แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
มีคำพูดประโยคหนึ่งที่เราอาจจะคุ้นเคย รู้อะไรไม่สู้รู้วิชา รู้วิชาอะไรที่ประเสริฐที่สุดก็คือรู้วิชาชีวิต วิชาที่เกี่ยวกับสัจธรรมความจริงของชีวิต รู้ที่สำคัญรองลงมาก็คือ รู้วิชาชีพหรือว่ารู้วิชาการ อันนี้ก็มีประโยชน์อยู่ ช่วยในการทำมาหากิน แต่ว่าก็อาจจะช่วยแก้ทุกข์ไม่ได้ โดยเฉพาะความทุกข์ทางใจ
อย่างที่เขาพูดว่าความรู้เท่าหัวเอาตัวไม่รอด อันนี้ก็หมายถึงรู้เกี่ยวกับวิชาชีพ วิชาการศาสตร์ต่างๆ อันนี้ก็เรียกว่าเป็นวิชาที่มีประโยชน์รองลงมาจากวิชาชีวิต แล้วรู้อะไรที่มีประโยชน์น้อยมากก็คือ รู้เกี่ยวกับเรื่องดาราว่าใครเป็นคู่จิ้นกับใคร มีประโยชน์ไม่มาก แค่เอาไปพูดคุยกับคนอื่นได้
มีรู้อีกอย่างหนึ่งที่มีประโยชน์น้อย คืออะไรรู้ไหม รู้งี้ รู้งี้มีประโยชน์น้อยมาก ที่ว่ารู้งี้มีประโยชน์น้อยก็เพราะว่า มันมักจะรู้เมื่อสายไปแล้ว อย่างที่มีหลายคนบอกว่ารู้งี้เมาแล้วไม่ขับดีกว่า รู้งี้ไม่กินเหล้าดีกว่า ก่อนขับรถ คนที่พูดอย่างนี้ก็หลังจากที่ประสบอุบัติเหตุไปเรียบร้อยแล้ว ตัวเองก็บาดเจ็บพิกลพิการ หรือไม่ก็ไปชนคนอื่นตาย หรืออาจจะทำให้ญาติพี่น้องที่โดยสารไปด้วย เกิดตายขึ้นมา
มีหลายคนบอกว่า รู้งี้น่าจะเลิกบุหรี่ไปนานแล้ว คนที่พูดอย่างนี้ก็เพราะว่าเป็นโรคปอด โรคถุงลมโป่งพองจากการสูบบุหรี่ติดต่อกันเป็นสิบๆปี ก็แทบจะช่วยอะไรไม่ได้ และก็มีหลายคนบอกว่า รู้งี้น่าจะกินเนื้อสัตว์ให้น้อยลง คนที่พูดอย่างนี้ก็เพราะว่าเส้นเลือดในสมองแตกจนกระทั่งเป็นอัมพาต เพราะว่าไขมันอุดตันในเส้นเลือดจากการกินเนื้อสัตว์
หรือบางคนก็บอกว่า รู้งี้ฉันน่าจะออกกำลังกายสม่ำเสมอ ที่พูดอย่างนี้ก็เพราะว่าล้มป่วยด้วยโรคหัวใจ ต้องผ่าตัดถึงกับต้องทำบายพาส แล้วก็มีหลายคนบอกว่า รู้งี้น่าจะให้เวลากับพ่อแม่มากๆ ไปเยี่ยมท่านบ่อยๆ ชวนท่านไปเที่ยว ที่พูดอย่างนี้ก็เพราะว่าพ่อแม่ได้เสียชีวิตไปแล้ว ไม่สามารถที่จะดูแล ไม่สามารถที่จะพูดคุยหรือว่าพาท่านไปเที่ยวอย่างที่เคยรับปากเอาไว้ได้
รู้งี้ จึงเป็นรู้ที่มักจะสายไปแล้ว มาได้คิดต่อเมื่อเหตุร้ายเกิดขึ้น มาแก้ไขอะไรไม่ได้ หรือว่าแก้ไขได้น้อยมาก แต่ที่จริง รู้งี้ ไม่ถึงกับเกิดขึ้นเมื่อสายไป หลายคนยังมีเวลาที่จะตั้งตัว เวลาที่จะตั้งหลักได้ แต่ว่าก็ปล่อยเวลาให้ล่วงเลยไปโดยเปล่าประโยชน์ไปไม่ใช่น้อยเลย หรือมิเช่นนั้นก็ต้องจมอยู่ในความทุกข์เป็นเวลานานกว่าจะออกจากทุกข์ได้
