แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
เมื่อสัก 50 ปีก่อน ปีก่อนที่ประเทศอเมริกา มีอาจารย์มหาวิทยาลัยคนหนึ่ง แกอยากศึกษาพฤติกรรมของเด็กอนุบาล ก็เลยชวนเด็กอนุบาลไว้ประมาณ 4 ถึง 6 ขวบมาร่วมทำกิจกรรมอันหนึ่ง ง่ายๆ ก็คือ ครูหรือผู้ใหญ่พาเด็กเข้ามาในห้อง ในห้องก็มีถาดขนม เยอะแยะเลย แล้วครูก็บอกกับเด็กว่า ขนมนี้ถ้าอยากจะกินก็กินได้เลยคนละ 1 ชิ้น แต่ถ้าใครรอ อดใจไม่กิน รอสัก 15 นาที พอครบ 15 นาทีแล้วก็จะได้กิน 2 ชิ้น
แล้วก็ปล่อยให้เด็กอยู่กัน ให้อยู่กลุ่ม 10-15 คน แล้วก็ศึกษาพฤติกรรมของเด็ก โดยไม่ให้เด็กรู้ว่ามีผู้ใหญ่แอบมองอยู่ พบว่าเด็กจำนวนหนึ่งพยายามอดกลั้น แต่ว่าอดใจไม่ไหวก็คว้าขนมมากิน 1 ชิ้น อันนี้คือคนส่วนใหญ่ประมาณ 2 ใน 3 ส่วนที่เหลือคือ 1 ใน 3 อดกลั้นได้ ทนได้ อยากกินก็อยากกิน แต่อดทน พอครบ 15 นาทีก็คว้าเลย 2 ชิ้น
เขาทำอย่างนี้กับเด็กหลายกลุ่ม ทำหลายครั้ง รวมทั้งหมดประมาณ 600 คน แล้วเขาก็ติดตามเด็กรุ่นนี้ไปจนโต เข้าโรงเรียน เป็นวัยรุ่นแล้วเข้ามหาวิทยาลัย เรียนจบแล้วก็ติดตามว่า เขาทำมาหากินอะไร ชีวิตเป็นอย่างไรบ้าง สิ่งที่เขาพบน่าสนใจมาก
เขาพบว่าเด็กที่ควบคุมตนเองได้ คือ ยอมอดกลั้น ไม่คว้าขนมมากินทันที แต่รอจนครบ 15 นาทีแล้วถึงค่อยเอาขนม 2 ชิ้นมากิน เด็กเหล่านี้ ส่วนใหญ่มีสุขภาพดี ไม่อ้วนมากเกินไป น้ำหนักไม่เกิน แล้วก็เรียนดีด้วย เป็นวัยรุ่นก็ไม่ค่อยติดยาติดบุหรี่ สอบเข้ามหาวิทยาลัยก็สอบได้น้อยกว่า ได้คะแนนน้อยกว่ากลุ่มแรก มากกว่า ได้คะแนนดีกว่าด้วย และส่วนใหญ่ก็เรียนจบ เรียนจบแล้วก็มีงานทำที่ดี มั่นคง
ในขณะที่เด็กอีกกลุ่มหนึ่ง ซึ่งเป็นเด็กส่วนใหญ่ที่คว้าขนมขึ้นมากินทันทีเลยนั้น ปรากฏว่าสุขภาพไม่ค่อยดี น้ำหนักเกิน เพราะว่ากินอาหารที่ไม่ค่อยถูกโภชนาการเท่าไร มีเนื้อ มีไขมันเย่อะ มีน้ำตาลมาก เรียนก็ไม่ได้คะแนนดีเท่าไร สอบเข้ามหาวิทยาลัยก็สอบได้น้อยกว่ากลุ่มแรกและคะแนนก็ไม่ค่อยดี พอเป็นวัยรุ่นเข้า ถ้าไม่ติดเหล้า บุหรี่ ก็ติดยาไปเลย ยาเสพติด เรียนไม่จบก็เยอะ เรียกว่าเลิกกลางคัน ที่เรียนจบ งานการก็ไม่ได้มั่นคงแน่นหนาเท่าไร เรียกว่าไม่ค่อยประสบความสำเร็จเท่าไร
