แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
มีเด็กคนหนึ่งอายุประมาณ 12-13 เป็นเด็กผู้ชาย ทุกเย็นก็จะนั่งรถโรงเรียนกลับบ้าน แต่เย็นวันหนึ่งเขารู้สึกหงุดหงิดมากเพราะว่า มีเด็กชายรุ่นน้องคอยก่อกวนเด็กผู้หญิงที่อายุน้อยกว่า เด็กผู้หญิงคนนั้นสู้ไม่ได้ก็ร้องว่าอย่าทำๆ เด็กชายคนนั้นก็ยิ่งทำใหญ่ เหมือนกับว่ายิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ แกล้งใหญ่เลย เขาก็เลยไปเตือนเด็กรุ่นน้องคนนั้นว่า อย่าไปแกล้งเด็กผู้หญิงคนนั้น แต่คนนั้นก็ไม่เชื่อ เขาโมโหมาก เอามือตบที่หัวเด็กคนนั้นอย่างแรงจนเด็กร้องไห้
พอกลับถึงบ้าน สีหน้าเขาไม่ค่อยปกติแล้วเพราะรู้สึกตัวเองผิดที่ไปทำรุนแรงอย่างนั้นกับรุ่นน้อง เจอหน้าแม่ก็ไม่มีอารมณ์จะคุยจะสนทนาเหมือนเมื่อก่อน ส่วนแม่เห็นผิดสังเกตทั้งสีหน้าและอาการของลูก คือมีพิรุธ ก็เลยพูดขึ้นมาว่า ลูก วันนี้ไปมีเรื่องอะไรที่โรงเรียนมาหรือเปล่า เขาอึกอักๆ ไม่รู้จะตอบยังไง สักพักเขาชูมือขึ้นมาแล้วก็พูดขึ้นมาว่า แม่ ผมไม่คิดเลยว่าไอ้มือข้างนี้ มันจะตบหัวเด็กจนร้องไห้
เขาพูดเหมือนกับว่า มันเป็นความผิดของมือ ไม่ใช่ความผิดของเขา คือ มือมันตบหัวเด็กเอง ไม่ใช่เขา ฟังดูเหมือนกับเป็นคำแก้ตัว แต่ที่จริงเด็กคนนั้นคงจะสงสัยอยู่เหมือนกันว่า เขาทำมันไปได้อย่างไร ไปตบหัวเด็ก มันเหมือนกับว่าคนที่ไปตบหัวเด็กไม่ใช่เขา มันเป็นอีกคนหนึ่ง พอเกิดเรื่องแล้วก็เลยรู้สึกว่าไม่คิดเลยว่า ตัวเองจะทำอย่างนั้นได้
ความรู้สึกว่าคนที่ไปตบหัวเด็ก เป็นคนละคนกับตัวเอง มันก็เป็นความรู้สึกที่อาจจะเกิดขึ้นได้กับคนหลายๆคน เวลาเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นมา แล้วก็เผลอทำอะไรไปบางอย่าง ซึ่งมันตรงข้ามกับนิสัย หรือว่าปกตินิสัยของเขา มันจะรู้สึกเลยว่า เหมือนกับว่าที่ทำไปนั้น มันเป็นอีกคนหนึ่งไม่ใช่เขา บ่อยครั้ง ความรู้สึกนี้เกิดขึ้นได้เวลามีอะไรมากระทบแรงๆเกิดความโกรธขึ้นมา
