรงมหาศาลเลยก็ว่าได้ สามารถที่จะลากซุงท่อนใหญ่ๆ หลายร้อยกิโลกรัมหรือเป็นตันได้อย่างสบาย แต่แปลกเวลาควาญช้างต้องการล่ามช้างให้อยู่กับที่เฉยๆ ก็เพียงแต่ใช้โซ่เส้นเล็กๆ หรือเชือกเส้นเล็กๆผูกเอาไว้ ล่ามเอาไว้กับต้นไม้ ซึ่งก็เป็นต้นที่ไม่ได้ใหญ่โตอะไร ช้างก็ยอมให้ล่ามอย่างนั้นแหละ ทั้งๆที่ถ้ามันจะสะบัดเชือกหรือโซ่ให้ขาดก็ทำได้ไม่ยาก
แต่ทำไมมันยอมให้เชือกหรือโซ่เล็กๆล่ามมันไว้ได้ ทั้งๆที่มันอาจจะอยากไปเที่ยวโน่นเที่ยวนี่ อันนี้มันมีความเป็นมาคือ ตอนที่มันยังตัวเล็กๆ เขาใช้โซ่หรือเชือกล่ามมันเอาไว้กับหมุด
ตอนที่มันยังเล็ก แรงมันยังมีไม่มาก เพราะฉะนั้น เชือกหรือโซ่เส้นเล็กๆก็สามารถที่ล่ามมันเอาไว้ได้ ไม่ให้มันไปไหน มันก็พยายามที่จะดึงพยายามที่จะสะบัด แต่ว่าก็ไม่สำเร็จ เพราะเรี่ยวแรงยังน้อย แล้วมันก็คิดอย่างนี้ว่ามันไม่สามารถที่จะดึงหรือสะบัดเชือกหรือโซ่ให้ขาดได้ เรียกว่าเป็นความคิดที่ฝังใจ แม้มันโตเรียกว่าเป็นช้างสารโตเต็มที่ มีเรี่ยวแรงกว่าเดิมเป็น 10 เท่าเลยก็ได้
แต่ด้วยความที่มันคิดว่ามันไม่สามารถที่จะดึงเชือกหรือว่าโซ่ให้ขาดได้ มันก็เลยอยู่นิ่งๆ ยอมให้เชือกหรือโซ่ล่ามันต่อไป อันนี้เรียกว่าเป็นเพราะยังฝังใจอยู่กับประสบการณ์เดิมๆ สมัยที่ยังเป็นเด็กเล็กๆ
อันนี้เป็นวิธีการที่ควาญช้างใช้ในการล่ามช้างตัวใหญ่ๆ เพราะว่ามันยังติดอยู่กับความรู้หรือประสบการณ์เดิมๆก็ทำให้มันยังอยู่ในอำนาจของเชือกหรือโซ่เล็กๆนี้ต่อไป
คนเราก็เป็นอย่างนั้นเหมือนกัน ประสบการณ์ในอดีตบางอย่าง มันก็ผ่านไปนาน แต่ว่ามันก็ยังมีอิทธิพลต่อความรู้สึกนึกคิดของผู้คนในปัจจุบัน หลายคนตอนเด็กๆกลัวที่มืดๆกลัวผี แล้วก็ยังคิดอยู่อย่างนั้น ยังฝังใจอยู่กับประสบการณ์เดิมๆอย่างนั้นแหละ เมื่อเขาโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ เขายังมีความคิดว่าเขาไม่มีทางที่จะระงับปัดเป่าความกลัวความมืดได้
เวลามีคนชวนมาปฏิบัติธรรมที่วัดก็ไม่กล้า เพราะว่าตอนเด็กๆ เขากลัวความมืด ก็เลยคิดว่าถ้ามาวัดก็คงจะไปไม่รอด หรือบางคนอาจจะมีประสบการณ์การปฏิบัติธรรมที่ไม่ค่อยราบรื่นเท่าไหร่ ตอนเด็กๆตอนเป็นวัยรุ่น มันรู้สึกว่าจิตไม่นิ่ง กระสับกระส่าย รู้สึกทุรนทุราย
