แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
เมื่อวานครบรอบ 20 ปีเหตุการณ์ 11 กันยาที่สหรัฐอเมริกา เวลาพูดถึงเหตุการณ์นี้ ส่วนใหญ่ก็นึกถึงตึกแฝดเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ซึ่งพังทลายมาเพราะการก่อการร้ายในวันนั้น แต่สิ่งที่จะพูดถึงวันนี้เป็นเรื่องของตึกแฝดเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์
ตอนที่มีประกาศว่า จะมีการสร้างตึกแฝดที่ว่านี้ในกรุงนิวยอร์คเมื่อ 50 ปีที่แล้ว มีชาวฝรั่งเศสคนหนึ่งมีความใฝ่ฝันว่าหากสร้างตึกนี้เสร็จเมื่อไร เขาอยากจะทำสิ่งที่ไม่มีใครเคยทำก็คือ เดินไต่ลวดกลางอากาศระหว่างตึกทั้งสอง เพราะว่าเป็นตึกที่เหมาะมากแก่การเดินไต่ลวด เนื่องจากสองตึกนี้สูงเท่ากัน และระยะห่างกันไม่มากแค่ 2-3 เมตร
เขาก็รอจนตึกนี้สร้างเกือบเสร็จ แล้วเขากับเพื่อนวางแผนลักลอบเข้าไปในตึกนี้ตอนกลางคืน พอถึงรุ่งเช้า เขาก็ทำตามแผนเลย ขึงลวดระหว่างยอดตึกทั้งสองตึก เอาลวดสลิงติดไว้ที่ปลายธนูแล้วก็ยิงไปที่ตึกฝั่งตรงข้าม จนลวดตึง แล้วเขาก็เดินไต่บนลวดโดยมีแค่ไม้แผ่นยาวๆถือเอาไว้เพื่อเลี้ยงตัว
เดินไปสักพัก คนข้างล่างสังเกตเห็นว่ามีคนเดินไต่ลวดระหว่างยอดตึกแฝด คนก็ฮือฮากันใหญ่ แล้วก็มีคนไปแจ้งตำรวจ ตำรวจก็ขึ้นไปยืนรอจะจับที่ยอดตึกเลย ฝรั่งเศสคนนี้ชื่อ ฟิลิปป์ เปอตีต์ พอเขาเดินไปถึงตึกฝั่งตรงข้ามแทนที่จะลง ซึ่งตอนนั้นก็มีตำรวจรอจับอยู่แล้ว เขาก็กระโดดกลับตัวกลางอากาศแล้วก็เดินต่อ
ตำรวจก็ยืนรอจับ แต่เขาไม่ยอมให้ตำรวจจับ พอเดินไปถึงปลายลวดอีกฝั่งหนึ่ง เขาก็กลับตัวกลางอากาศแล้วก็เดินต่อไปอีกฝั่งหนึ่ง เดินไปกลับๆอย่างนี้ 8 เที่ยว เกือบ 45 นาทีได้ จนเขารู้สึกว่าพอแล้ว หนำใจเขาก็เดินลงจากลวดไปให้ตำรวจจับ เป็นข่าวใหญ่โตเลย
ผู้คนก็ทึ่งมากว่าเขาทำได้อย่างไร เพราะว่าตึกสูงมาก 400 เมตรจากพื้น พลัดตกลงมาก็แหลกเหลวเลย แต่ว่าฟิลิปป์ เปอตีต์ จิตใจเขาไม่สะทกสะท้านเลย นิ่งมากเดินกลับไปกลับมากลางอากาศบนเส้นลวด หลังจากออกจากคุกแล้ว ก็มีนักข่าวถามเขาว่า เขาทำได้อย่างไรถึงเดินแบบนั้นได้ มีเคล็ดลับอย่างไรบ้าง