อย่างคนบางคนโกรธเมียมาก หรือโกรธแฟนรวมทั้งมีอารมณ์หลายอย่างผสมปนเปจนถึงขั้นถึงกับทำร้ายผู้หญิง ทำร้ายแฟน หรือทำร้ายภรรยาอย่างรุนแรง บางทีถึงกับฆ่าเลย เสร็จแล้วก็มาตกใจว่า ฉันทำไปได้อย่างไร ตอนที่ทำมันเหมือนกับไม่ใช่เขา บางคนเป็นคนสุภาพเรียบร้อย เป็นหมอที่ใครๆก็เคารพนับถือเยือกเย็น แต่ว่าวันดีคืนดีก็ปรากฏว่าไปทำร้ายเมียถึงกับเสียชีวิตจะด้วยความโกรธหรือว่าลืมตัวอะไรก็แล้วแต่ มันเป็นการกระทำที่ตรงกันข้ามกับนิสัย หรือว่าบุคลิกของคนๆนั้นเลย
อันนี้เหมือนกับว่า สิ่งที่ทำ คนที่ทำ เป็นคนละคนกันกับเจ้าตัวในยามที่ปกติ จะเรียกว่าความโกรธมันเป็นตัวเปลี่ยนนิสัยของคนก็ได้ หรือจะเรียกว่าเป็นเหมือนกับองค์ที่ลงที่ทำให้คนๆหนึ่งเปลี่ยนไปเป็นอีกคนหนึ่ง จากคนที่ใจเย็นสุภาพกลายเป็นคนที่โหดร้ายหรือว่ารุนแรง มันเป็นการเปลี่ยนแปลงแบบ 180 องศาเลยก็ว่าได้ เหมือนกับว่ากลายเป็นอีกคนหนึ่งที่ตรงข้ามกันเลย
มีผู้หญิงคนหนึ่งเธอเป็นอาจารย์ แล้วก็เป็นนักปฏิบัติธรรมที่มีคนเคารพนับถือมาก เพราะว่าเธอเป็นคนที่ตั้งใจปฏิบัติธรรม รักษาศีลเคร่งครัดมาก ศีล 5 เรียกว่าแม้แต่มด ยุง ก็ไม่แตะ แล้วก็เป็นผู้นำบุญ พาคนชวนคนไปทำบุญ เรียกว่าเป็นผู้นำในหมู่มิตรสหายในเรื่องของการทำบุญ คนก็เคารพนับถือมาก วันหนึ่งพบว่าลูกสาวซึ่งเรียนอยู่ชั้นมัธยมอยู่ มาบอกว่าท้อง แม่ตกใจมาก แล้วก็โกรธ รู้สึกอับอายมาก
ตอนนั้นคิดเลยว่า ถ้าคนอื่นเขารู้ว่า ลูกฉันท้องในวัยเรียน ชื่อเสียงฉันคงจะป่นปี้ คนเขาจะประณามหยามเหยียดว่าสอนคนอื่นได้แต่สอนลูกตัวเองไม่ได้ ตอนนั้นความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาเลยว่า จะให้ลูกทำแท้งให้ได้ แต่ยังดี ได้สติ หลังจากที่เรื่องผ่านไปสักพักหนึ่งได้สติขึ้นมาว่าฉันคิดอย่างนี้มาได้อย่างไร ยุง มด ฉันยังไม่ทำร้ายเลย แต่นี่คิดจะฆ่าเด็กในท้อง
ตอนที่คิดอย่างนั้น มันไม่ใช่ตัวเขา มันเป็นอีกคนหนึ่งก็ว่าได้ เจ้าตัวก็สงสัยว่า คิดอย่างนั้นไปได้อย่างไร ขนาดคนที่เขาไม่ได้เป็นนักปฏิบัติธรรมก็ยังไม่คิดถึงขนาดนั้นเลย แต่ก็ยังดีที่ว่าไม่ได้สั่งให้ลูกไปทำอย่างนั้น มาได้สติเสียก่อน แต่นี่เป็นเพราะอะไร เป็นเพราะว่าความโกรธ เพราะความรู้สึกอับอาย มันยังมีอารมณ์อีกหลายอย่างที่ทำให้คนเปลี่ยนแปลงไปเหมือนกับว่ากลายเป็นอีกคนหนึ่งไปเลย
