แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
พ่อค้าคนหนึ่ง วันๆแกก็เอาแต่ทำมาหากิน ไม่ค่อยสนใจเรื่องธรรมะ หรือว่าการปฏิบัติธรรมเท่าไร จนกระทั่งวันหนึ่ง ผู้มีพระคุณชวนแกไปเข้าคอร์สปฏิบัติธรรม จะบ่ายเบี่ยงก็ลำบาก ก็เลยไปด้วยความไม่เต็มใจแต่ก็ขัดไม่ได้ ครั้นพอได้ไปทำสมาธิภาวนา 7 วัน ก็ได้สัมผัสกับความสงบ แล้วก็เกิดความประทับใจ เห็นคุณค่าของการทำสมาธิภาวนา
แกก็เลยตั้งใจว่า เมื่อกลับจากการปฏิบัติธรรม แกก็จะพยายามนั่งสมาธิทุกเย็นหลังปิดร้าน เลิกงานก็นั่งทำสมาธิครึ่งชั่วโมง แล้วแกก็ทำได้ นั่งสมาธิภาวนาหลังปิดร้านทุกเย็นต่อเนื่องมา ตั้งแต่วันจันทร์ จนกระทั่งถึงเย็นวันศุกร์ นั่งใกล้จะเกิดสมาธิแล้ว กำลังใกล้จะสงบปรากฏว่ามีเสียงดังนอกร้าน เป็นเสียงเอะอะ เสียงหัวเราะ
ลงไปดูก็ปรากฏว่ามีเด็กกลุ่มหนึ่งมาเล่นฟุตบอลกัน หน้าร้านถนนมันโล่ง แกก็รู้สึกไม่พอใจที่นั่งสมาธิไม่ได้เพราะมีเสียงรบกวน ใจหนึ่งก็อยากจะไล่เด็กออกไปให้ไปเล่นที่อื่น แต่ขืนทำอย่างนั้นคงไม่ได้ผล เด็กกลับจะส่งเสียงดังเพื่อเอาชนะแกยิ่งขึ้น แกก็เลยออกอุบาย ออกไปหาเด็ก ตอนนั้นเด็กกำลังจะเลิกเล่นฟุตบอลแล้ว
แกบอกเด็กว่า ลุงเห็นพวกหนูเล่นฟุตบอล เห็นหนูเล่นมีความสุขมากเลย ลุงก็พลอยมีความสุขไปด้วย อยากให้รางวัลหนู เอาไป 100 ไปแบ่งกัน สมัยนั้น 100 ก็ถือว่าเป็นเงินจำนวนมาก เด็กก็ดีใจ พอวันเสาร์อาทิตย์เงียบสงบ แกก็นั่งสมาธิจนถึงเย็นวันศุกร์ เหตุการณ์ก็กลับมาซ้ำเดิม เพราะว่านัดกันมาเล่นฟุตบอลทุกวันศุกร์ เสียงก็ดัง อันนี้ก็ตรงกับสิ่งที่พ่อค้าแกเดาได้อยู่แล้ว
แกก็ออกไปหาเด็ก แล้วก็บอกว่า ลุงดีใจจังเลยที่เห็นหนูมาเล่นบอล อยากจะให้รางวัลหนู แต่ว่าช่วงอาทิตย์นี้รายได้ไม่ค่อยดีลูกค้าน้อย เอาไปก็แล้วกัน 50 บาท เด็กก็ยังดีใจอยู่ อาทิตย์ต่อมาถึงเย็นวันศุกร์เด็กก็มาอีก เล่นฟุตบอลกันเหมือนเดิม พ่อค้าก็ออกไปหาเด็กแล้วก็พูดว่า ลุงดีใจจังเลยหนูที่เล่นฟุตบอล แต่ช่วงนี้ธุรกิจของลุงไม่ค่อยดีเลยลูกค้ามาน้อยมาก