เขาก็ตอบว่าไม่มีเคล็ดลับอะไรเลย ผมก็แค่ว่าตอนที่อยู่บนขดลวด เพียงแค่ว่า ขยับเท้าขวาให้ไปอยู่หน้าเท้าซ้าย แล้วก็ขยับเท้าซ้ายให้ไปอยู่หน้าเท้าขวา ทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ตอนนั้นใจก็ไม่ได้นึกถึงจุดหมายข้างหน้าเลยที่เป็นยอดตึกฝั่งตรงข้าม จดจ่อแต่เท้าที่ก้าวทีละก้าวจนกระทั่งถึงฝั่งตรงข้าม แล้วก็กลับตัว แล้วก็ใช้วิธีเดิม ขยับเท้าทีละก้าว ทีละก้าว ไม่นานก็ถึงฝั่งตรงข้าม
เขาบอกว่า ตอนนั้นไม่ได้สนใจอะไรเลย ไม่ว่าจะเป็นพื้นดินข้างล่าง หรือว่ายอดตึกที่อยู่ตรงข้าม เขาสนใจแต่ว่า อยู่กับที่นี่ เดี๋ยวนี้ ซึ่งถ้าพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือว่า อยู่กับปัจจุบัน เคล็ดลับในการไต่ลวดที่เสี่ยงอันตรายจนประสบความสำเร็จก็คือ อยู่กับปัจจุบัน อยู่กับก้าวแต่ละก้าว
จริงๆ ชีวิตคนเราก็ไม่ต่างจากการเดินไต่ลวดก็ได้ เพราะว่าอันตรายเกิดขึ้นได้ทุกนาทีเลย สิ่งที่เป็นเคล็ดลับของเขาคือการอยู่กับปัจจุบัน จะว่าไปก็เป็นเคล็ดลับหรือศิลปะในการดำเนินชีวิตด้วยเหมือนกัน ก็คือ ให้อยู่กับปัจจุบัน คนเราถ้าหากว่า ไม่อยู่กับปัจจุบัน มันก็อันตรายเช่นกัน
ขับรถ ใจไม่อยู่กับการขับรถ แต่ว่าไปสนใจจุดหมายที่อยู่ไกลอีก 200-300 กิโลเมตร ก็อาจจะเสี่ยงต่ออันตรายเพราะอาจจะเกิดอุบัติเหตุได้ หรือว่าลงบันไดใจไม่อยู่กับตัว หรือว่าใจลอย ไม่อยู่กับปัจจุบัน คิดโน่นคิดนี่ก็อาจจะพลัดตกบันไดได้ เสียบปลั๊กไฟแต่ใจลอยก็อาจจะเกิดอุบัติเหตุไฟช็อตตายได้
การอยู่กับปัจจุบันเรียกว่าเป็นศิลปะที่สำคัญต่อการดำเนินชีวิต ที่จริงความหมายของการอยู่กับปัจจุบัน มีความหมายที่กว้างและลึกซึ้ง เป็นหลักธรรมข้อหนึ่งในทางพระพุทธศาสนา คือการอยู่กับปัจจุบัน เราต้องอยู่กับปัจจุบันให้เป็น อยู่ปัจจุบันให้เป็นอีกความหมายหนึ่งก็คือว่า ใจไม่ไหลไปอยู่ในอดีต ไม่ลอยไปในอนาคต
ทำอะไร ถ้าใจไปอยู่กับอนาคต เช่น จุดหมายหรือผลสำเร็จอยู่ข้างหน้า มันก็เหนื่อย มันก็เครียด บางทีก็ทำให้ท้อแท้ได้ หรือใจไปอยู่กับจดจ่อกับปัญหาข้างหน้าซึ่งยังไม่เกิด แต่ว่าไปจินตนาการแล้วว่ามันต้องเกิดขึ้นแน่ ก็ทำให้ท้อ ทำให้เครียด ทั้งๆที่มันยังไม่เกิดขึ้นเลย