อย่างนักธุรกิจบางคน ธุรกิจล้มละลายเป็นหนี้เป็นสิน จากที่เคยอวดว่า ฉันเก่งฉันแน่ ได้รับคำยกย่องจากสื่อจากคนในแวดวงว่า เป็นนักธุรกิจแนวหน้า แต่ปรากฏว่าทำธุรกิจพลาด ล้มละลาย เสียหน้าแล้วก็เสียใจรู้สึกมันเจ็บปวดมากกว่าสูญเสีย วิถีชีวิตที่เคยมี มันพังทลายไปต่อหน้าต่อตา เรียกว่าไม่รู้จะเอาหน้าไปซุกไว้ที่ไหน จนกระทั่งมีความคิดหนึ่งว่าจะฆ่าตัวตาย ตอนนั้นมันจริงจังมากแต่ว่า สุดท้ายก็ไม่ได้ทำ เมื่อผ่านเหตุการณ์นั้นมาได้ เขาก็สงสัยว่าตอนนั้นฉันคิดไปได้อย่างไร คิดจะฆ่าตัวตาย ทั้งๆที่เคยเป็นคนที่สู้ชีวิต ตอนนั้นมันเหมือนกับว่ามันไม่ใช่เขาที่คิดแบบนั้น มันเป็นคนละคนกันเลย
หรือว่าผู้หญิงที่ผิดหวังในความรักมาก อกหัก จิตดิ่งอยู่ในความเศร้าทุกข์ระทม จนกระทั่งคิดจะกระโดดตึกฆ่าตัวตาย แต่ก็ถูกยับยั้งเอาไว้ พอเวลาผ่านไปความทุกข์ความเศร้าโศกมันหายไป จางคลายไป เมื่อย้อนกลับไปคิดถึงเหตุการณ์คราวนั้น เธอก็สงสัยตัวเองว่าฉันคิดไปได้อย่างไร มันเหมือนกับว่าเป็นความรู้สึกว่าเป็นคนละคนเลยที่คิดแล้วตัดสินใจอย่างนั้น
คนเราเวลาพอเจอเหตุการณ์มากระทบแล้วเกิดความทุกข์ขึ้นมาอย่างรุนแรง หรือบางทีถึงกับพลาดพลั้งหรือเผลอทำอะไรลงไป เมื่อเวลาผ่านไป แล้วมองย้อนกลับมาดูเหตุการณ์นั้น เกิดความสงสัยว่าฉันอย่างนั้นไปได้อย่างไร เหมือนกับเด็กผู้ชายคนที่ว่านั้นว่ากูไปตบหัวเด็กคนนั้นได้อย่างไร เลยไปโทษว่าเป็นความผิดของมือ และมันก็เป็นความรู้สึกของคนหลายคนทีเดียว แล้วก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับคนจำนวนมากคือการที่ได้กลายเป็นคนอีกคนหนึ่ง
บางครั้งความรู้สึกไม่ได้มีอะไรมากระทบแรงๆ หรืออย่างเฉียบพลัน แต่ว่าอาจจะเป็นความเสื่อมของสังขารก็ได้ อย่างคนที่แก่ชรา เราจะเห็นได้เลยว่า เขาหรือเธอในวัยหนุ่มวัยสาว กับปัจจุบัน เป็นคนละคนกัน นักฟุตบอลที่เก่งกาจ สมัยอายุ 20 กว่า วิ่งเร็วเลี้ยงลูกบอลได้อย่างรวดเร็วปราดเปรียว แต่พออายุ 70 - 80 แค่จะเดินก็ยังเดินไม่ค่อยไหว การประสานงานระหว่างตา ขา ตัว มันผิดเพี้ยนไปหมด นักกีฬาว่ายน้ำนักวิ่งก็เหมือนกัน วิ่งได้รวดเร็วปราดเปรียว แต่พอแก่ชราเข้า เดินยังเดินไม่ค่อยไหวเลย อย่าว่าแต่วิ่งเลย