ลุงอยากจะให้รางวัลหนู แต่ลุงก็มีเท่านี้แหละ 10 บาท เอาไปแบ่งกัน ทีนี้เด็กมีสีหน้าไม่พอใจแล้ว ปรากฏว่า ศุกร์ถัดมา เด็กไม่มาเล่นบอลแล้ว ความสงบก็กลับคืนมา ก็สมใจพ่อค้าแล้ว นับแต่นั้นมาเด็กก็ไม่มาเล่นบอลหน้าร้านแกอีกเลย ทำไมเด็กไม่มาเพราะเด็กไม่พอใจที่ได้แค่ 10 บาท ทำไมถึงได้ 10 บาทแล้วไม่พอใจ ก็เพราะเด็กคาดหวังว่าจะได้ 100 หรือ 50 บาท เพราะเคยได้ พอได้ 10 บาทรู้สึกว่ามันน้อย ไม่คุ้มค่าเหนื่อยที่มาเล่นบอล
แต่เด็กไม่ได้มองว่า ก่อนหน้านั้นเคยมาเล่นบอลก็ไม่ได้เงินเลย แต่ก็มาเล่นทุกอาทิตย์เพราะอะไร เพราะสนุก ทีนี้ถ้าเด็กลองคิดว่าเล่นบอล สนุกด้วย แล้วได้ 10 บาทด้วย เด็กก็น่าจะมีความพอใจ แต่ไม่เป็นเช่นนั้นเด็กคาดหวังว่าจะได้ 100 บาทหรือ 50 บาทเพราะความคาดหวังก็ทำให้ 10 บาทกลายเป็นเงินจำนวนน้อยไป และทำให้ไม่มีแรงจูงใจที่จะเล่นฟุตบอล
ก่อนหน้านั้นเด็กเล่นฟุตบอลโดยไม่ได้คาดหวังอะไร ก็เลยสนุก มาเล่นทุกศุกร์ ไม่คาดหวังว่าจะได้เงิน เพียงแค่ความสนุกนี้ก็ทำให้เด็กมีความสุขแล้ว แต่ทันทีที่เด็กมีความคาดหวัง หวังจะได้เงิน ไม่ใช่ไม่ได้ให้ได้ ครั้งต่อไปก็ได้เงิน แต่ได้ 10 บาท ก็เลยเกิดความทุกข์ขึ้นมา
ที่จริงถ้าเด็กมองให้ดี มองให้เป็นหรือคิดว่า แต่ก่อนมาเล่นบอล ไม่ได้เงินเลย แม้เหนื่อย แต่สนุก แต่ที่นี้มาได้เงินเป็นของแถม มันก็น่าจะดี แต่เป็นเพราะไปเปรียบเทียบกับ 2 อาทิตย์หลังที่ได้ 100 บาท ต่อมา ได้ 50 บาท แล้วล่าสุดได้ 10 บาท ซึ่งดูแล้วกลายเป็นน้อย
แต่ถ้าเด็กเปรียบเทียบกับว่าตอนที่เล่นบอลครั้งแรกๆเลยไม่ได้สักแดง คราวนี้ได้ 10 บาทก็ถือว่าเป็นกำไร ถือว่าเป็นโชค แต่พอไปได้ 100 กับ 50 แต่คราวนี้ได้ 10 บาทมันกลายเป็นเคราะห์ไปเลย เด็กมองไม่เป็น ได้เลยกลายเป็นเสีย เสีย 40 บาท หรือเสีย 90 บาทอย่างที่เคยได้ ยิ่งเปรียบเทียบกับตอนที่ตัวเองได้เยอะ
แต่ถ้าลองเปรียบเทียบกับตอนที่ตัวเองยังไม่เคยได้อะไรเลยสักแดง 10 บาทคือได้ เด็กเปรียบเทียบไม่เป็น เด็กก็เลยมีความทุกข์ ไม่พอใจกับการเล่นฟุตบอล ไม่สนุกอีกต่อไป
คนเราก็เป็นอย่างนี้แหละ ถ้าเรามองไม่เป็น หรือเปรียบเทียบไม่เป็น ก็จะทุกข์ เปรียบเทียบกับคนที่ได้มากกว่าเรา ทั้งๆที่เราได้เยอะอยู่แล้ว แล้วก็เป็นโชคเสียด้วย เช่นได้โบนัส ได้โบนัสมา 100,000 บาทได้ฟรีเลย แต่แทนที่จะดีใจ กลับเสียใจเมื่อพบว่า เพื่อนอีกโต๊ะหนึ่งเขาได้ 12,000 บาท พอเขาได้ 120,000 ที่เราได้ 100,000 ก็เลยกลายน้อย เกิดความไม่พอใจ