ส่วนการที่ใจไหลไปในอดีตก็หมายความว่า ไปพะวง ไปจดจ่ออยู่กับเหตุการณ์ที่เลวร้ายในอดีต เช่น ความสูญเสียคนรัก สูญเสียของรัก ก็ทำให้จมอยู่กับความเศร้าโศก หรือว่าไปนึกถึงคนที่ทำร้ายเรา หักหลังเรา ทำให้โกรธแค้น จิตใจรุ่มร้อน แต่ไม่ใช่เฉพาะเหตุการณ์แย่ๆ
แม้เหตุการณ์ดีๆถ้าเอาใจไปแต่จดจ่อ อาลัยอาวรณ์ กับมันมากก็ไม่ถูก กับความสำเร็จ หรือช่วงเวลางดงามในอดีต ถ้าไปอาลัยอาวรณ์กับมันมากทำให้เป็นทุกข์กับปัจจุบัน เพราะว่าปัจจุบันไม่มีสิ่งนั้นอีกแล้ว
เคยมีคนถามฟิลิปป์ เปอตีต์ หลังจากผ่านไป 30 ปีที่เขาประสบความสำเร็จในการเดินไต่ลวดระหว่างตึกแฝดนั้น ว่าเขารู้สึกหรือคิดอย่างไรกับเหตุการณ์ครั้งนั้น เขาบอกว่า เขาไม่ได้มองเลยว่าความสำเร็จครั้งนั้นเป็นความสำเร็จของชีวิตเขา เพราะว่าสำหรับผมช่วงเวลาที่ดีที่สุดของชีวิตคือวันนี้ ผมไม่มีความอาลัยอาวรณ์กับความสำเร็จในเหตุการณ์ครั้งนั้นเลย
ถ้าคิดแบบนี้ได้ก็มีความสุขกับปัจจุบัน แต่คนจำนวนมาก เขาไม่มีความสุข เพราะว่าเขาอาลัยอาวรณ์กับความสำเร็จในอดีต อาจจะเคยเป็นดาราที่มีชื่อเสียง เป็นนักร้องที่โด่งดัง เป็นนักกีฬาเหรียญทองไปที่ไหนก็ทักทาย ขอลายเซ็น ถ่ายรูป แต่ว่าตอนนี้ เหตุการณ์หรือช่วงเวลาแบบนั้นมันไม่มีแล้ว ก็เสียใจ อยู่แบบหงอยเหงา
อันนี้เป็นกันเยอะเป็นเพราะว่าไม่รู้จักอยู่กับปัจจุบัน ยังอาลัยอาวรณ์กับวันวานอันหวานชื่นอยู่ ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์ที่ดี หรือเหตุการณ์ที่ย่ำแย่ในอดีต ถ้าไปจดจ่อกับมัน มันก็ทำให้ไม่มีความสุข
อยู่กับปัจจุบันก็คือการเอาใจมาอยู่กับที่นี่และเดี๋ยวนี้ รวมทั้งกับสิ่งที่กำลังทำอยู่ในปัจจุบันด้วย ปัจจุบันไม่ได้หมายความว่าเวลาหรือสถานที่อย่างเดียว แต่หมายถึงสิ่งที่เรากำลังทำอยู่ในขณะนี้ ซึ่งก็อาจจะหมายความถึงการที่กำลังทบทวนเรื่องราวในอดีต หรือวางแผนในอนาคตก็ได้
การอยู่ในปัจจุบันในทางพุทธศาสนา ไม่ได้หมายความถึงว่าไม่ไปทำอะไรกับเรื่องราวในอดีต หรือไม่ไปนึกถึงในอนาคตเลย นั่นไม่ใช่ การวางแผนเพื่อรับมือเกี่ยวกับอนาคต เช่น เรารู้ว่าเราต้องแก่ เราต้องเจ็บ เราต้องป่วย เราต้องตาย เพราะฉะนั้นเราก็ต้องไม่นิ่งดูดาย เตรียมตัวเตรียมใจตั้งแต่วันนี้ อันนี้ก็เรียกว่าอยู่กับปัจจุบัน