เขาก็สงสัยว่า ทำไม 2 กลุ่มนี้ จึงมีความแตกต่างกัน ก็พบว่าตัวแปรสำคัญ ไม่ใช่ฐานะเศรษฐกิจ ไม่ใช่ผิวสีๆ ไม่ใช่ภูมิลำเนา แต่ว่าอยู่ที่ความสามารถในการควบคุมตัวเอง ซึ่งก็แสดงให้เห็นตั้งแต่ตอนที่เป็นเด็กอนุบาล เขาก็เลยได้ข้อสรุปว่า ความสามารถในการควบคุมตัวเอง หรือการควบคุมความอยาก ควบคุมอารมณ์ความรู้สึก รู้จักอดทนรอคอยได้ อันนี้เป็นคุณสมบัติที่สำคัญเลย
ที่จะเป็นตัวชี้ว่า เด็กโตขึ้นจะมีชีวิตที่ดีไหม มีสุขภาพดีไหม ผลการเรียนดีไหม และมีความสำเร็จในอาชีพการงานหรือเปล่า ตัวแปรก็มีเยอะ แต่ว่าตัวนี้ ความอดทนรอคอย ความรู้จักยับยั้งชั่งใจ เป็นตัวแปรสำคัญเลยทีเดียว ซึ่งก็น่าคิด ว่าที่จริงแล้ว มันก็มีเหตุมีผล
เด็กที่รู้จักควบคุมตัวเองเขารู้ว่า 2 ชิ้นดีกว่า 1 ชิ้น เด็กส่วนใหญ่คุมอารมณ์คุมความอยากไม่ได้ เห็นขนมมันอยู่ต่อหน้า อดกลั้นอดความอยากไม่ไหว ส่วนใหญ่เด็กที่รู้จักควบคุมตัวเอง รู้จักอดกลั้น อดทนต่อความอยาก เด็กเหล่านี้เขาจะมีความสามารถในการอดทนต่อสิ่งล่อเร้าเย้ายวน เห็นไอศครีม ช็อกโกแลต อยากกิน แต่ถ้าเขารู้ว่า กินมากๆจะมีผลเสียต่อสุขภาพ ทำให้อ้วนเป็นโรคหัวใจ เป็นเบาหวานเมื่อโตขึ้น เขาก็ยับยั้งชั่งใจไม่กิน กินพอประมาณ สุขภาพก็เลยดี
หรือว่าเวลาเรียนหนังสือ มันมีสิ่งเย้ายวนเยอะ เด็กบางคนก็ห่วงเล่น ไม่อยากทำการบ้าน ไปเล่นดีกว่า ดูโทรทัศน์ดีกว่า ถ้าเป็นสมัยนี้ก็เล่นเกมเล่นวีดีโอเกมดีกว่า รวมทั้งคว้าโทรศัพท์มือถือมาดู ก็เลยไม่เป็นอันเรียน แต่ว่าเด็กที่ควบคุมตัวเองได้ตั้งแต่อนุบาล ไม่ว่าจะเรียนชั้นประถม มัธยม มหาวิทยาลัย เขาก็ควบคุมตัวเองไม่ให้ทำตามสิ่งล่อเร้าเย้ายวนได้ แล้วต่อไปก็จะอดทนต่อสิ่งยั่วยุ ยั่วยุให้โกรธ ยั่วยุให้โมโห
สิ่งยั่วยุกับสิ่งเย้ายวน มันก็มาคอยกระตุ้นให้คนเรา เผลอทำอะไรที่ไม่ถูกต้อง แต่ดีที่เขาควบคุมตัวเองได้ เขาก็จะไม่เผลอ ปล่อยใจไปตามอำนาจของสิ่งเย้ายวนและสิ่งยั่วยุ สิ่งยั่วยุ เขาตั้งหน้าตาเรียนหนังสือ เอาใจใส่กับการเรียน มันก็ทำคะแนนได้ดี เข้ามหาวิทยาลัยก็ได้คะแนนดี แล้วก็เรียนจบ ขณะเดียวกันพอมีความอดทนต่อสิ่งล่อเร้าเย้ายวน ยับยั้งใจไม่ให้ทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง
มันก็จะเกิดกำลังในการที่จะผลักดันให้ตัวเองทำในสิ่งที่มีประโยชน์ได้ แม้ว่ามันจะยากลำบาก เช่น ออกกำลังกาย หรือว่าเรียนหนังสือ ขยันหมั่นเพียรในการทำมาหากิน รวมทั้งรู้จักอดออมด้วย มันก็ประสบความเจริญก้าวหน้าในอาชีพการงานหรือรวมทั้งประสบความสำเร็จในชีวิตได้
อันนี้ก็เป็นไม่ได้เป็นแง่คิดเฉพาะคนที่เป็นพ่อแม่ซึ่งมีลูก หรือปู่ย่าตายายที่มีหลาน แม้เป็นผู้ใหญ่แล้วก็ต้องไม่ลืมว่า ความอดทน รู้จักรอคอย ควบคุมตัวเองได้ นี่ก็สำคัญ หลายคนรู้ว่าการออกกำลังกายดี แต่ว่าไม่มีเรี่ยวไม่มีแรงไม่มีกำลังใจที่จะผลักดันตัวให้ทำสิ่งนั้น หลายคนก็รู้ว่ากินอาหารที่มันตามใจปากมากไป มันเป็นอันตรายต่อสุขภาพ เป็นโรคหัวใจ เป็นเบาหวาน แต่ก็ห้ามใจไม่ได้
หลายคนก็รู้ว่าการปฏิบัติธรรมดี แต่ว่ามาปฏิบัติธรรมทีไรก็อยู่ได้ไม่นาน หรือว่า บางทีก็มีข้ออ้างไม่มาปฏิบัติ แต่ถ้าเกิดว่ามีความรู้จักยับยั้งชั่งใจ รู้จักอดทนรอคอยได้ สิ่งไม่ดีก็ห่างเหิน หรือว่าหลีกเลี่ยงมันได้ง่าย สิ่งดีๆก็สามารถจะทำได้ง่าย
เมื่อรู้ว่าโทรศัพท์มือถือ หรือ Social Media มันกินเวลาเราไปเยอะ ก็รู้จักวางมันลงบ้าง เดี๋ยวนี้ความสามารถในการวางโทรศัพท์มือถือเป็นเรื่องสำคัญ ไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ เด็กจำนวนมากวางโทรศัพท์มือถือไม่เป็นเลย ผู้ใหญ่ก็เหมือนกัน บางคนก็จับโทรศัพท์มือถือตลอดเวลา ว่างเมื่อไหร่ก็คว้าโทรศัพท์มาดู กินข้าวยังดูโทรศัพท์เลย
ถ้าไม่มีความอดทนต่อสิ่งเย้ายวนของโทรศัพท์ จะอดทนต่อความเย้ายวนของสิ่งอื่นที่มันเลวร้ายมากกว่านี้ก็คงยาก เช่น บุหรี่ เหล้า ยาเสพติด หรือว่าความโลภ
แต่ถ้าฝึกตั้งแต่ตอนนี้ ไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่อะไรที่มันล่อเร้าเย้ายวนก็หักห้ามใจบ้าง รู้จักวางโทรศัพท์มือถืออยู่บ่อยๆ รวมทั้งอะไรที่ดี มีประโยชน์แม้มันจะลำบาก ก็เคี่ยวเข็ญตัวเองให้ทำ แบบนี้ก็จะมีกำลังในการที่จะนำพาชีวิตให้ก้าวข้ามผ่านพ้นสิ่งล่อเร้าเย้ายวนที่นำพาให้ชีวิตตกต่ำย่ำแย่ แล้วก็สามารถที่จะพัฒนาตนไปสู่สิ่งที่ดีงามได้ ไม่ว่าทางโลกหรือทางธรรม
- พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมก่อนฉันเช้าวันที่ 24 กันยายน 2564