แต่ถ้าลองไปเปรียบเทียบกับอีกคนหนึ่งเขาได้ 60,000 บาท จำนวน 100,000 ของเราก็เลยกลายเป็นมาก เกิดความพอใจ เกิดความสุชขึ้นมา
คนเราทุกข์ เพราะมองไม่เป็น อย่าว่าแต่ทุกข์รักเสียเลย แม่้ได้มาก็ทุกข์ถ้ามองไม่เป็น การมองไม่เป็นเช่นไปเปรียบเทียบกับคนที่มีมากกว่า เราได้น้อย เราได้ไม่มากเท่าเขา เราก็กลายเป็นน้อยหรือเสียไป หรือว่าคาดหวังมากๆ ไม่ได้อย่างที่คาดก็เป็นทุกข์ อันนี้เรียกว่าทุกข์ไม่ใช่เพราะเสีย แต่ทุกข์เพราะไม่ได้อย่างที่คาดหวัง ทุกข์เพราะไปเปรียบเทียบ
คนทุกวันนี้มีอะไรมากมายเยอะแยะ แต่ก็ยังทุกข์ เพราะมองไม่เป็น เพราะไปเปรียบเทียบกับคนนั้นคนนี้แต่ไม่เคยเอามาเปรียบเทียบกับตัวเองว่าสมัยก่อนเราไม่มีเลย แต่ตอนนี้เราก็มีมากมาย ถ้าคิดอย่างนี้เราก็จะมีความสุขมีความพอใจ เพราะรู้สึกว่าตัวเองได้ ไม่ใช่เสีย หรือไม่ใช่พร่อง ไม่ใช่ขาด
เรื่องของเด็กกลุ่มนี้ เป็นคติสอนใจคน ถ้ารู้จักมอง ถ้าเอามาเปรียบเทียบกับตัวเองว่า ทุกวันนี้เราเป็นเหมือนกับเด็กฟุตบอลกลุ่มนี้หรือเปล่า ได้ 10 บาทแต่ก็ยังไม่พอใจ แทนที่จะมีความสุขกับการเล่นฟุตบอล ตอนนี้ไม่มีความสุขแล้วเพราะว่าหวังจะได้เงิน
คราวนี้ในส่วนของพ่อค้าเอง ก็น่าคิด แกต้องการความสงบ แต่ก็รู้สึกว่าความสงบถูกรบกวน เพราะการที่เด็กมาเล่นฟุตบอลหน้าร้าน ก็เลยต้องออกอุบาย นอกจากเสียเงินแล้ว ก็ยังต้องโกหกด้วย ที่จริงมันไม่จำเป็นต้องทำอย่างนั้นก็ได้ แต่ว่าคนเราก็มักจะเข้าใจว่า ความสงบมันจะเกิดขึ้นได้ก็เพราะไม่มีเสียงมารบกวน อันนี้เป็นความเข้าใจของคนจำนวนมาก
ซึ่งก็จริงในส่วนหนึ่ง เวลาเรานั่งสมาธิเราจะพบกับความสงบในจิตใจ หากว่าไม่มีเสียงรบกวน และอันนี้เป็นวิธีการที่คนส่วนใหญ่ทำ เวลาอยากจะนั่งสมาธิเพื่อจะได้ความสงบ เช่น ปลีกตัวไปอยู่ในที่ๆไม่มีเสียงรบกวน ถ้าไปวัด หรือไปสถานปฏิบัติธรรมได้ก็ดี แต่ถ้าไปไม่ได้ ก็ไปอยู่ในห้องที่เป็นส่วนตัวหน่อย เช่น ห้องพระ อาจจะปิดประตูหน้าต่าง เปิดแอร์ ไม่ให้เสียงลอดเข้ามา