หรือว่านึกทบทวนชีวิตที่ผ่านมา การงานที่ผ่านมา เพื่อจะได้ปรับปรุงแก้ไข ถ้าหากว่าใจเราอยู่กับสิ่งนี้ ก็ถือว่าอยู่กับปัจจุบัน แต่ถ้าหากว่าคิดทบทวนเรื่องราวในอดีต แล้วใจไปวอกแวก ไปนึกนั่นนึกนี่ ก็นึกว่า เดี๋ยวฉันจะต้องไปทำอะไรบ้างเช้านี้ บ่ายนี้ คิดไม่ปะติดปะต่อ อย่างนี้เรียกว่าไม่อยู่กับปัจจุบัน
เพราะฉะนั้น การทบทวนอดีต การวางแผนสำหรับอนาคต ถ้าใจเราอยู่กับสิ่งนั้น อยู่กับงานนั้น ก็ถือว่าอยู่กับปัจจุบัน เรียกว่าเกี่ยวข้องกับอดีตและปัจจุบันให้ถูก อย่างที่เราสวดมนต์อยู่บ่อยๆว่า บุคคลไม่ควรตามคิดถึงสิ่งที่ล่วงไปแล้วด้วยอาลัย แต่ถ้าเราคิดถึงอดีตด้วยอาลัยอาวรณ์ อันนั้นก็ไม่ใช่ หรือนึกถึงอนาคตแล้วเกิดพะวงขึ้นมา และไม่พะวงถึงสิ่งที่ยังมาไม่ถึง พะวงหรือกังวลกับสิ่งที่ยังมาไม่ถึง ก็ไม่ใช่
แต่ถ้าเรานึกถึงอดีตและอนาคตอย่างมีสติมีปัญญา อันนี้ถือว่าอยู่กับปัจจุบัน ขณะเดียวกันก็ไม่ละเลยสิ่งที่ควรทำ หรือสิ่งที่ต้องทำ บางคนอาจจะบอกว่าฉันกำลังสนุกอยู่ กำลังสนุกสนาน อยากจะใช้ชีวิตให้มันสนุกสนาน ใจได้อยู่กับปัจจุบันคืออยู่กับความสนุกสนานเต็มที่ สุดๆสุดเหวี่ยง อันนี้ก็ไม่ใช่การอยู่กับปัจจุบันในทางพระพุทธศาสนา
เพราะว่าการทำเช่นนั้น ถ้าหากว่า ทำให้เราละเลยสิ่งที่ควรทำ เช่น งานการหรือว่าหน้าที่ที่ควรมีควรปฏิบัติต่อคนรอบข้าง สิ่งที่ควรทำแต่ไม่ได้ทำเพราะว่าเอาแต่สนุกสนาน แล้วก็มาอ้างว่ากำลังอยู่กับปัจจุบัน ขอสนุกกับมันให้เต็มที่ อันนี้ไม่ใช่ สิ่งที่ควรทำแต่ไม่ทำเพราะว่าเอาแต่เพลิดเพลินสนุกสนานก็ไม่ถูก
หรือสิ่งที่ควรทำแต่ว่าเอาแต่เศร้าโศกเสียใจ เช่น เศร้าโศกเสียใจเพราะว่าแม่หรือพ่อจากไปโดยที่ยังไม่ทันร่ำลา เสร็จแล้วก็ฟูมฟายอยู่อย่างนั้นจนลืมดูแลลูกซึ่งต้องการความใส่ใจจากพ่อ อย่างนี้ก็ไม่ถูก ถ้าเราเศร้าโศกเสียใจจนทำให้เราลืมหน้าที่ที่เราควรทำในปัจจุบัน เช่น การดูแลลูก การดูแลบุพการีบุคคลที่ยังอยู่ อันนี้เป็นสิ่งที่ต้องใส่ใจ
ท่านถึงสอนอย่าให้ประมาท ความไม่ประมาททำให้เรานึกเฉลียวใจว่า อะไรที่ควรทำแต่ยังไม่ได้ทำ เพราะฉะนั้น การอยู่กับปัจจุบันยังมีความหมายถึง การที่ไม่ละเลยสิ่งที่ควรทำ หรือเป็นหน้าที่ที่ต้องทำ