บางคนอาจจะมีประสบการณ์อย่างนี้ตอนที่ครูพามาปฏิบัติธรรม รู้สึกทรมานมาก ก็ฝังใจอยู่กับประสบการณ์นั้นแหละว่า ฉันนี้ทำไม่ได้หรอก แม้โตขึ้นแล้ว ประสบการณ์ก็มากมาย ผ่านอะไรมาเยอะ แต่ก็ยังคิดว่าตัวเองไม่สามารถจะปฏิบัติธรรมหรือว่ามาอยู่คนเดียว ไม่พูดไม่จากับใคร ให้อยู่กับลมหายใจบ้าง ให้อยู่กับตัวเองบ้าง ไม่ไหว ทรมาน กลัว ทุรนทุราย ทั้งที่ตอนนี้ตัวเองก็เรียกว่ามีประสบการณ์เยอะ และก็มีความสามารถในการที่จะฝึกจิตของตัวเองได้
มีคนจำนวนมากที่เอาประสบการณ์ในอดีตมารัดรึงหรือว่ากีดขวางความเจริญก้าวหน้าของตัวเองทั้งที่ตัวเองก็มีความสามารถ มีศักยภาพเยอะแล้ว อันนี้เรียกว่าเอาอดีตมากีดขวางสิ่งที่เป็นปัจจุบันของตัว บางคนอาจจะเคยทำอะไรไม่เคยประสบความสำเร็จ ทำอะไรก็ไม่ดีสักอย่างตอนเป็นนักเรียนตอนเป็นเด็ก ก็ยังฝังใจอยู่กับความคิดหรือความเชื่อแบบนี้
ทั้งที่ตัวเองทำอะไรได้สำเร็จหลายอย่าง แต่มองไม่เห็นเพราะมันยังติดอยู่สภาพเดิมๆ เอาอดีตมากีดขวาหรือมาปิดบังความสามารถที่แท้จริงที่ตัวเองมี หรือบางคนอาจจะตอนดึกๆจะโดนพ่อแม่ว่าเป็นคนที่ไม่เอาไหน เป็นคนเห็นแก่ตัว หรือไม่งั้นพ่อแม่ก็ไม่สนใจ พ่อแม่สนใจลูกคนอื่น แต่ว่าไม่สนใจตัวเอง ตัวเองก็รู้สึกว่าไม่มีคุณค่า ตัวเองไม่ได้เรื่อง
ทั้งที่โตขึ้นแล้วทำอะไรได้มากมายที่มีประโยชน์ มีคุณค่าช่วยเหลือเกื้อกูลผู้อื่น เป็นคนมีน้ำใจ แต่มองไม่เห็นความจริงตรงนี้ มองไม่เห็นความดีที่ตัวเองมีอยู่ เพราะว่ามันติดภาพอดีตเอาไว้ อันนี้เรียกว่า อดีตมันปิดบังความจริงในปัจจุบัน
คนจำนวนมากก็ยอมให้อดีตมาปิดบังปัจจุบันที่ตัวเองเป็นอยู่ ไม่ว่าจะมีศักยภาพเติบโตมากกว่าเดิมเพียงใด หรือว่าตัวเองก็ได้เปลี่ยนไปแล้ว จากคนที่ทำอะไรไม่ค่อยสำเร็จก็กลายเป็นคนที่ทำอะไรก็สำเร็จมากมายหลายอย่าง แต่ก็มองไม่เห็น เพราะว่ามันติดภาพอดีต และที่จริง อดีตมันไม่ใช่แค่ปิดบังปัจจุบันในแง่ของความสามารถ หรือว่าคุณค่า หรือความดีที่ตัวเองมีอยู่ในปัจจุบันเท่านั้น
หลายคนก็ปล่อยให้อดีตมันมาปิดบังความสุขในปัจจุบันด้วย เช่น มีหลายคน โตแล้วที่จริงถึงขั้นแก่ชราเลยก็มี มีครอบครัวที่อบอุ่น สามีก็ดี ฐานะการเงินเศรษฐกิจก็ดี ลูกก็เป็นคนที่ใฝ่ธรรม รู้จักช่วยตัวเอง ไม่เกกมะเหรกเกเร เขาน่าจะมีความสุขได้ แต่ว่าสีหน้าเขายังเศร้าหมอง เพราะว่ายังหวนนึกไปถึงประสบการณ์ในวัยเด็กของตัว