เท่านั้นไม่พอ ก็อาจจะปิดโทรศัพท์ อันนี้เป็นเพราะมีข้อความที่คอยเข้ามารบกวน และเพื่อจะให้ได้ความสงบ ก็ต้องปิดตา อยู่นิ่งๆ กำชับไม่ให้ใครมาหา มาพูดคุยด้วย ปิดตาเพื่อจะได้ไม่เห็น ปิดโทรศัพท์เพื่อจะได้ไม่รับรู้ ปิดประตูหน้าต่างเพื่อจะไม่ได้ยินเสียง เท่านั้นไม่พอ ยังบังคับจิตให้มันนิ่ง ให้มันแช่อยู่กับลมหายใจ หลายคนทำอย่างนี้ แล้วก็พบกับความสงบในจิตใจ เพราะว่ารอบตัวก็สงบไปด้วย
สงบแบบนี้เรียกว่าสงบเพราะว่าตัดการรับรู้ ตัดการรับรู้ทางตา ทางหู รวมทั้งตัดการรับรู้ทางความคิด เพราะว่าบังคับจิตให้มันอยู่แน่นิ่ง ไม่ต้องคิดอะไร ให้มาจดจ่ออยู่กับลมหายใจ หรืออยู่กับท้องที่พองยุบ เป็นความสงบที่เกิดจากการไม่รับรู้ หรือเป็นเพราะไม่รู้ไม่เห็น ความสงบแบบนี้ก็เกิดขึ้นได้ไว
และนี่ก็เป็นวิธีการของพ่อค้าคนนี้ แต่ว่ามันมาไวก็จะไปเร็ว ถ้าเกิดมีเสียงรบกวนอย่างเช่นพ่อค้าคนนี้แกก็นั่งสมาธิแต่ใจแกไม่สงบเลยเพราะมีเสียงรบกวนจากหน้าร้านเพราะเด็กมาเล่นฟุตบอล มันเป็นความสงบที่ต้องพึ่งพาอาศัยสิ่งแวดล้อมมากเลย มันเป็นความสงบที่เรียกว่าค่อนข้างจะมีอายุสั้น โดยเฉพาะถ้าหากว่าเลิกปฏิบัติ ออกไปเจอผู้คน ออกไปเจอความจอแจ พลุกพล่าน ความสงบอาจจะพลิกผันกลายเป็นความรุ่มร้อน ความวุ่นวายไปเลยก็ได้
อย่างมีผู้ชายคนหนึ่งมาเข้าคอร์สแค่ 1 วัน มาปฏิบัติธรรมในสมาคมแห่งหนึ่งทางพระพุทธศาสนา ก็มีคนมาปฏิบัติร่วมกันหลายคนแต่ก็ไม่ได้พูดคุยกัน บรรยากาศก็เลยสงบ แถมติดแอร์ ปิดหน้าต่าง นั่งสมาธิตั้งแต่เช้าจรดเย็น มีเดินจงกรมเป็นครั้งคราว ก็รู้สึกใจสงบมากเลย พอถึงตกเย็นปิดคอร์ส แกก็เดินไปที่จอดรถ จะขับรถกลับบ้าน แต่ปรากฏว่า รถของตัวเองออกไม่ได้
เพราะมีอีกคันหนึ่งมาจอดซ้อนอยู่ข้างหน้า ข้างหลังก็มีรถจอดอยู่ ออกไม่ได้แถมยังมีรถจอดซ้อนคู่ขนานกัน แกโกรธมากเลยถึงกับหลุดปากด่าเจ้าของรถคันนั้นซึ่งก็ไม่รู้ว่าเป็นใคร คนที่อยู่ใกล้ๆเหตุการณ์ตกใจเลยว่านี่เพิ่งปฏิบัติธรรมมาหยกๆ ปฏิบัติธรรมเสร็จไม่ถึง 5 นาทีกลายเป็นอีกคนหนึ่งไปแล้วหรือนี่ ขนาดคนที่เขาไม่ปฏิบัติธรรม ยังไม่ตะโกนด่า แสดงอาการก้าวร้าวแบบนั้น เป็นเพราะอะไร
