แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
มีแขกชาวอินเดียคนหนึ่ง แกเป็นพ่อค้าขายทอง แกก็มีความเชื่อว่า คนเราก่อนจะตาย ถ้านึกถึงพระเจ้าตายไปก็จะได้ไปพบพระเจ้า ก็เลยตั้งชื่อลูกแต่ละคนๆมีความหมายของชื่อ ก็คือชื่อของพระเจ้า เพื่อว่าเมื่อตอนใกล้จะตาย ได้เห็นหน้าลูก ก็จะได้นึกถึงพระเจ้า แล้วใจก็จะได้สงบ หมดลมก็จะได้ไปพบพระเจ้า
ลูกคนหนึ่งชื่อหริ อีกคนหนึ่งชื่อศิวะ อีกคนหนึ่งชื่อราม อีกคนหนึ่งก็ชื่อนารายณ์ สี่คน เป็นลูกชายทั้งหมด เวลาผ่านไปหลายปี แกก็แก่เฒ่า ก็มอบหมายให้ลูกไปดูแลกิจการร้านทองของแก ซึ่งตอนนี้ก็แตกออกไปเป็นหลายสาขา แล้ววันหนึ่งแกก็ป่วยหนัก พอใกล้จะตาย ลูกๆรู้เข้า ก็ไปยืนรายล้อมให้แกได้เห็นหน้า จะได้นึกถึงพระเจ้าอย่างที่แกได้เคยวางแผนเอาไว้
แต่พอชายชราคนนี้ลืมตาขึ้นแล้วก็เห็นหน้าลูกทั้ง 4 คน แทนที่จะเกิดความปลื้มปิติ แกกลับตกใจ ตาเบิกโพลงเลย แล้วก็พูดขึ้นมาว่า พวกแกมาทั้งหมดอย่างนี้ แล้วใครจะเฝ้าร้าน แกไม่ได้นึกถึงพระเจ้าตอนที่เห็นหน้าลูกอย่างที่วางแผนเอาไว้ตั้งแต่ลูกเกิดใหม่ๆ เพราะอะไร เพราะพอเห็นหน้าลูก แกก็นึกถึงกิจการร้านทองที่ให้ลูกๆไปเฝ้าไปดูแล
พอลูกมาพร้อมหน้ากันแบบนี้ แกห่วงว่าแล้วใครจะดูแลร้าน ห่วงร้านขึ้นมา ห่วงทรัพย์ ห่วงกิจการขึ้นมา แทนที่ใจจะสงบเพราะนึกถึงพระเจ้า จิตใจกลับว้าวุ่น อย่างนี้ก็ไม่รู้ว่าแกตายไปแล้วจะจะได้ไปพบพระเจ้าอย่างที่ต้องการหรือเปล่า ที่จริงแกก็วางแผนไว้ดี อยากจะตายแล้วจะได้ไปพบพระเจ้า ก็เลยวางแผนตั้งแต่ลูกเกิดใหม่ๆตั้งชื่อลูกแต่ละคนตามชื่อพระเจ้า
แกเป็นคนที่ไม่ได้ประมาท วางแผนเตรียมตัวตายตั้งแต่เนิ่นๆเลยทีเดียว แต่ว่าแกก็วางแผนแค่นั้นแหละ เพราะพอหลังจากที่ตั้งชื่อลูกตามชื่อพระเจ้าแล้ว แกก็เอาแต่ทำมาหากิน ทำมาหากินตลอดเลย แทนที่จะปล่อยวาง ปล่อยให้ลูกรับกิจการต่อ ใจยังห่วงทรัพย์ ห่วงกิจการ จึงตกใจที่ลูกทิ้งร้านมาเยี่ยมแก มาดูใจแกในวาระสุดท้าย
แกลืมไปว่า ถ้าหากว่าจะตายอย่างสงบ แล้วก็ได้นึกถึงพระเจ้า แกก็ต้องวางเรื่องกิจการ วางเรื่องทรัพย์สินเงินทอง ไม่ใช่ว่าใช้ชีวิตเหมือนปกติ เอาแต่คิดถึงเรื่องเงินเรื่องทองเรื่องกิจการ เสร็จแล้วไปคาดหวังว่า พอจะตาย ได้เห็นหน้าลูก ก็จะได้นึกถึงพระเจ้า แล้วตายไปก็จะได้พบพระเจ้า แกคิดว่ามันมีทางลัด ทางลัดที่จะได้พบพระเจ้า คือได้เห็นหน้าลูกที่มีชื่อมีความหมายเป็นพระเจ้า แล้วก็จะได้นึกถึงพระเจ้า จะได้ตายสงบ จะไปสู่สุคติก็ตาม
แค่ตั้งชื่อลูกว่าพระเจ้ามันไม่พอ มันต้องฝึกใจด้วย ฝึกใจให้รู้จักปล่อยรู้จักวาง ไม่เอาแต่หมกมุ่นทำมาหาเงิน หรือว่าดูแลกิจการร้านค้า เพราะถึงตอนนั้น พอถึงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวาน มันจะไม่ได้นึกถึงพระเจ้าง่ายๆ มันจะนึกเป็นห่วงทรัพย์สมบัติ อันนี้เรียกว่าผิดแผน ผิดแผนเลยเห็นหน้าลูกแทนที่จะได้นึกถึงพระเจ้าแล้วก็ไปพบพระเจ้า กลับนึกถึงทรัพย์สมบัติที่ไม่มีใครดูแล เพราะว่าลูกทิ้งงานทิ้งร้านมาดูแกหมด