สมัยที่พอแม่ไม่ค่อยรัก ไม่ค่อยใส่ใจ พ่อแม่เอาแต่ดุด่าเพราะว่าเป็นผู้หญิง พ่อแม่รักลูกผู้ชายมากกว่า รู้สึกตัวเองไม่มีคุณค่า แล้วก็รู้สึกเจ็บปวดกับเหตุการณ์ในอดีต แต่ตัวเองก็ยังฝังใจอยู่กับเหตุการณ์ในอดีตอยู่อย่างนั้น จิตที่ฝังอยู่กับเหตุการณ์ในอดีต มันทำให้เศร้าหมอง พอเศร้าหมอง จิตใจก็ไม่สามารถที่จะรับรู้ถึงความสุขที่มีอยู่ในปัจจุบันได้
หรือว่าคนที่มีความคับแค้นกับใครบางคนในอดีต ก็ยังติดอยู่กับความคับแค้นนั้น ยังเก็บความคับแค้นงั้นเอาไว้ พอใจมันท่วมท้นไปด้วยความคับแค้น มันก็ไม่สามารถเปิดรับความสุข ความผ่องใส ความเบิกบานที่มีอยู่ในปัจจุบันได้ ผู้คนจำนวนมากเป็นอย่างนั้นปล่อยให้อดีตมาปิดบังปัจจุบัน
ทั้งที่ๆปัจจุบันนี้มันก็เปลี่ยนแปลงไปเยอะแล้ว ไม่ว่าจะเป็นศักยภาพที่ตัวเองมี ความสามารถที่เพิ่มพูนขึ้น หรือว่าความดีที่ตัวเองได้ทำ สิ่งดีงามที่ตัวเองได้สร้างสรรค์ขึ้นมา ซึ่งถ้าหากว่าเขาสามารถจะรับรู้เห็นความจริงในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นศักยภาพ การเติบโต ความสามารถ หรือว่าสิ่งดีๆที่ได้ทำ เขาก็จะกลายเป็นคนใหม่
แต่ว่าการที่ไปปล่อยใจให้อยู่กับอดีต มันก็เลยทำให้ไม่สามารถที่จะก้าวหน้าต่อไปได้ ในแง่นี้ในอดีตก็กลายเป็นเสมือนกับตัวที่ล่ามเขา หรือว่าฉุดรั้งไม่ให้เขาก้าวไปข้างหน้า ก็ไม่ต่างจากเชือกเส้นเล็กๆที่มันล่ามช้างตัวโตเอาไว้
เพราะฉะนั้น สิ่งที่เราพึงตระหนักก็คือว่า อย่าให้อดีตมาฉุดรั้ง หรือว่าล่ามเราเอาไว้จนกระทั่งไปไหนไม่ได้ หรือว่าเป็นตัวที่จะปิดบังไม่ให้เราเห็นศักยภาพ เห็นความสามารถ เห็นคุณค่าที่เรามีอยู่ เพราะฉะนั้นการที่จะพาตัวให้หลุดพ้นจากประสบการณ์ในอดีต บางครั้งก็สำคัญ โดยเฉพาะประสบการณ์ในอดีตที่มันไม่ดี
อดีตก็มีประโยชน์ มันทำให้เราเข้าใจปัจจุบัน หรือว่าทำให้เรารู้จักตัวเราเองดีขึ้น แต่บางครั้งมันก็กลับเป็นตัวที่ฉุดรั้ง ไม่ให้เราเห็นตัวเองอย่างที่ตัวเองเป็น ทำให้เรามืดบอดต่อสิ่งดีๆที่เรามีอยู่ในปัจจุบัน ช้างมันอาจจะยากในการที่จะหลุดพ้นจากประสบการณ์ในอดีตสมัยที่มันยังเป็นเด็กตัวเล็กๆได้