พอเราเห็นอย่างนี้ มันก็ชัดเลยว่า คนละคนกัน คนที่ในวัยหนุ่มสาวกับคนในวัยแก่ ไม่ใช่คนเดียวกัน แต่เป็นคนละคน แล้วเจ้าตัวก็อาจจะรู้สึกได้ว่า สังขารร่างกายมันไม่เหมือนเดิม มันไม่ใช่แค่อาการของร่างกายหรือสมรรถนะทางกาย เช่น การเดิน การมอง แม้แต่ความรู้สึกนึกคิดก็เปลี่ยนไป อยู่ที่ว่าเจ้าตัวจะสังเกตหรือไม่
อย่างที่บางคนตอนที่ยังหนุ่มสาวเวลาพูดถึงความตาย เขารู้สึกว่าเป็นเรื่องธรรมดา ใครๆเขาก็ตายกันทั้งนั้น แต่พอแก่ชราเข้า บางทียังไม่ต้อง 80-90 แค่ 60-70 ใครมาพูดเรื่องความตายไม่อยากฟัง มันสะท้าน หวั่นไหว เหมือนกับกลายเป็นคนอีกคนหนึ่งเลย แล้วยิ่งแก่ตัวมากเข้า ความรู้สึกต่างๆเปลี่ยนไปจากคนที่ร่าเริงแจ่มใสในวัยหนุ่มวัยสาว กลายเป็นคนที่ห่อเหี่ยวหดหู่ ก็ไม่รู้ว่าจะอยู่ไปทำไม ตอนเป็นหนุ่มเป็นสาวอยากจะมีอายุยืน 100 - 200 ปี แต่พอแก่ชรา ใจคิดแต่ว่าอยากจะตายทุกวันๆ เพราะไม่รู้ว่าอยู่ไปทำไมไม่มีจุดมุ่งหมายในชีวิต
อันนี้มันก็แสดงให้เห็นเลยว่า เป็นคนละคน แม้ว่าชื่อเดียวกันมีความต่อเนื่องกัน แต่เป็นคนละคนแล้ว คนหนึ่งหนุ่มสาว อีกคนหนึ่งแก่ชรา มันไม่ใช่แค่เป็นความเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย แต่รวมถึงอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดด้วย ความรู้สึกต่างๆก็เปลี่ยนไป แต่ก่อนอารมณ์ดี แต่ตอนหลังอารมณ์ร้ายหวาดระแวง นี่คือความเปลี่ยนแปลงของคนเรา ที่เราอาจจะไม่สังเกตหรือไม่เฉลียวใจ มันไม่ใช่คนเดิมอีกแล้ว คนที่แก่ชราจะรู้สึกเลยว่าเราไม่ใช่คนเดิมแล้ว
ที่จริงไม่ต้องรอให้แก่ชรา เวลาเจอความเจ็บป่วย หรือความเจ็บปวด มันก็ทำให้คนๆหนึ่งเปลี่ยนไปเลย กลายเป็นอีกคนหนึ่งเลย เราลองสังเกตไหมเวลาตอนที่เราเจ็บป่วยหรือป่วยหนักๆแรงๆ ความรู้สึกนึกคิดเปลี่ยนไปเลย หดหู่ห่อเหี่ยว ความร่าเริงหายไปไหนหมด มันรู้สึกมีแต่ความเศร้าหมอง มีแต่ความขุ่นมัวบางคนความรู้สึกนึกคิดเปลี่ยนไปแบบ 180 องศาเลย เวลาเจอความเจ็บป่วยหนัก
มีนายทหารคนหนึ่งมีชื่อเสียงมากในเรื่องความกล้าหาญ อาจจะเรียกว่ามุกทะลุเลยก็ได้ ไม่กลัวตาย แล้วก็ทำวีรกรรมต่างๆมากมาย มีคราวหนึ่งได้ข่าวว่า นายทหารอาวุโสรุ่นพี่ฆ่าตัวตาย แกก็พูดเลยขึ้นมาเลยว่าชายชาติทหารเขาไม่ฆ่าตัวตายกันหรอก หรือว่าถ้าเป็นบางคนบอกว่าลูกผู้ชายเขาไม่ฆ่าตัวตายกันหรอก พอผ่านไปหลายปี 10 ถึง 20 ปี เขาเป็นมะเร็ง แล้วมะเร็งก็ลุกลามไปเรื่อยๆ สุดท้ายก็มีคนพบศพเขาในห้องน้ำ ตายเพราะว่าลูกกระสุนทะลุสมอง