นอกจากนี้ อยู่กับปัจจุบันยังมีอีกคำหนึ่ง ทำปัจจุบันให้ดีที่สุด อันนี้ก็ใกล้เคียงกันเราเคยได้ยินคำว่าทำปัจจุบันให้ดีที่สุด แต่ว่าบ่อยครั้งพูดจนกระทั่งความหมายเล่อะเลือนพล่ามัว
ทำปัจจุบันให้ดีที่สุดมีหมายความประการแรก ว่าเวลาเจออะไรก็ตาม เรายอมรับมันได้ ไม่ว่าจะเจอปัญหา เจออุปสรรค เจอเหตุการณ์อะไรก็ตาม ซึ่งมันเกิดขึ้นแล้ว เป็นปัจจุบันแล้ว ยอมรับมัน ไม่ผลักไส ไม่โวยวายตีโพยตีพาย เพราะถ้าหากว่าทำอย่างนั้นแล้ว ก็ทำให้ละเลยสิ่งที่ควรทำ ก็เอาแต่โวยวาย หรือบางทีห่อเหี่ยวท้อแท้ ก็เลยงอมืองอไม้สิ้นเรี่ยวสิ้นแรง เช่น เจ็บป่วย
อยู่กับปัจจุบันให้ดีที่สุดก็คือรักษา รักษาเนื้อรักษาตัวให้ดี แต่คนหลายคนพอเจอความเจ็บป่วย เขายอมรับไม่ได้ ทำไมต้องเป็นฉัน หดหู่ห่อเหี่ยวหมดอาลัยตายอยากกับชีวิต ละเลยสิ่งที่ควรทำไม่ว่าจะเป็นการดูแลรักษาตัว แม้กระทั่งการดูแลคนในบ้าน แต่ถ้าเรายอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นได้ ก็ทำให้เราสามารถจะเดินหน้าต่อไปได้ หรือรู้ว่าควรจะทำอะไรกับปัญหาที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นปัญหาสุขภาพ ปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาความสัมพันธ์
อยู่กับปัจจุบันให้ดีที่สุด ยังมีหมายความว่า เห็นคุณค่าของสิ่งที่มีอยู่ แล้วก็ใช้สิ่งที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด แม่ครัวที่ดี เขาได้เครื่องได้วัสดุอะไรมา เขาไม่มัวบ่นว่าขาดโน่นขาดนี่ แต่จะคิดว่า เอาสิ่งที่มีอยู่ตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นผัก เครื่องปรุง มาปรุงอาหารให้ดีให้อร่อยได้อย่างไร เอาสิ่งที่มีอยู่มาใช้ให้เกิดประโยชน์ที่สุด
คนพิการหลายคน เขาไม่มีความทุกข์หรือมีความทุกข์น้อย แต่ว่าเขาสามารถที่จะทำสิ่งต่างๆได้อย่างที่คนธรรมดาทำได้ยาก ก็เพราะว่าเขาอยู่กับปัจจุบัน หรือทำปัจจุบันให้ดีที่สุดในความหมายที่ว่าเขาไม่มามัวว่ามาตัดพ้อว่า ฉันขาดอวัยวะโน้นอวัยวะนี้ แต่เขาจะมองว่าที่ฉันมีอยู่ ฉันจะใช้ให้มันดีที่สุดได้อย่างไร ไม่ว่าจะเป็นแขนข้างเดียว ขาข้างเดียว หรือสมองที่ยังทำงานอยู่