ที่จริงอย่าว่าแต่ความสงบในยามใกล้ตายเลย แม้กระทั่งความสุขในยามปกติ ถ้าไม่รู้จักปล่อยไม่รู้จักวางบ้าง มันก็หาความสุขได้ยาก เช่น ไปเที่ยวต่างประเทศไกลๆอย่างประเทศอเมริกา ได้ชมทัศนียภาพที่สวยงาม แทนที่จะดื่มด่ำกับวิวทิวทัศน์ที่อยู่ข้างหน้า กลับนึกถึงกิจการที่เมืองไทยว่า ตอนนี้เป็นอย่างไรใครจะดูแล
หรือนึกถึงทรัพย์สินเงินทองว่า ตอนนี้หุ้นราคาตก แล้วหุ้นของเราที่ซื้อไว้เป็นล้านๆจะทำยังไง ถ้าใจเป็นห่วงเป็นกังวลทรัพย์สมบัติ หรือแม้แต่ห่วงลูกห่วงหลานที่บ้าน มันก็ไม่มีความสุข แม้ว่าจะได้เห็นทัศนียภาพที่สวยงาม ไปกินอาหารที่อร่อย เมนูราคาเป็นหมื่น แต่ว่าใจก็ห่วงลูก ห่วงพ่อแม่ว่า ตอนนี้ใครดูแลอยู่ มันก็ไม่มีความสุข ไม่รู้สึกเอร็ดอร่อยกับอาหารเพราะว่าไม่รู้จักปล่อยไม่รู้รู้จักวาง
อย่าว่าแต่ความสุขในยามใกล้ตายเลย หรือความสงบในยามใกล้ตายเลย แม้ความสุขแบบโลกๆก็ไม่มีโอกาสที่จะสัมผัสได้ ที่จริงพูดถึงเรื่องของภาวะจิตใจตอนใกล้ตาย ทางพระพุทธศาสนาก็เชื่อว่า ถ้านึกถึงพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์ เกิดความปิติ เกิดปราโมทย์ขึ้นมา ถ้าตายตอนนั้น ก็จะได้ไปสู่สุคติ เพราะฉะนั้น จึงมีธรรมเนียมประเพณีที่น้อมนำจิตของผู้ใกล้ตาย ให้นึกถึงพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์ เขาเรียกว่าธรรมเนียมบอกอรหัง
อันนี้ก็คล้ายๆกับความเชื่อของแขกคนนั้น เพียงแต่ว่าแทนที่จะไปพบพระเจ้า ก็ได้ไปสู่สุคติ พระได้นึกถึงพระรัตนตรัย แต่ถ้าแม้จะมีคนนำยังไง แต่ใจของผู้ใกล้ตายมานึกถึงทรัพย์สมบัติ นึกถึงลูก นึกถึงหลาน ห่วงลูกห่วงหลาน มันก็ไม่มีทางที่จะเกิดความสงบในจิตใจ แล้วก็ไปตีได้ จะรอให้หลวงพ่อหลวงตาที่มีชื่อเสียงมานำตอนใกล้ตายอย่างเดียวไม่พอ เจ้าตัวก็ต้องรู้จักฝึกปล่อยฝึกวางตั้งแต่ยังมีสุขภาพดี
แม้ว่าจะทำงานทำการ ขยันขันแข็งเพียงใด ดูแลลูกด้วยความเอาใจใส่เพียงใด ต้องรู้จักปล่อยรู้จักวางบ้าง เพราะถ้ายังยึดติดถือมั่น ห่วงทรัพย์ ห่วงลูกอยู่ตลอดเวลา ถึงเวลาจะตายจะให้นึกถึงพระรัตนตรัยทั้งๆที่มีคนนำ มันก็จะยาก เพราะมันมีแต่จะนึกถึงลูกนึกถึงหลาน หรือบางคนอาจจะห่วง นึกถึงงานการที่เคยทำแล้วก็วางไม่ได้
จะไปหวังทางลัด จะไปคิดว่า ฉันจะสนุกให้เต็มที่ หรือว่าเอาแต่หาเงินหาทอง เสร็จแล้วก็รอว่า ตอนตายจะมีคนมานำทาง แล้วจะได้ไปสู่สุคติ แบบนี้มันประมาท
มันต้องฝึกตั้งแต่เดี๋ยวนี้เลย ฝึกปล่อยฝึกวางเอาไว้ ดูแลลูกด้วยความห่วงใยอย่างไรก็ต้องรู้จักปล่อยรู้จักวาง ถึงเวลาตายมีคนนำทางให้ระลึกถึงพระรัตนตรัย ใจก็น้อมไปได้ง่าย หรือแม้จะไม่มีใครมานำแต่ว่ามีสติระลึกได้ถึงพระรัตนตรัย ใจก็สงบ และถ้าตายตอนนั้นก็ไปสู่สุคติ
- พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมก่อนฉันเช้าวันที่ 25 กันยายน 2564