วัยรุ่นคนหนึ่ง แกคับแค้นใจเพราะว่าพ่อถูกฆ่าโดยวัยรุ่นข้างบ้าน แกอาฆาตมาก แล้วก็พยายามที่จะแก้แค้นให้ได้ ถึงกับยอมติดคุก เพื่อที่จะได้ไปอยู่ในสถานที่เดียวกันกับคนที่ฆ่าพ่อของเขา แล้วก็ได้ไปอยู่ที่เดียวกันสมใจที่บ้านกาญจนาภิเษก ก็หาทางพยายามแก้แค้น แต่ว่ายังไม่สำเร็จ แต่แล้วชีวิตของเขาก็เปลี่ยนตอนที่บ้านกาญจนาภิเษกทำพิธีเนื่องในวันสันติภาพ
มีกิจกรรมหนึ่งที่ทำเซอร์ไพรส์ให้กับหนุ่มคนนี้ก็คือ การเอาย่าของเขามาร่วมพิธี แล้วก็มารับการขอขมาจากชายหนุ่มคนที่ฆ่าพ่อของเขา ย่าก็คือคนที่สูญเสียลูก ด้วยน้ำมือหนุ่มคนที่ติดคุกคู่กรณี แต่จากการที่เขาได้เห็นย่าให้อภัยชายหนุ่มคนที่ฆ่าลูกของย่า มันเปลี่ยนชีวิตจิตใจของเขาได้ เพราะว่าขนาดย่าของเขายังให้อภัยคนที่ฆ่าลูกของตัวได้ แล้วเราผู้เป็นลูก ทำไมจะไม่ให้อภัยกับคนที่ฆ่าพ่อของตัวได้
พอให้อภัยเสร็จ ความรู้สึกมันโล่ง ความรุ่มร้อนมันหายไปเลย แล้วเขาก็พูดกับคนอื่นในเวลาต่อมาว่า รู้งี้ให้อภัยไปนานแล้ว ไม่คิดว่า การให้อภัยมันจะมีคุณค่าขนาดนี้ อันนี้รู้งี้ เป็นสิ่งที่ไม่สาย แต่ว่ากว่าจะรู้งี้ มันก็ทรมานด้วยความพยาบาทอาฆาตหลายปีทีเดียว
มีผู้หญิงคนหนึ่งเล่าให้ฟังว่า เธอมักจะถูกสามีพูดจาประชด บางทีก็แดกดัน เพราะว่าเธอชอบไปวัด ไปปฏิบัติธรรม เธอก็ขุ่นเคืองใจ วันหนึ่งก็ไปเล่าเรื่องนี้ให้หลวงพ่อที่วัดฟัง ท่านก็บอกว่า เขาจะพูดอย่างไรอย่าไปสนใจเขา แต่ให้ทำดีกับเขา ยิ้มแย้ม เวลาเขากลับจากที่ทำงาน หาน้ำหาของว่างมาต้อนรับ คุยดีๆไต่ถามทุกข์สุขว่าเหนื่อยไหม เธอก็แย้งว่าทำไปทำไม ทำแล้วได้อะไร
พระท่านก็ตอบว่าก็ทำเหมือนกับที่เธอมาทำบุญที่วัด เวลามาทำบุญที่วัดก็ไม่ได้หวังอะไรไม่ใช่หรือ ก็ทำอย่างนั้นแหละ เธอก็ไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่ แต่ว่าครูบาอาจารย์แนะนำก็ต้องลองทำดู ปรากฏว่าพอทำแล้ว สามีมีท่าทีเปลี่ยนไป หันมาพูดดีด้วย ประชดประชันน้อยลง ก็เรียกว่ามีความกลมเกลียวกันมากขึ้น พอเธอไปวัดครั้งต่อไปเธอบอกกับหลวงพ่อว่า รู้งี้ทำไปนานแล้ว ก็คือทำดีกับสามี พูดดีกับสามี ไม่ว่าเขาจะพูดอย่างไรก็ตาม
รู้งี้แบบนี้ก็ยังไม่สาย ถึงแม้ว่าจะปล่อยเวลาให้เนิ่นนานกับปัญหาหรือความทุกข์ก็ตาม แต่ส่วนใหญ่ รู้งี้ มักเกิดขึ้นกับผู้คนเมื่อสายไปเสียแล้ว เมื่อเกิดเหตุร้ายขึ้นมาแล้วก็บอกว่ารู้งี้น่าทำอย่างนั้น หรือน่าทำอย่างนี้