แต่คนเรามีความสามารถที่จะทำอย่างนั้นได้ ถ้าหากว่าเราหันมาอยู่กับปัจจุบันให้มากขึ้น หันมาสำรวจ หันมาใคร่ครวญ หันมามองตัวเอง สิ่งดีๆที่เราได้ทำ ความสำเร็จหลายอย่างที่เราได้สร้างขึ้น เพียงแต่เราได้กวาดตามองหรือใคร่ครวญ มันก็จะเห็นว่า เราไม่ได้เป็นอย่างที่เคยเป็น หรือว่าถ้าเรารู้จักเปิดใจรับความสุขในปัจจุบัน เราก็จะพบว่าชีวิตเราไม่ได้ย่ำแย่สักเท่าไร แต่เป็นเพราะเรามองไม่เป็นต่างหาก มันยังไปจมอยู่กับเหตุการณ์ในอดีต จนกระทั่งมืดบอดต่อสิ่งดีๆที่มีอยู่ในปัจจุบัน
ฉะนั้น การกลับมาอยู่กับปัจจุบัน เป็นสิ่งสำคัญมากที่จะทำให้เราหลุดพ้นจากภาพฝังใจในอดีตได้ รวมทั้งการที่เรากล้าที่จะทำอะไรใหม่ๆ อย่างคนที่เขาไม่กล้ามาวัด ไม่กล้ามาปฏิบัติธรรมเพราะว่ากลัวความมืดสมัยเป็นเด็ก แต่ถ้าเกิดว่าจะลองดู นี่เราก็โตแล้ว เราก็กำลังจะแก่ด้วยซ้ำ ก็ต้องลองดู ลองมาอยู่คนเดียว ลองมาเผชิญกับความมืดดู และหลายคนก็พบว่าเราทำได้ ถ้าเพียงแต่ว่ากล้าที่จะทำในสิ่งไม่เคยทำได้มาก่อน
มีผู้ใหญ่หลายคน มาเดินธรรมยาตรา หลายคนก็มาด้วยความไม่มั่นใจว่าจะเดินไหวไหม เพราะวันหนึ่งก็ต้องเดิน 10 กว่ากิโลเมตร ตัวเองก็อายุมากแล้ว 50 ก็มี 60 ก็มี 70 ยังมีเลย แค่เดินไปปากซอย 2 กิโลเมตร ก็ไม่ไหวแล้ว ที่มาธรรมยาตราก็คิดว่ามาลองเดินนิดหน่อย ไม่ไหวก็พัก หรือไม่ก็อาศัยรถพาไปส่งถึงจุดหมายปลายทาง ในแต่ละวันๆ คิดว่าเดินกิโลสองกิโลก็พอแล้ว
แต่เอาเข้าจริง สามารถจะเดินได้ครึ่งวันค่อนวัน หรือว่าทั้งวันเลย วันแรกก็เดินได้มากหน่อย วันที่ 2 เดินได้มากกว่านั้น วันที่ 3 เดินได้ทั้งวันเลย ก็เลยรู้ว่าเราทำได้ ไม่ใช่เฉพาะผู้ใหญ่ เด็กๆก็เหมือนกัน วัยรุ่นอยู่ในเมืองก็ไม่คิดว่าตัวเองจะเดินธรรมยาตราได้ตลอด 7 วัน แต่ที่มาเพราะครูบังคับ อีกอย่างหนึ่งเพื่อนๆเขามากัน เราจะไม่มาได้อย่างไร
ไม่คิดว่าจะทำได้เพราะว่านอกจากจะเดินไกลแล้ว ก็ยังต้องแบกสัมภาระเองด้วย ประสบการณ์ในอดีตมันบอกว่าฉันทำไม่ได้ ๆ แต่หลายคนพอได้ลองทำดู มันทำได้ แล้วก็ทำได้ดีด้วย เกิดความฮึกเหิม ธรรมยาตราเสร็จแล้ว ก็ยังอยากจะเดินต่ออีก ให้มันลำบากกว่าเดิม หลังจากที่คิดว่า ฉันทำไม่ได้
การที่เราจะลบล้างภาพในอดีต บางครั้งต้องอาศัยการสร้างกรรมใหม่ที่ดีกว่าเดิม กรรมใหม่ในที่นี้ก็คือว่า การทำความเพียร การได้ทำสิ่งใหม่ๆซึ่งต้องอาศัยความกล้า ยิ่งถ้ามีกัลยาณมิตรด้วย มันก็ยิ่งมีกำลังใจ เพราะฉะนั้นถ้าเราปล่อยให้อดีตมันมามีอิทธิพลต่อชีวิตเรามาก มันก็ทำให้เราไม่สามารถที่จะเติบโตได้เลย ไม่สามารถจะก้าวไปข้างหน้าได้เลย เพราะมันจะคอยล่ามเราเอาไว้ ไม่ให้เขยิบไปข้างหน้า มันมีแต่จะล่ามเราให้อยู่กับที่