เป็นเพราะว่าได้มาเห็นภาพที่ไม่น่าพอใจ ก็เลยเกิดความโกรธ ความสงบที่มีมันก็เลยแตกไปเลย อันนี้ชี้ให้เห็นถึงความสงบที่เปราะบาง เป็นความสงบเพราะไม่รับรู้ แต่พอรับรู้โดยเฉพาะมาเห็นภาพที่ไม่ถูกใจ ความสงบก็แตกเลย
ที่จริงแม้จะเห็นภาพที่ไม่ถูกใจก็ไม่จำเป็นที่จะต้องสติแตก หรือความสงบแตกก็ได้ หากว่ามีสติ รู้ทันอารมณ์ที่เกิดขึ้น ความไม่พอใจ ความหงุดหงิด หรือแม้กระทั่งความโกรธ เพราะถ้าเห็นแล้วความโกรธก็จะมาครอบงำจิตไม่ได้ รู้ทันความโกรธ ก็วางความโกรธลงได้
มีความสงบอีกประเภทหนึ่ง เรียกสั้นๆว่าสงบเพราะรู้ แม้ว่าจะเปิดตาเห็นภาพ แม้ว่าจะมีเสียงมากระทบหู แต่ว่าใจไม่กระเพื่อม ใจก็เป็นปกติได้ ไม่จำเป็นต้องตัดการรับรู้ ปิดตาจะได้ไม่เห็นภาพ ปิดประตูหน้าต่างจะได้ไม่ได้ยินเสียง ที่จริงเห็นภาพได้ยินเสียง ใจไม่ว้าวุ่นมันทำได้ถ้าหากว่ามีสติ มีสติเมื่อเกิดผัสสะ เมื่อตากระทบรูป หูได้ยินเสียง หรือมีสติ เมื่อมันปรุงเป็นอารมณ์ขึ้นมา มีความหงุดหงิดเกิดขึ้นก็รู้ทันมันอย่างรวดเร็ว ถ้ารู้ด้วยสติ มันวางเลย ความหงุดหงิดเกิดขึ้นเมื่อได้ยิน ก็รู้ ก็วาง
เพราะฉะนั้นถ้าหากว่าผู้ชายผู้นี้ไม่ได้รู้จักความสงบเพราะตัดการรับรู้ แต่เรียนรู้ที่จะทำใจให้สงบได้ ทั้งๆที่รู้ คือรู้ว่ามีอารมณ์มากระทบ รูปก็ดี เสียงก็ดี หรือสงบเพราะรู้ทันความคิดหรืออารมณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อมันมีการกระทบ เขาก็สงบได้
อย่างพ่อค้าคนนี้ แม้ว่าจะนั่งสมาธิเจริญสติ แล้วมีเสียงเด็กหัวเราะ เสียงเตะฟุตบอลดังเข้ามากระทบหู ถ้าแกมีสติ ก็จะไม่รู้สึกรำคาญ หรือรู้สึกหงุดหงิดกับเสียงเหล่านั้นเลย เวลาเสียงมากระทบ เกิดความไม่พอใจ หรือว่าใจกระเพื่อม ก็เห็นมัน ใจก็สงบ อย่างนี้เรียกว่าสงบเพราะรู้ เด็กจะเล่นบอลก็เล่นไป แต่ว่าพ่อค้าก็ยังสงบได้
แต่ว่าพ่อค้าเขารู้จักความสงบชนิดเดียว ซึ่งเป็นความสงบแบบเพราะไม่รู้ เพราะไม่มีเสียงรบกวน ทั้งๆที่มีวิธีที่จะรักษาใจให้สงบได้ ถ้าหากว่ามีสติรู้ทัน รู้ทันความคิดรู้ทันอารมณ์ที่เกิดขึ้น ที่จริงนอกจากสติที่ช่วยทำให้รู้ทันแล้ว มันก็ยังมีอีกตัวหนึ่งคือปัญญา