ทีแรกคนก็คิดว่าเป็นฆาตกรรมเพราะว่าเป็นไปไม่ได้หรอกที่นายทหารคนนี้จะฆ่าตัวตาย เพราะเขาเคยลั่นวาจาไว้ว่า ชายชาติทหารเขาไม่ฆ่าตัวตายกันหรอก แต่หลักฐานทางนิติเวชมันพิสูจน์แล้วว่า จริงๆเขาฆ่าตัวตาย ตอนที่พูดประโยคนั้นกับตอนที่ฆ่าตัวตายเป็นคนละคนกันเลย หลายคนไม่เข้าใจว่าทำไมถึงฆ่าตัวตาย แต่พอมองอย่างนี้เหมือนกับเป็นคนละคนกันแล้ว ตอนที่พูดประโยคนั้นเป็นอีกคนหนึ่ง เป็นทหารที่ยังหนุ่ม แต่ตอนที่ฆ่าตัวตายเขาคือคนป่วย มันเป็นคนละคนแม้ว่าจะเป็นชื่อเดียวกันก็ตาม
ความเจ็บป่วยก็สามารถที่จะทำให้คนเราเปลี่ยนแปลงกลายเป็นคนละคน ตรงกันข้ามเลยก็ได้ ไม่ต้องกลัวถึงขั้นเป็นมะเร็ง บางทีแค่ป่วยด้วยโรคที่รักษาหาย แต่ว่ามันมีทุกขเวทนามาก ความรู้สึกนึกคิดก็เปลี่ยนไปได้ ที่จริงมันไม่ใช่เฉพาะเวลาเกิดเหตุการณ์ร้ายแรงมากระทบจนเกิดอารมณ์ เช่น โกรธ เศร้าโศก เสียใจ ผิดหวัง อับอาย คับแค้น หรือว่าพอแก่ชราเกิดความเสื่อมขึ้นมา ทั้งทางกายทางใจ โดยเฉพาะถ้าเกิดว่ามีโรคความจำเสื่อม อัลไซเมอร์เข้ามาอีก ทำให้กลายเป็นคนละคน หรือว่าเจอความเจ็บป่วยกลายเป็นคนอีกคนหนึ่ง
ในชีวิตประจำวัน คนเราก็แปรเปลี่ยนไปเป็นคนละคนได้เหมือนกัน อย่างเวลาเจอลูกเป็นคนหนึ่ง อาจจะเคร่งขรึม แต่พอเจอแม่ก็กลายเป็นลูกแหง่เลยก็ได้ หรือว่าพอไปเจอเพื่อนโดยเฉพาะเพื่อนที่เคยเรียนโรงเรียนเดียวกันตั้งแต่เล็กๆรู้จักกันมา 50-60 ปีกลายเป็นคนอีกคนหนึ่งเลย เป็นคนละคนกันเลย ตอนที่อยู่กับลูก เคร่งขรึมเลย หรือว่าอยู่กับลูกน้องแสดงอำนาจ แต่พออยู่กับเพื่อนที่เคยเรียนโรงเรียนเดียวกันมาตั้งแต่เล็กกลายเป็นเด็กไปเลย พูดตลกโปกฮาหยอกล้อกันเหมือนกับเด็กๆไปเลย
อันนี้ก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับพวกเราส่วนใหญ่เลยก็ว่าได้ แค่เปลี่ยนบริบท เจอคนที่ต่างกันก็เหมือนกับเป็นคนละคน เจอลูกก็เป็นคนหนึ่ง ลูกน้องก็เป็นอีกคนหนึ่ง เจออาจารย์ก็เป็นอีกคนหนึ่ง เจอลูกศิษย์ก็เป็นอีกคนหนึ่ง แต่ว่าคนเราไม่ค่อยสังเกตเพราะว่ามันยังมีอะไรอีกหลายๆอย่างที่ยังคล้ายกับคนเดิม แต่บางครั้งพอเปลี่ยนสิ่งแวดล้อม เวลาผ่านไปนานๆ กลายเป็นคนละคนจะเห็นชัด