ทั้งๆที่เราสามารถจะทำได้มากกว่านั้นเยอะ รวมทั้งทำให้เราไม่เห็นความเป็นจริงของเรา ซึ่งได้พัฒนาไปเยอะแล้ว ก็ยังคิดว่า ฉันเป็นคนไม่มีคุณค่า ฉันเป็นคนที่ไม่มีความสามารถ ทั้งๆที่ได้ทำอะไรดีๆไปมากมาย แต่มองไม่เห็น เพราะภาพอดีตนั้นมันบังตาไว้ อดีตปิดบังปัจจุบัน
นอกจากการพยายามที่จะหลุดจากประสบการณ์เดิมๆ หรือภาพในอดีตที่มันคอยกดถ่วงหรือเหนี่ยวรั้งเราไม่ให้ก้าวไปข้างหน้า นิสัยเดิมๆเราก็ต้องพยายามหลุดออกจากมันให้ได้ มันมีนิสัยเดิมที่สะสมมาคอยหน่วงรั้งเราไม่ให้เจริญก้าวหน้า และยิ่งกว่านั้นมันคอยทำให้เราจมอยู่ในความทุกข์ได้ง่าย
ลองสำรวจดูว่ามันมีนิสัยเดิมๆหลายอย่าง ที่มันเคยเป็นอุปสรรคในการพัฒนาตน นิสัยเดิมๆที่เป็นกันแทบทุกคนเลยก็ได้ ก็คือนิสัยที่ชอบหลง นิสัยชอบหลง ถ้าเราปล่อยให้มันครองจิตครองใจ เราก็จะจมอยู่ในความทุกข์ได้ง่าย เราก็ไม่สามารถที่จะก้าวหน้าไปสู่ความปลอดโปร่ง ความอิสระได้เลย
หลายคนเวลามาปฏิบัติธรรม ทั้งที่รู้ว่าความรู้สึกตัวเป็นของดี แต่ว่าพอมาปฏิบัติทีไร มันหลงทุกทีๆจนกระทั่งเกิดความท้อ ถ้าเราสังเกตดู ไม่ว่าจะทำอะไร มันจะหลงอย่างเดียวเลย ที่มาวัดมาปฏิบัติธรรมก็เพื่อที่จะให้เกิดสติ ให้เกิดความรู้สึกตัว มาทำวัตรก็หลง ใจลอย ฟังธรรมก็ใจลอย เดินจงกรมก็หลง ฟุ้ง สร้างจังหวะก็ 99% นี้อยู่กับความหลง
เราจะพบว่า ไม่ว่าจะทำยังไงก็ยังหลงอยู่นั่นแหละ หลวงพ่อคำเขียน ท่านใช้คำว่า ความหลงมันมีน้ำหนัก เพราะมันเป็นนิสัยเดิม แต่ว่ามันเป็นของที่ไม่เที่ยง ถ้าเราหมั่นทำความเพียรบ่อยๆ หมันทำความรู้สึกตัวบ่อยๆ ความรู้สึกตัวนี้ก็จะค่อยๆมากินที่ความหลง แต่ใหม่ๆมันจะหลงอย่างเดียวเลย แต่ถ้าเราไม่ท้อถอยและก็ยอมรับความจริงว่า ใหม่ๆก็จะหนักไปทางหลง
แต่พอทำความเพียร ทำความรู้สึกตัวไปเรื่อยๆ เจริญสติไปเรื่อยๆ มันก็จะเริ่มมีความรู้สึกตัวมากขึ้น และถ้าเราทำหยุดโดยที่ไม่ยอมท้อถอย กับแรงฉุดกระชากของความหลง เราก็จะพบว่า เรามีความรู้สึกตัวมากขึ้นเรื่อยๆมากขึ้นเรื่อยๆ มันเกิดนิสัยใหม่ขึ้นมา ความหลงก็เริ่มอ่อนกำลังลง
