แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
เมื่อ 40 กว่าปีก่อน ตอนสมัยนั้น ตัวเองยังเป็นฆราวาส ตอนนั้นอายุ 20 ต้นๆ ได้ไปประชุมสัมมนาที่ประเทศฝรั่งเศส ตอนที่ไปถึงปารีส อยู่ได้ไม่กี่วันก็เดินทางไปทางใต้ เพราะว่ามีเวลาก่อนที่การประชุมจะเริ่ม ลงไปใต้เพราะว่าจะไปเยี่ยมอาศรมของลูกศิษย์คานธีคนหนึ่ง แกเป็นชาวฝรั่งเศสเชื้อสายอิตาลีทำอาศรมเพื่อการพึ่งตนเองแบบคานธี แล้วก็บางครั้งทำกิจกรรมสันติวิธีต่อต้านสงคราม ต่อต้านนิวเคลียร์
ลงไปอยู่ที่นั่น 3-4 วัน นั่งรถไฟหลายชั่วโมง หลายต่อด้วย พอครบกำหนดก็เดินทางกลับปารีส ตอนนั้นสะพายเป้ไปเพราะมันสะดวก ตอนที่รอรถไฟเข้าปารีส ตอนนั้นเป็นกลางคืนและเป็นคืนวันอาทิตย์ คนรอขึ้นรถไฟเยอะทีเดียว คงจะกลับไปทำงานหรือไปเรียนหนังสือ สถานที่นั้นก็ไม่เล็ก แต่ว่ารถไฟจอดไม่นาน พอรถไฟขบวนที่จะเข้าปารีสมาถึง คนก็กรูกันขึ้นรถไฟ
ส่วนตัวเองก็มองหาตู้ของตัวเองอยู่ที่ตรงไหน แต่มันอยู่ไกลเลย ก็รีบสาวเท้าเดิน แต่มันก็ยังไกลอยู่ สักพักก็ได้ยินเสียงหวูด แปลว่ารถไฟใกล้จะออกแล้ว ก็ต้องรีบวิ่งแล้ว แต่ก็วิ่งได้ไม่เร็วเท่าไรเพราะสัมภาระหนัก สักพักปรากฏว่ารถไฟก็เริ่มเคลื่อนออกแล้วจากสถานี ยังไม่ถึงตู้ของตัวเลย แต่ว่ารอช้าไม่ได้แล้ว ก็เลยขึ้นตู้ที่ใกล้ที่สุด ตอนนั้นรถไฟก็ออกแล้ว แต่ว่าพอขึ้นไปแล้วก็ยังอยู่ได้แค่ที่บันไดเพราะว่าประตูกำลังจะปิด ตัวก็ลอดประตูเข้าไปได้แล้ว แต่ว่าเข้าไปไม่ได้ เพราะว่าติดเป้
ประตูก็เลื่อนมาจนกระทั่งเหลือช่องแคบนิดเดียว ดึงเป้เท่าไหร่ๆ ก็เข้าไปไม่ได้ รถไฟก็แล่นเร็วขึ้นๆ คนในขบวนรถไฟนั้นก็พยายามช่วยดึงให้ตัวขึ้นไป แต่มันก็เข้าไปได้แค่ตัว ดึงเท่าไรๆเป้ก็ไม่สามารถเข้าไปกับตัวได้ ก็ยืนค้างอยู่ตรงนั้นแหละ รถไฟก็แล่นเร็วขึ้นๆ ดึงเท่าไหร่ๆก็ไม่สำเร็จ คนในกระบวนก็แตกตื่นกันใหญ่เพราะว่าไม่เคยเห็นคนห้อยอยู่บนบันได แล้วรถก็เร็วขึ้นเรื่อยๆ