อย่างมีพระบางรูป ตอนที่ยังเป็นพระอยู่ ท่านเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงต่อต้านอบายมุข สูบบุหรี่ กินเหล้า ทั้งการเทศน์ทั้งการสอนเรียกว่าใครกินเหล้าใครสูบบุหรี่ เห็นอยู่ต่อหน้าต่อตา ก็จะโดนด่าโดนถล่มไปเลย เข้มงวดมาก แต่พอสึกหาลาเพศ ผ่านไปไม่กี่ปี กลายเป็นคนติดเหล้าไปเสียแล้ว บางทีค้าเหล้าด้วยซ้ำ อันนี้เรียกว่าเปลี่ยนจากคนหนึ่งไปเป็นอีกคนหนึ่งไปเลย แล้วก็เป็นความเปลี่ยนแปลงที่ตกไปในทางต่ำ
มีบางรายเห็นคนกินเหล้า ดูถูกเขาเลยว่านี่มันกินเหล้าหรือเหล้ากินมัน โง่ฉิบหายเลย เมา ที่ไปดูถูกเขาแต่ผ่านไป 20 ปีตัวเองกลายเป็นคนขี้เหล้าเสียเอง ตายเพราะเหล้า คนที่พูดอย่างนั้นกับคนที่ติดเหล้า เป็นคนละคนถึงแม้ว่าจะมีชื่อเดียวกันก็ตาม
ถ้าเราพิจารณาแบบนี้แล้ว ในด้านหนึ่งมันก็ชวนให้เราให้เราระมัดระวัง ไม่ประมาทว่า เราตอนนี้มันอาจจะเป็นอีกคนหนึ่งไปเลยก็ได้ในวันข้างหน้า เปลี่ยนจากคนที่จิตใจเข้มแข็งมั่นคงกลายเป็นคนที่จิตใจห่อเหี่ยวโลเลล จากคนที่แจ่มใสชื่นบานกลายเป็นคนที่หดหู่เจ้าอารมณ์ จากคนที่สนใจธรรมะกลายเป็นคนที่ติดเหล้าติดยาไปเสียแล้ว ธรรมะก็ไม่สน
คนเราแต่ละคนก็สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงไปเป็นอีกคนหนึ่งก็ได้ หรือว่าอาจจะเป็นเพราะว่า เจอเหตุร้าย เจอความสูญเสียเจอความพลัดพราก เจอความเจ็บปวดเจ็บป่วยกลายเป็นคนที่เรียกว่าเสียศูนย์ เป๋ หรือว่าเพี้ยนไปเลย หรือว่าทำในสิ่งที่ไม่คาดคิดว่าจะทำได้ เพราะมันเป็นการกระทำที่เลวร้ายเหลือเกิน แต่ก็เป็นไปได้ เพราะมีตัวอย่างมากมายอย่างที่เล่ามา
เพราะฉะนั้น คนเราในเมื่อเปลี่ยนไปได้กลายเป็นคนละคน ถ้ามาเป็นคนดีก็แล้วไป แต่ถ้าแย่กว่าเดิมหรือว่าอมทุกข์ หรือจนกระทั่งถึงกับทำร้ายตัวเอง มันก็ทำให้เราต้องพึงสังวรระวังเอาไว้ และสิ่งที่ควรทำ เราก็ต้องฝึกกายฝึกใจฝึกตัวโดยเฉพาะการฝึกจิต เพื่อว่าเมื่อไม่ว่ามีอะไรแรงๆมากระทบ มันอาจจะกระทบกาย กระทบทรัพย์สมบัติ