ที่จริงคนที่บอกว่ารู้งี้เมื่อเกิดเหตุร้าย ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยรู้ เขารู้ เขาเคยได้ยิน คนที่ประสบอุบัติเหตุเพราะเมาเหล้าเพราะเมาแล้วขับเขารู้เขาเคยได้ยินว่าการกินเหล้าขณะขับขี่มีอันตรายอย่างไร หลายคนรู้ว่ากินเนื้อสัตว์ทำให้เกิดโรคหลายอย่างรวมทั้งโรคหัวใจ หลายคนก็รู้ว่าสูบบุหรี่ก็ทำให้เป็นโรคถุงลมโป่งพองหรือมะเร็งปอด
หลายคนก็รู้ว่า ขณะที่พ่อแม่ยังมีชีวิต ควรให้เวลากับท่านสม่ำเสมอ ท่านจะจากไปเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ความตายไม่คอยท่า รู้แต่ไม่ทำ เพราะอะไร อาจจะเพราะความประมาท ประมาทว่ามันจะไม่เกิดขึ้นกับฉันหรอก มันคงจะไม่เกิดกับฉันหรอก โรคมะเร็งถุงลมโป่งพอง อุบัติเหตุจากการขับขี่ลวดยาน หรือว่าวันที่พ่อแม่จะสิ้นลมว่าอีกนาน อันนี้เรียกว่าประมาท พอประมาทแล้วก็ทำให้ผัดผ่อน
และเหตุผลหนึ่งที่ผัดผ่อนเพราะไปเพลินอยู่กับความสุขชั่วครูชั่วยาม หรือเป็นความสุขเฉพาะหน้า หรืออาจจะเป็นงานการที่ตัวเองบอกหมกมุ่นจนไม่ได้คิดหรือไม่ก็ผัดผ่อนไปเรื่อยๆ เอาไว้วันหลังก็แล้วกันนะเดี๋ยวสงกรานต์ก็ไปหาพ่อแม่ พอถึงเวลา ไปปีใหม่ก็แล้วกัน ผัดผ่อนไปเรื่อยๆ อันนี้เพราะความประมาท หมกมุ่นกับการงานหรือเพลิดเพลินกับความสุข และที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือว่าไม่เชื่อ เพราะว่าโทษหรือภัยยังไม่เกิดกับตัว
พยาบาลคนหนึ่ง เธอไม่ค่อยสนใจใครเท่าไร ไม่ค่อยมีน้ำใจกับเพื่อนร่วมงานเพราะเธอถือว่าเธอมีสามีเป็นปลัดจังหวัด ยังไงเธอก็สามารถจะไต่เต้าเอาดีได้โดยที่ไม่ต้องทำดีกับใคร จึงไม่มีน้ำใจกับใครเลย แถมเอาเปรียบเอาแต่ได้ จนกระทั่งไม่มีใครสนใจจะเป็นเพื่อนกับเธออย่างจริงจัง
แล้ววันหนึ่งเธอป่วยเป็นมะเร็ง มีเงินเท่าไหร่ก็รักษาไม่หาย ในช่วงที่ป่วยหนักปรากฏว่า ไม่มีใครมาเยี่ยมเธอเลย เพื่อนร่วมงานที่เป็นพยาบาลไม่มาเยี่ยมเลยสักคน ทีแรกเธออยู่ที่โรงพยาบาล ตอนหลังนอนติดเตียงอยู่ที่บ้าน เหงามาก หงอยมาก ไม่มีใครมาเยี่ยมเลย จนกระทั่งมีเพื่อนสนิทคนหนึ่งมาเยี่ยม เธอก็พูดกับเพื่อนว่า รู้งี้ฉันไม่ใช้ชีวิตอย่างที่ผ่านมาหรอก ชีวิตที่ผ่านมาคืออะไร คือการเอาแต่ได้ไม่สนใจใคร เพราะคิดว่าจะดีได้ก็อาศัยเส้นสายของสามี ไม่ต้องแคร์ใคร
แต่หารู้ไม่ว่ามิตรภาพสำคัญมากกว่าที่เธอคิด ถึงเวลาจะตายไม่มีใครมาเยี่ยมเลย เหงา สามีก็ไม่มีเวลา เธออยู่กับความเจ็บป่วยคนเดียว เพราะขาดเพื่อน และที่ขาดเพื่อนเพราะเธอไม่มีความเป็นเพื่อนกับใคร ไม่มีน้ำใจให้กับผู้คนเลย ไม่ว่าเพื่อนรอบตัวหรือคนที่อยู่ต่ำกว่าตัว อันนี้เรียกว่ามาได้คิดเมื่อสายไปแล้ว