สุดท้ายมีทางเดียวที่จะเอาตัวเข้าไปในตู้รถไฟได้อย่างปลอดภัยก็คือ ต้องสละเป้ ต้องรีบทำด้วย เพราะรถไฟเร็วขึ้นเรื่อยๆก็ยังดีที่สละเป้ได้ทัน ก็เอาตัวรอดขึ้นมาบนตู้รถไฟได้ คนบนนั้นก็โล่งอกกันใหญ่ เป้ใบนั้นที่จริงก็มีประโยชน์เพราะว่าบรรทุกสัมภาระ แต่ว่าบางครั้งก็กลายเป็นตัวถ่วง จะวิ่งขึ้นรถไฟก็ไม่สะดวกเพราะว่ามันหนัก มันถ่วงมิหนำซ้ำพอขึ้นไปแล้วก็ขึ้นไปไม่ได้เพราะว่าเป้มันติดประตู ตอนนั้นถ้าไม่สละเป้ออกไปก็ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ก็เรียกว่าปลอดภัยได้เพราะสละเป้หรือทิ้งเป้ลงไป
คนเราในยามวิกฤตในยามหน้าสิ่วหน้าขวาน บางครั้งการสละหรือการทิ้งของบางสิ่งบางอย่าง แม้จะมีความสำคัญอย่างไร มันก็เป็นสิ่งสำคัญ เพราะว่าถ้าไม่ทิ้งก็อาจจะไม่รอด หรืออาจจะเกิดอันตราย มีแต่สละมันเท่านั้น มีแต่ปล่อยมันเท่านั้น หรือทิ้งมันลงไปจึงจะรอดได้
มานึกดูก็ผู้คนจำนวนมากในยามวิกฤต ถ้าเขาเลือกที่จะปล่อยที่จะสละของบางสิ่งบางอย่าง โดยเฉพาะของที่หวงแหนก็สามารถที่จะรอดจากวิกฤตได้ แต่ว่าคนจำนวนมากไม่ยอมสละ หวงแหนเอาไว้ สุดท้ายก็นอกจากสูญสิ่งที่มีค่าสิ่งที่หวงแหน บางทีตัวเองก็เอาไม่รอด หรือว่ายิ่งทุกข์กว่าเดิม
อย่างเวลาคนที่เล่นหุ้น ตอนที่หุ้นมันตก หลายคนก็เสียดายหุ้นที่ตัวเองซื้อมาราคาแพง มันตกลงไปเรื่อยๆ ถ้าเขาขายหุ้นหรือเทหุ้นทิ้ง ก็อาจจะเสียหายไม่มาก อาจจะแค่ขาดทุนแต่นิดหน่อย แต่หลายคนก็พยายามเก็บหุ้นเหล่านั้นเอาไว้ เพราะว่ายังมีความหวัง แม้มันจะน้อยนิดว่าราคาหุ้นจะขึ้น แต่ปรากฏว่าหุ้นยิ่งตกลงไปเรื่อยๆ สุดท้ายมีราคามีค่าไม่กี่สตางค์ ปรากฏว่าเงินที่สะสมที่มีลงไปในหุ้น มันสูญสลายหายไปหมดเลย หมดเนื้อหมดตัวไปเลย บางทีเป็นหนี้ไปด้วยซ้ำเพราะไปกู้หนี้มาซื้อหุ้น
ถ้าหากเขาปล่อยหุ้นตั้งแต่แรกๆหรือตอนกลางๆก็อาจจะไม่เจ็บตัวมากอาจจะไม่ถึงกับว่าล้มละลายไปเลย แต่นี่เพราะความหวงแหน หวงหุ้น หุ้นมันดิ่งแล้วยังเกาะหุ้นเอาไว้ ก็เลยย่ำแย่ไปพร้อมๆกับหุ้นด้วย ก็ทำนองเดียวกับคนที่คนสร้างธุรกิจใหญ่โต ทีแรกก็ทำรายได้ให้กับตัวเอง แต่ตอนหลังธุรกิจเกิดมีปัญหา มีแต่ขาดทุนไปเรื่อยๆ แทนที่จะเลิกแทนที่จะยุติ หรือขายไป ก็ไม่ เสียดาย หวง ก็ไปกู้เงินมากะว่าเพื่อต่ออายุ เพื่อไปต่อได้ เพราะมีความหวังว่ามันจะมีทางไป