ใหม่ๆความหลงก็เหมือนนิสัยอื่นๆ มันเหมือนกับเป็นร่องน้ำ เป็นร่องน้ำที่ลึกปล่อยน้ำเข้าไปไปทางร่องนี้แหละครั้นเราจะพยายามสร้างร่องใหม่ เราพยายามขูดร่องใหม่ แต่พอปล่อยน้ำที่ไร น้ำก็ไปร่องเก่าอยู่นั่นแหละ มีน้ำนิดหน่อยที่มันไหลไปทางร่องใหม่ แต่พอเราขุดไปเรื่อยๆ ร่องใหม่ก็จะใหญ่ขึ้นๆ น้ำก็จะค่อยๆไหลไปทางร่องใหม่มากขึ้น จนกระทั่งถึงจุดหนึ่ง น้ำจะไหลไปทางร่องใหม่มากกว่าร่องเก่า
ร่องเก่าก็จะตื้น ขณะที่ร่องใหม่ก็จะกว้างและลึก อันนี้เรียกว่านิสัยใหม่เกิดขึ้นแล้ว ใหม่ๆนิสัยเก่ามีกำลังมากเลย เพราะว่ามันสะสมมานาน การที่เราจะสร้างนิสัยใหม่มาแทนนิสัยเก่า มันไม่ใช่เรื่องง่าย เหมือนกับการสร้างร่องน้ำใหม่มาแทนร่องน้ำเก่า ใหม่ๆน้ำไม่ไปร่องใหม่หรอก มันก็จะไปแต่ร่องเก่า แต่พอเราทำไปเรื่อยๆทำไปเรื่อยๆขุดไปเรื่อยๆ น้ำก็จะค่อยๆไหลไปร่องใหม่มากขึ้น
อันนี้เรียกว่านิสัยใหม่มันเริ่มจะเอาชนะนิสัยเก่า เราจะหลุดจากนิสัยเก่าได้ มันต้องสร้างนิสัยใหม่ อย่าว่า แต่เรื่องนิสัยที่ชอบหลงและเปลี่ยนมาเป็นนิสัยที่รู้สึกตัว แม้กระทั้งการตื่นเช้า ใหม่ๆทั้งที่รู้ว่าตื่นเช้าดี แต่มันก็ไม่ยอมตื่นมันก็งัวเงียอยู่นั่นแหละ เพราะว่านิสัยเก่า ตื่นสาย มันยังมีกำลังอยู่ แต่พอเราทำบ่อยๆทำบ่อยๆ มันก็จะตื่นเช้าได้บ่อยขึ้นๆ ความงัวเงียที่เคยเกิดขึ้นค่อยๆหายไป นิสัยใหม่เกิดขึ้น นิสัยเก่าก็ตายหายไป
การที่พาตัวเองออกจากนิสัยเก่านั้น ก็เป็นเรื่องสำคัญ โดยเฉพาะนิสัยที่มันคอยกดถ่วงหรือเหนี่ยวรั้งเราไม่ให้เจริญงอกงาม หรือก้าวหน้า ไม่ว่าจะเป็นนิสัยเก่าก็ดี ประสบการณ์เก่าๆในอดีตก็ดี อันนี้เราต้องคอยสำรวจว่า มันมามีอิทธิพลต่อจิตใจเราแค่ไหน มันมาคอยล่ามเราให้อยู่กับที่ หรือว่าไม่สามารถจะก้าวหน้าไปหรือเปล่า ถ้าเป็นเช่นนั้นก็ต้องพยายามที่จะพาตัวให้หลุดจากประสบการณ์เดิมให้ได้
รวมทั้งพาตัวหลุดออกจากนิสัยเดิม ด้วยการทำความเพียร สร้างนิสัยใหม่ขึ้นมา สร้างสิ่งดีๆที่จะทำให้เราเกิดความมั่นใจในการลบล้างภาพเดิมๆที่มันฝังใจเรา อันนี้คือสิ่งที่เราทำได้ พระพุทธศาสนาเชื่อเรื่องของกรรมในปัจจุบัน การทำกรรมในปัจจุบันโดยเฉพาะมีความเพียร มันจะช่วยทำให้เกิดสิ่งใหม่ๆ ขึ้นมา ทดแทนสิ่งเก่าๆ ที่ไม่ดี
- พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมเย็นวันที่ 28 กันยายน 2564