หรือผู้บริหารหน่วยงานราชการหลายคนตอนที่เป็นใหญ่ ไม่สนใจใคร เพราะมีแต่คนมาพินอบพิเทา คิดแต่จะใช้คนนั้นคนนี้ตามนโยบายของตัว แต่ไม่มีน้ำใจเอื้อเฟื้อใคร ไม่สุงสิงไม่พูดคุยกับใคร อย่าว่าแต่หมอ พยาบาล แม้แต่เจ้าหน้าที่รองลงมายิ่งไม่สนใจใหญ่ แต่พอใกล้จะเกษียณก็พบสัจธรรมว่าไม่มีใครสนใจตัวเขาเลย เพราะว่าใกล้จะหมดอำนาจแล้ว
กินข้าวก็ไม่มีใครมากินด้วย จะเดินทางไปสนามบินแต่ก่อนก็มีคนมาพินอบพิเทา แล้วยิ่งพอเกษียณเข้าพบว่าตัวเองไม่ดีใครที่จะใส่ใจอินังขังขอบเลย เหงา โดดเดี่ยว อ้างว้าง ถึงตอนนี้แหละบอกตัวเองว่า รู้งี้ฉันจะใส่ใจกับผู้คนมากกว่านี้ แต่ก็สายไปซะแล้ว ไม่ใช่ว่าไม่เคยได้ยินการมีมิตรจิตมิตรใจต่อผู้คน เป็นสิ่งที่ควรทำเป็นสิ่งที่ดีอย่างไร ไม่ว่ากับคนที่เสมอกับตัวหรือต่ำกว่าตัว คิดว่าอำนาจอย่างเดียวเป็นที่พึ่งของเขาได้
หรืออย่างที่ผู้หญิงคนนั้นคิดว่ามีเส้นสายใหญ่โตฉันไม่ต้องพึ่งใครหรอก ไม่จำเป็นต้องมีน้ำใจกับใคร แต่ว่าพอถึงเวลาที่ตัวเองเกิดทุกข์หรือหมดอำนาจขึ้นมา ถึงค่อยพบสัจธรรมว่า ความมีน้ำใจต่างหากที่จะเป็นที่พึ่งของเราหรือช่วยเหลือเกื้อกูลเราได้ คนเราจำนวนไม่น้อย ถ้ายังไม่เจอกับตัวมันก็ไม่ได้คิด แม้จะมีใครมาพูดว่าควรทำอย่างนี้ แต่ตราบใดที่ภัยยังไม่ถึงตัวก็ยังไม่เฉลียวใจ เพราะคนส่วนใหญ่อยู่ด้วยความรู้สึก ไม่ได้อยู่ด้วยสติปัญญา
พระพุทธเจ้าเปรียบเทียบคนเหมือนม้า 4 ประเภท ม้าประเภทแรก สารถีแค่ถือปฏัก ยกปฏักขึ้น มันเห็นเงาปฏักบนพื้น ก็รู้แล้วว่าต้องเลี้ยวซ้ายหรือเลี้ยวขวา ประเภทที่ 2 เห็นเงาปฏักแล้วยังไม่สนใจ ต้องโดนที่ขุมขน ถึงรู้ว่าควรทำอะไร ประเภทที่ 3 ต้องโดนปฏักจิ้ม ทิ่มแทงไปถึงผิวหนัง ถึงได้รู้ว่าต้องทำอะไร ประเภทที่ 4 ต้องแทงไปถึงกระดูกเลยถึงรู้ ม้า 4 ประเภทนี้ก็เปรียบเหมือนกับคน 4 ประเภท
ชนิดแรก เปรียบกับคนที่แค่ได้ยินว่ามีคนตาย ก็เกิดความสลด เกิดความสังเวช เกิดความตื่นตัวในการที่จะปฏิบัติธรรม คนประเภทที่ 2 ต้องเห็นก่อน เห็นการตาย จึงเกิดความสังเวช เกิดความตื่นตัวที่จะปฏิบัติธรรม ประเภทที่ 3 ต้องมีคนที่รู้จัก ตายเสียก่อน พี่น้องร่วมสายโลหิตตายถึงได้เกิดการตื่นตัว ประเภทที่ 4 ต้องเจอทุกขเวทนาหรือความตายมาประชิดตัว ถึงค่อยตื่นตัวปฏิบัติธรรม