แต่ว่ามันไม่กระเทือนมาถึงใจ เพราะว่ามีสติเป็นเครื่องรักษา เพราะมีปัญญาเข้าใจธรรมดา ความจริงของชีวิต เห็นความเจ็บป่วยก็ไม่ถึงกับเสียศูนย์ ยังประคองจิตให้ป่วยแต่กาย ใจไม่ป่วยถึงเวลาพิกลพิการขึ้นมาก็ยังรักษาจิตใจให้เป็นผู้เป็นคนได้ ไม่เปลี่ยนไปกลายเป็นคนอีกคนหนึ่งโดยเฉพาะตรงกันข้ามกับที่เป็นอยู่
แต่ว่าในอีกด้านหนึ่งก็ชี้ให้เห็นเลยว่า จริงๆแล้วสิ่งที่เราเรียกว่าตัวเราตัวกูตัวฉัน มันไม่มีจริง เพราะถ้าตัวตนตัวตัวกูมีจริง มันต้องเป็นหนึ่งเดียว มันไม่ใช่มีหลายตัวหลายคน ตอนสบายก็บอกว่าเป็นคนหนึ่ง ตอนทุกข์ก็เป็นอีกคนหนึ่ง ตอนเป็นหนุ่มสาวก็เป็นอีกคนหนึ่ง ตอนแก่ชราก็เป็นคนหนึ่ง หรือว่าเจอพ่อแม่ก็เป็นคนหนึ่ง เจอลูกก็กลายไปอีกคนหนึ่ง เจอเพื่อนก็กลายเป็นอีกคนหนึ่ง กลายเป็นคนละคนกันเวลาเจอคนที่แตกต่างกัน
ถ้าตัวตนหรือตัวกู มันมีจริง มันต้องมีหนึ่งเดียว ไม่ใช่มีหลายตัว ไหลเลื่อนเปลี่ยนแปลงไปตามเหตุตามปัจจัย หรือว่าถ้ามีตัวกูตัวตนมีจริงมันต้องเที่ยงแท้คงที่ไม่ใช่ไหลเลื่อนไปเรื่อยๆ สุดแท้แต่สิ่งแวดล้อมหรือว่าสุดแท้แต่มีอะไรมากระทบ เพราะฉะนั้นถ้าเราพิจารณาแบบนี้ ก็จะยิ่งเห็นว่า สิ่งที่เราเรียกว่าตัวกูตัวฉัน มันก็เป็นแค่มายา มันก็ขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัย และเพราะขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัยนี้แหละ มันจึงไม่อาจจะเรียกว่าตัวตนที่แท้ได้ เพราะถ้าตัวตนที่แท้ได้มันต้องคงที่ไม่แปรเปลี่ยน
เพราะฉะนั้นถ้าเราพิจารณาแบบนี้ ในอีกด้านหนึ่งก็จะเกิดความไม่ประมาทในการที่จะรักษาจิตรักษาใจให้พร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลงที่จะมากระทบในวันข้างหน้า แต่ในขณะเดียวกันก็ให้เกิดปัญญาขึ้นมาว่าแท้จริงแล้วตัวกูมันไม่ใช่ของจริง มันเป็นสิ่งที่สมมุติหรือว่าปรุงขึ้นมา
พอใคร่ครวญแบบนี้ไปเรื่อยๆมันก็จะปล่อยวาง ไม่ยึดมั่นถือมั่นในตัวกู แล้วความไม่ยึดมั่นนี่แหละที่จะเป็นวัตถุดิบที่จะทำให้เราสามารถที่จะเผชิญกับสิ่งที่มากระทบต่างๆไม่ว่าจะเป็นความเจ็บป่วย ความสูญเสีย ความพลัดพราก ความแก่ชรา แม้กระทั่งความตายด้วย
- พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมเย็นวันที่ 21 กันยายน 2564