อย่างที่นักปั่นจักรยานข้ามประเทศของเมืองไทยไปเนปาล เขาทึ่งมากที่เห็นคนพิการแขนขาดขาขาด คนที่เป็นมะเร็งป่วยระยะสุดท้าย แต่ว่าสามารถที่จะขี่จักรยานหรือปีนเขา ไปถึงยอดเขา Everest ที่สูงมากทั้งๆที่คนธรรมดาก็ยังไปลำบาก
แล้วเขาก็พบว่าเป็นเพราะว่าคนเหล่านี้ไม่ได้กังวลว่า ฉันสูญเสียอะไรไป แต่เขาสนใจแต่ว่า ฉันจะใช้อวัยวะที่มีอยู่ให้ดีที่สุดได้อย่างไร เขาก็สามารถทำได้อย่างที่คนธรรมดาทำไม่ได้
การเห็นคุณค่าของสิ่งที่มีอยู่ มันยังรวมถึงการชื่นชมความสุขที่มีอยู่ด้วย ความสุขที่มีอยู่ในปัจจุบัน มีคนจำนวนไม่น้อย ชีวิตเขามีความสุข แต่ว่าไม่เคยรับรู้ถึงความสุขที่มีอยู่เลย เพราะว่าจิตใจไปจมอยู่กับความทุกข์ในวัยเด็กในอดีต
มีอาม่าคนหนึ่ง แกมีครอบครัวที่ผาสุก สามีก็ดี ลูกก็ดี ฐานะก็ดี แต่ว่าสีหน้าหม่นหมอง เพราะคิดถึงแต่ความทุกข์ในวัยเด็กว่า พ่อแม่ไม่รัก ปฏิบัติกับเธอไม่ดีเลย ก็ฝังใจอยู่แต่เรื่องนี้ อันนี้เรียกว่าลืมหรือมองข้ามสิ่งดีๆที่มีอยู่ในปัจจุบัน ทั้งๆที่มันเป็นสิ่งเป็นความสุข
หรือบางคนก็โหยหาความสุขที่อยู่ข้างหน้า เช่น ความสำเร็จ เงินทอง ชื่อเสียง จนมองข้ามความสุขที่มีอยู่ในปัจจุบัน เช่น ครอบครัวอบอุ่น หรือการได้พักผ่อน การได้ทำสิ่งที่รัก มีบางคนชีวิตอยู่ในช่วงขาขึ้นเขาก็รีบหาเงินหาทองใหญ่เลย หวังว่าจะสะสมเงินทองเอาไว้เพื่อให้ครอบครัวมีความสุขในวันข้างหน้า
ไม่มีเวลาให้กับลูก ไม่มีเวลาให้กับครอบครัว ไม่มีเวลาเที่ยวหรือว่าพักผ่อนหน่อนใจ ปรากฏว่าทำงานหนักไปไม่กี่ปีเป็นมะเร็ง เงินที่มีอยู่รักษาเท่าไหร่ก็ไม่หาย ก็กลายเป็นว่าความสุขที่โหยหาใฝ่ฝันข้างหน้าก็ไปไม่ถึง ส่วนความสุขที่มีอยู่แล้วมองข้าม แต่ก็ไม่มีโอกาสแล้ว อยากจะอยู่กับลูกให้นานๆอยากจะมีเวลาอยู่กับลูกให้มากกว่านี้ แต่ว่าทำไม่ได้แล้ว เพราะว่าเวลาเหลือน้อยเต็มที
เรียกว่าสุขในปัจจุบันก็ทิ้ง สุขในอนาคตก็ไปไม่ถึง ทำให้นึกถึงนิทานอีสป หมาคาบเนื้อ หมาตัวหนึ่งได้เนื้อก้อนหนึ่งมา มันคาบเอาไว้ มันจะเอาไปกินข้างหน้า ขณะที่มองลงไปในแม่น้ำลำห้วยข้างหน้า มันเห็นเงาของตัวเอง แต่มันนึกว่าเป็นหมาอีกตัวหนึ่งที่กำลังคาบเนื้ออยู่ และคาบเนื้อก้อนใหญ่กว่า