ในบรรดา 4 ชนิด 4 ประเภท ประเภทแรกดีที่สุดเพราะ เพียงแค่ได้ยินก็ตระหนักถึงความไม่เที่ยงของชีวิต ประเภทที่ 2 และ 3 และ 4 ต้องเจอความเจ็บปวดก่อน เจอความเศร้ากับตัว เพราะเห็นคนตายต่อหน้า หรือว่าคนที่รักตาย หรือว่าความตายเข้ามาประชิดตัว อันนี้เรียกว่าต้องเจอทุกขเวทนาก่อนไม่ว่าทางกายหรือทางใจถึงค่อยขยับ เพราะฉะนั้น ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่ว่าคนจำนวนไม่น้อยต่อเมื่อมีภัยถึงตัว แล้วจึงจะค่อยได้คิดว่า รู้งี้ฉันไม่ทำอย่างโน้น ฉันน่าจะทำอย่างนี้ดีกว่า
มีบางคนก็รู้ว่า การปฏิบัติธรรมนี้ดี แต่ว่าไม่สนใจ ต่อเมื่อเจอทุกข์ภัยเข้าถึงตัว เจอความสูญเสีย หรือว่าเจอความพลัดพราก หรือว่ากิจการล้มละลาย หรือว่าเกิดความเจ็บป่วยขึ้นมาเป็นโรคร้าย ถึงค่อยเห็นค่าของการปฏิบัติธรรม ทั้งๆที่ก่อนหน้านั้นมีคนชวนก็ไม่ไป ฉันยังไม่มีความทุกข์ แต่พอเจอภัยเจอทุกข์เข้ากับตัว ถึงค่อยบอกว่า รู้งี้ ฉันทำตั้งแต่แรกแล้ว
เพราะฉะนั้น เราอย่าประมาท อย่าปล่อยให้รู้งี้ เกิดขึ้น ถ้าจะให้ดี ทันทีที่เราได้ยินได้ฟังสิ่งดีๆ เราก็เกิดความขยันหมั่นเพียรในการที่จะปฏิบัติ จะทำอย่างนี้ได้ต้องรู้จักหยุดคิด มีเวลาอยู่ไตร่ตรอง แล้วก็ได้สังเกตชีวิต เรื่องราวของผู้คนทั้งหลาย คนที่ประสบความทุกข์เพราะว่าประมาท ปล่อยให้เวลาผ่านไปแล้วมารู้งี้ทีหลัง
พวกนี้เป็นครูของเรา เป็นครูที่สอนเราได้ดีเลยว่า อย่าปล่อยให้เวลาผ่านไป อย่ามาตื่นตัวเมื่อสายไปเสียแล้ว ถ้ารู้จักไตร่ตรองหรือพิจารณาจากผู้คนที่ประสบความทุกข์เพราะประมาท มันจะทำให้เราตื่นตัวขึ้นมา คนเหล่านี้พุทธศาสนาเรียกว่าเทวทูต โดยเฉพาะคนป่วย คนตาย คนเหล่านี้เป็นเทวทูต
คนป่วยที่ได้รับความทรมาน หรือว่าคนตายด้วยความทุรนทุราย เขาสอนให้เราตระหนักว่า ต้องหมั่นทำความเพียร ต้องหมั่นเจริญสติ ทำสมาธิภาวนา เพื่อเป็นเครื่องมือรักษาใจจะได้รับมือกับความทุกข์ต่างๆได้ ไม่ใช่เฉพาะแต่เรื่องความเจ็บป่วย แต่ยังรวมถึงเรื่องความพลัดพรากสูญเสีย เพราะถึงตอนนั้นเงินมากเท่าไรก็ช่วยไม่ได้ อย่างที่เขาเรียกว่าความรู้เท่าหัวเอาตัวไม่รอด
แต่ธรรมะ เราพึ่งพาได้ ด้วยการพากเพียรปฏิบัติ ก็มาช่วยได้ เจอความสูญเสียแต่ไม่เสียศูนย์ เจอความเจ็บป่วย ก็ป่วยแต่กาย ใจไม่เจ็บป่วย ไม่ใช่ว่าพอมันเกิดขึ้นแล้วถึงมาเสียดายเวลาที่ผ่านไป แล้วก็บ่นว่ารู้งี้ฉันน่าจะปฏิบัติธรรมตั้งแต่แรกๆแล้ว ไม่ควรปล่อยเวลามาอย่างนี้ ถึงตอนนั้นก็ทุรนทุราย ยาก็เอาไม่อยู่หมอก็ช่วยไม่ได้ แต่สิ่งหนึ่งที่ช่วยได้คือจิตใจที่ประกอบด้วยสติและปัญญานั่นแหละที่จะช่วยได้
เพราะฉะนั้น ถ้าจะให้ดี รู้อะไรก็ให้รีบทำ อย่าผัดผ่อน เพราะไม่เช่นนั้นก็จะสายเกินไปก็ได้
- พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมเย็นวันที่ 25 กันยายน 2564