ปัญญาช่วยในการรับมือกับสิ่งที่มากระทบ หรือสิ่งที่เกิดขึ้นกับเราได้ดีมากเลย ถ้าเป็นปัญญาที่เข้าใจความจริง เข้าใจสัจธรรมความจริง เสียงเด็กเล่นมันก็เป็นเช่นนั้นเอง หรือแม้แต่เสียงฝนตกกระทบหลังคาตอนนี้ก็เป็นเช่นนั้นเอง มันเป็นของมันอย่างนั้น หรือมีปัญญาเข้าใจว่า อะไรๆก็ไม่เที่ยง มีปัญญากระทั่งเห็นว่า มันไม่มีอะไรที่ยึดมั่นถือมั่นได้
บ่อยครั้งความไม่สงบ มันไม่ได้เกิดขึ้นเพราะเสียงดัง แต่เป็นเพราะเจอเหตุการณ์ที่ไม่พอใจ อย่างที่เราสวดทุกเช้า ประสบกับสิ่งที่ไม่รักไม่พอใจ พลัดพรากจากสิ่งที่รักที่พอใจ อย่างเช่น ความเจ็บป่วย แม้ว่าอยู่ในห้องที่สงบแต่ว่าจิตใจมันไม่สงบเลย เพราะความเจ็บความปวด หรือความป่วย หรืออาจจะรวมถึงความพิกลพิการ สูญเสียอวัยวะ แต่ถ้ามีปัญญาเห็นว่า แท้จริงมันไม่มีอะไรที่จะยึดมั่นถือมั่นได้ ไม่มีอะไรที่เป็นเราของเรา เห็นความจริงกระทั่งว่า มันไม่มีตัวกูเลย
เพราะฉะนั้นเวลาเจ็บป่วย เวลาเกิดความทุกข์กาย มันก็มีแต่ความทุกข์กาย แต่ไม่มีความทุกข์ใจ หรือพูดอีกอย่างหนึ่งคือว่า มีความทุกข์ แต่ไม่มีผู้ทุกข์ การที่คนจะเข้าถึงภาวะนี้ได้ มันต้องมีปัญญาเห็นว่ามันไม่มีตัวเรา มันไม่มีผู้ทุกข์ มันมีแต่ความทุกข์ มีความปวดแต่ไม่มีผู้ปวด
อย่างอาจารย์กำพล ทองบุญนุ่ม ท่านพิการทั้งตัว ทีแรกมีความทุกข์มาก เพราะว่ารักษาเท่าไหร่ก็ไม่หายรอคอยวันตายอย่างเดียว แต่พอได้มาปฏิบัติธรรมเจริญสติ ได้มาเข้าใจว่า ทั้งเนื้อทั้งตัวมันมีแต่รูปกับนาม มีแต่กายกับใจ พอเห็นตรงนี้ ใจกระจ่างเลย เพราะได้เห็นชัดเลยว่า ที่พิการคือกายพิการ ไม่ใช่เราพิการพอกายพิกา ไม่มีเราที่พิการ จิตมันหายทุกข์เลย
ความพิการเป็นเรื่องของกาย ไม่ใช่เป็นเรื่องของใจ ท่านบอกว่า จิตลาออกจากความทุกข์เลย จิตลาออกจากความทุกข์เพราะเห็นว่า ที่พิการคือกายพิการไม่ใช่เราพิการ กายทุกข์ใจไม่ได้ทุกข์ด้วย ก็เกิดความสงบ สงบเพราะรู้ รู้อันนี้คือรู้ด้วยปัญญา
เพราะฉะนั้นถ้าเกิดว่าเรารู้จักความสงบให้กว้างไปกว่าความสงบเพราะไม่รู้ มันมีความสุขเพราะรู้ ไม่ว่าจะรู้ด้วยสติหรือรู้ด้วยปัญญา จะอยู่ที่ไหนก็พบกับความสงบได้ เด็กจะเล่นบอล รบกวนอย่างไร ก็สงบได้ เพราะวางใจได้ถูกต้อง
- พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมเช้าวันที่ 25 กันยายน 2564