แต่ปรากฏว่ามันก็ขาดทุนหนักขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายก็เจ๊ง ต้องปิดกิจการ ล้มละลาย หนี้สินที่มีก็ต้องขายทรัพย์สินอย่างอื่นด้วย ขายรถขายบ้าน ทำใจไม่ได้ ใจยังเกาะเกี่ยวกับกิจการ ยังเกาะเกี่ยวกับบ้านรถ อาจจะเป็นเพราะว่าเป็นหน้าเป็นตาเป็นเครื่องหมายของความสำเร็จ พอถูกยึด แต่ว่าใจยังไม่ปล่อยไม่วาง ก็เศร้าโศกเสียใจ กลัดกลุ้ม จนบางทีเครียดจนกระทั้งเส้นเลือดในในสมองแตก หรือหัวใจวาย เพราะความเครียดหนัก หรือบางคนถึงกับฆ่าตัวตาย
ถ้าเพียงแต่ว่าทำใจหรือตัดใจ แม้จะสูญเสียทรัพย์สมบัติไป แต่ว่าก็ยังเอาตัวรอดได้หรือว่ายังมีสุขภาพดีได้แต่เพราะไม่ยอมปล่อยไม่ยอมวาง บางครั้งสิ่งที่หวงแหนก็ไม่ใช่สิ่งที่ใหญ่โต เช่น บ้าน รถยนต์ หรือว่ากิจการ แต่อาจจะเป็นของชิ้นเล็กๆเช่น ทองหรือเพชร
อย่างชายคนหนึ่งตื่นขึ้นมา ไฟไหม้ท่วมบ้านเลยก็ยังพอหนีรอดได้ทันจากกองไฟ แต่พอวิ่งไปสักพัก ก็นึกขึ้นมาได้ว่า มีเพชรมีทองเก็บเอาไว้อยู่ ไม่อยากจะให้มันสูญไปกับกองไฟ ก็เลยกลับไปแล้วก็ไปเอาเพชรเอาทองของมีค่านั้นออกมา แต่ไฟมันท่วมหนัก ออกมาไม่ได้ สุดท้ายก็ตายพร้อมกับเพชรหรือทอง
นี่ก็เป็นเรื่องที่เราได้ยินได้ฟังบ่อยๆ ทรัพย์สมบัติหรือสิ่งที่หวงแหนมันอาจจะทำให้ความสุขกับเรา แต่บางครั้งมันก็กลายเป็นตัวที่หน่วงเหนี่ยวสร้างความทุกข์ให้กับเรา ไม่ใช่เพราะต้องเหนื่อยในการรักษามันเท่านั้น แต่ว่าในยามวิกฤตก็ยังไม่ยอมทิ้งมัน ยังหวงแหนยังยึดติดทั้งที่อันตรายก็มาประชิดตัวแล้ว สุดท้ายก็มีอันเป็นไปพร้อมๆกับสิ่งที่รักและหวงแหนนั้น
ก็คล้ายๆกับคนบรรทุกหีบสมบัติลงเรือ หรือเรือเดินเรือสมุทรเรือเดินทะเลปรากฏว่า มีพายุหนัก เรือก็โคลงเคลง หีบสมบัติก็เกิดพลัดตกลงทะเล แต่เจ้าของหวงแหนหีบสมบัตินั้น รักมันมาก ตัดใจไม่ได้ที่จะสูญมันไป ทั้งที่มันลงไปในทะเลแล้ว ก็ยังกระโจนลงไปในทะเลเพื่อที่จะกอบกู้มันขึ้นมา ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลยเพราะว่ามันหนักมาก ลงไปแม้จะสามารถดำดิ่งไปถึงหีบสมบัตินั้นได้
แต่ก็เอามันขึ้นมาไม่ได้ พยายามฉุดมันขึ้นมาก็ไม่มีทางที่จะเอาขึ้นมาได้ เจ้าของก็ดิ่งลงไปในทะเล สุดท้ายก็สูญทั้งทรัพย์สูญทั้งชีวิต อันนี้เพราะความยึดติดความหวงแหน แล้วจริงๆถ้าใช้เหตุใช้ผลก็ย่อมรู้ว่า มันไม่มีทางที่จะกอบกู้เอาขึ้นมาได้ในยามนั้นจะมีแต่เอาตัวให้รอด แต่ว่าบางครั้งคนเราก็ด้วยความยึดติดหวงแหน พอหลงเข้า สิ่งที่ทำไปก็กลายเป็นอันตรายกับตัวเอง นอกจากจะไม่เกิดประโยชน์อย่างที่ว่ามาแล้ว ยังเกิดโทษซ้ำเข้ามาอีก
คนเราทุกข์เพราะความหลงหรือว่าซ้ำเติมตัวเองเพราะความหลง หลงมีอยู่ 2 อย่าง คือ หลงลืมกับหลงผิด หลงลืมเช่น ลืมตัว ลืมตัวมีตั้งแต่ลืมกำพืดหรือพื้นเพเป็นชาวนาชาวไร่เป็นคนยากคนจน ได้ดิบได้ดีก็ลืมตัว ลืมพ่อลืมแม่ที่เป็นชาวนาชาวไร่ อันนี้เราก็เคยได้ยิน แต่ถึงแม้จะไม่ลืมกำพืด แต่ว่าที่ลืมตัวทำอะไรวู่วามไปตามอารมณ์ด้วยแรงโทสะ โมหะ หรือด้วยโลภะก็แล้วแต่ มันก็เกิดขึ้นบ่อย คืออารมณ์มันครอบงำทำให้ขาดสติ ทำให้ลืมตัว
จึงพูดจึงทำในสิ่งที่เป็นโทษทั้งกับผู้อื่นและกับตัวเอง อันนี้เรียกว่าถูกอารมณ์ท่วมทับ ซึ่งจะว่าไปแล้วก็คือ ลืมกายลืมใจนั่นแหละ ลืมใจก็คือไม่รู้ว่าความคิดหรืออารมณ์ใดที่กำลังครอบงำอยู่ หลงเข้าไปในความคิด หลงเข้าไปในอารมณ์ ในตอนนั้นปัญญาอะไรต่างๆก็ไม่ทำงานแล้ว ความคิดผิดชอบชั่วดี หรือความคิดเรื่องประโยชน์หรือไม่ใช่ประโยชน์ ก็ลืมหายไปหมด อันนี้ก็เป็นการลืมใจ
ลืมกายก็คือ ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไร กินข้าวก็ไม่รู้ว่ากำลังกินข้าว หรือว่านั่งฟังก็ไม่รู้ว่านั่งฟังอยู่ อาบน้ำก็ไม่รู้ว่ากำลังอาบน้ำ อันนี้เพราะว่ามันลืมใจ พอลืมใจก็ลืมกายได้ง่าย เช่นเดียวกัน พอลืมกายมันก็ลืมใจได้ง่ายเหมือนกัน แล้วก็เลยไม่รู้ว่าทำอะไรอันนี้เรียกว่าหลงลืม หลงลืมแบบนี้เพราะขาดสติ
อีกอันหนึ่งคือ หลงผิด ไปยึดสิ่งต่างๆรวมทั้งทรัพย์สมบัติว่า เป็นของกูของกู อันนี้สำคัญมากเลย พอไปยึดว่าเป็นของกูแล้ว มันก็จะหวงแหน มันก็จะพยายามรักษาเก็บงำเอาไว้ให้ได้ ไม่ยอมปล่อย ไม่ยอมสูญ ทั้งๆที่มันเป็นภาระ มันสร้างปัญหาแล้ว หรือว่าเป็นตัวทำให้ไม่สามารถจะไปต่อได้ ไม่สามารถจะหลุดรอดได้ ก็ยังเป็นหวงแหนมัน อันนี้มีพื้นฐานมาจากความหลงผิดว่าเป็นของกูของกู
ที่หลงผิดว่าเป็นของกูก็เพราะว่าไปติดสุขที่มันให้ ไม่ว่าจะเป็นสุขทั้งกายสุขทั้งใจ อย่างเช่น ทองหรือเพชร มันไม่ได้ให้ความสุขทางกายเท่าไหร่ แต่มันให้ความสุขทางใจ ซึ่่งที่จริงมันก็ไปสนองปรนเปรอในความรู้สึกตัวกูนี้แหล่ะ มันไปพนอ มันไปปรุง มันไปทำให้ตัวกูมันฟู เมื่อได้เป็นเจ้าของ ครอบครองมัน พอไปยึดติดในสุขนั้น หรือในสุขที่มันให้ พอทำท่าจะเสียมันไป ก็เลยไม่ยอม และครั้นเสียไปจริงๆก็เกิดทุกข์ขึ้นมา พอติดสุขก็เกิดทุกข์ คือความเศร้าความโศกความเสียดายความอาลัยอาวรณ์
ซึ่งอันที่จริงแล้วมันก็บั่นทอนจิตใจ แต่คนเราก็มักจะไปยึดในอารมณ์เหล่านี้ ทีแรกติดสุขก็เลยยึดทรัพย์สินเงินทองเพชรนิลจินดา พอเสียมันไป เกิดความทุกข์ขึ้นมา ก็ยังไปยึดความทุกข์นั้นอีก ไม่ว่าจะเป็นความโศกความเศร้าความเสียใจความอาลัยอาวรณ์ ทำไมถึงไปยึดความทุกข์เหล่านั้น ก็เพราะว่าขาดสติ เพราะลืมตัว ยึดติดในสิ่งต่างๆที่ให้สุขกับเราว่าเป็นของกูของกู อันเป็นเพราะว่าความไม่รู้ความจริงหรืออวิชชา คือไม่รู้ว่า มันไม่มีอะไรที่เป็นของเรา
ตรงนี้แหละที่เป็นตัวการแห่งความทุกข์ที่เกิดขึ้นกับใจในยามที่สูญเสียพลัดพราก ในยามที่อนิจจังทำงานหรือแสดงตัว แต่พอความทุกข์เกิดขึ้นแล้ว ก็ยังไปยึดอีก อันนี้เพราะว่าขาดสติ เป็นเพราะความหลงลืม เพราะความหลงลืม ก็เลยไปยึดความทุกข์เข้า แต่ถ้าหากว่ามีสติเมื่อไหร่ การปล่อยการวางความทุกข์เหล่านั้นก็จะเกิดขึ้นได้ง่าย เพราะว่าพอรู้ตัวเมื่อไหร่ ไม่ลืมกายไม่ลืมใจ รู้กายรู้ใจเมื่อไหร่ ก็เห็น ก็รู้ทันอารมณ์เหล่านั้น พอเห็นแล้วรู้ทัน มันก็วาง อันนี้เรียกว่าวางได้เพราะมีสติ ปล่อยได้เพราะมีสติ
สติมันทำให้รู้ทัน หรือว่ารู้ทุกข์ที่เกิดขึ้นกับใจ หรือเกิดขึ้นกับกายก็ตาม เช่น ทุกขเวทนา ก็รู้ได้ถ้ามีสติ รู้แล้วไม่ยึด รู้แล้วก็วางมัน สติไม่เพียงแต่ช่วยทำให้รู้ทันอารมณ์หรือความทุกข์ที่เกิดขึ้นเท่านั้น แต่มันยังช่วยทำให้เห็นสิ่งต่างๆตามความเป็นจริง เมื่อเห็นสิ่งต่างๆตามความเป็นจริง รวมทั้งเห็นความจริงของกายและใจ มันก็รู้ว่ากายก็ดี ใจก็ดี นั้นไม่ใช่เราไม่ใช่ของเรา ทำให้เห็นว่าที่ยึดว่าเป็นกูเป็นของกู กายเป็นของกู นั้นไม่ใช่
แม้กระทั่งความโกรธก็ไม่ใช่กู ใจก็ไม่ใช่กู พอมันเห็นเช่นนี้ เห็นความจริงของกายและใจ ก็เกิดปัญญาขึ้นมา แล้วมันก็ทำให้ความหลงผิดลดน้อยถอยลง จนรู้ว่าไม่มีอะไรที่จะยึดเป็นของกูได้ ตรงนี้ปัญญาก็เกิด พอปัญญาเกิด การปล่อยวางแม้กระทั่งในสิ่งที่ให้ความสุขแก่เรามันก็เกิดขึ้น เพราะรู้ว่ายึดไม่ได้ ไม่ว่าจะยึดเป็นของกู ยึดเป็นกู หรือว่าสุดก็ตาม ยึดว่าเที่ยงก็ตาม เพราะในที่สุดก็ต้องแปรผันไป ในที่สุดก็ต้องสูญเสียไป
เพราะฉะนั้น การมีสติรู้ทันความคิดและอารมณ์ รวมทั้งเห็นความจริงของกายและใจ มันสำคัญมากนอกจากตัวมันเองช่วยทำให้ปล่อยวางความทุกข์ที่เกิดขึ้นกับใจได้แล้ว มันยังช่วยทำให้เกิดปัญญาที่ทำให้สามารถปล่อยวางสิ่งที่มันให้ความสุขกับเราได้ ซึ่งที่จริงถ้ามีปัญญาก็จะพบว่า มันไม่ใช่ให้ความสุขกับเรา 100% มันก็เป็นสุขที่เจือไปด้วยทุกข์ บางทีก็เป็นสุขชั่วคราวและทุกข์ยาวนาน แล้วก็มองไปมีปัญญาเจริญพิจารณาเห็นความจริงไปเรื่อยๆ ก็จะพบว่าสุขที่เจือไปด้วยทุกข์ มันทุกข์ล้วนๆเลย
ถึงตอนนั้นแหล่ะ มันก็วาง วางเลย อันนี้เพราะว่ารู้ ทีแรกรู้ตัวก่อน รู้ตัว เพราะมีสติ พอได้สติ ต่อไปก็รู้ความจริง เกิดปัญญาขึ้นมา แต่แม้ว่าจะยังไม่รู้ความจริงอย่างแจ่มแจ้ง แต่ถ้ารู้ตัว ไม่ไปเผลอยึดความทุกข์ความเศร้าความโศกในยามที่สูญเสียสิ่งรัก สิ่งที่ยึดติดเอาไว้ มันก็ยังช่วยได้เยอะ อย่างน้อยก็ทำให้รอดจากวิกฤตหรือพ้นจากอันตรายได้ หรือว่าไม่ซ้ำเติมตัวเอง
แต่ถ้าหากว่ามีสติมากขึ้น เจริญสติบ่อยๆเป็นนิจ มันจะไม่แค่รู้ตัวต่อเนื่อง แต่มันจะรู้ความจริง จนกระทั่งสามารถที่จะวางแม้กระทั่งสิ่งที่คิดว่ามันให้ความสุขกับเรา ไม่ใช่แค่ทรัพย์สมบัติ แต่รวมถึงทั้งกายและใจได้เลย
- พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมก่อนฉันเช้าวันที่ 18 กันยายน 2564