หมาตัวนั้นอยากได้ก้อนเนื้อที่ใหญ่กว่า ซึ่งอยู่ตรงผิวน้ำ มันก็เลยอ้าปาก แล้วก็ทิ้งเนื้อที่คาบอยู่ ด้วยความมุ่งหวังว่าจะได้เนื้อก้อนใหญ่กว่า ปรากฏว่าสูญไปเลย เนื้อที่คาบอยู่ก็ตกลงน้ำ เนื้อที่อยู่ในน้ำมันก็ละลายหายไปเพราะมันเป็นแค่เงา
อันนี้เป็นนิทานสอนใจดีว่า อย่าไปหวังเอาความสุขข้างหน้า จนลืมความสุขที่มีอยู่ในปัจจุบัน แต่คนเราก็เป็นอย่างนี้ เพราะเราไปวาดหวังว่า ความสุขข้างหน้ามันจะสวยสดงดงามกว่า หอมหวานกว่าสิ่งที่มีอยู่ในปัจจุบัน
ทำปัจจุบันให้ดีที่สุด ยังมีอีกความหมายหนึ่งว่า สิ่งที่เราทำอยู่ ถ้าเป็นสิ่งที่เหมาะสิ่งที่ควรทำ ก็พยายามทำให้เต็มที่ แล้วมีความเพียร แต่คนเรามักจะทิ้งความเพียรเพราะว่าไปเพลิดเพลินกับความสนุกสนาน เพราะฉะนั้นจึงมีคำสอนของพระพุทธเจ้าว่า ความเพียรเป็นกิจที่ต้องทำในวันนี้ ใครจะรู้ความตายแม้พรุ่งนี้
การระลึกถึงความตายที่จะเกิดขึ้นในอนาคต มันทำให้เราเห็นความสำคัญของการทำความเพียรในวันนี้ ในขณะที่เรายังมีโอกาส ยังมีพละกำลังยังมีเรี่ยวแรง ก็ต้องทำความเพียรไม่ใช่แค่หาเงินหาทอง แต่รวมถึงการฝึกใจฝึกตน การทำปัจจุบันให้ดีที่สุดคือการฝึกตน โดยเฉพาะการฝึกจิตฝึกใจ เพราะคนเรามีศักยภาพที่นำพาเราให้ได้พบกับความสุขหรือผ่านความทุกข์ได้
คนเรามีศักยภาพในจิตใจ แต่ว่ามองข้ามไป ไม่พัฒนาให้เต็มที่ ก็ถือว่ามองข้ามสิ่งที่ดีๆมีอยู่ และสิ่งหนึ่งที่จะช่วยทำให้เราไม่มองข้ามสิ่งนี้ รวมทั้งเห็นคุณค่าของปัจจุบัน เห็นคุณค่าของวันนี้ ชั่วโมงนี้ ก็คือ การระลึกถึงความตาย
การระลึกถึงความตายก็คือ การนึกถึงอนาคต ความตายไม่ได้เกิดขึ้นในปัจจุบัน มันจะเกิดขึ้นในอนาคต จะเป็นพรุ่งนี้ หรือปีหน้า หรือว่าชั่วโมงหน้า ก็แล้วแต่ การนึกถึงความตายก็คือการคิดถึงอนาคต แต่เป็นการนึกเพื่อที่จะมากระตุ้นให้เห็นความสำคัญของปัจจุบันขณะ เห็นความสำคัญของวันนี้ เพื่อที่เราจะได้ทำความเพียรเต็มที่
อันนี้ก็แสดงว่า พระพุทธศาสนาไม่ได้ปฏิเสธการมองถึงอนาคต นึกถึงอนาคต แต่ว่านึกถึงเพื่อกระตุ้นให้เราเห็นความสำคัญของปัจจุบัน และทำปัจจุบันให้ดีที่สุด เพราะถ้าละเลยปัจจุบันไป ละเลยวันนี้ไป อาจจะไม่มีพรุ่งนี้ก็ได้ เพราะพ้นจากวันนี้ไปก็ชาติหน้าเลย อย่างภาษิตของธิเบตบอก
เพราะฉะนั้น คำว่าอยู่กับปัจจุบัน เราต้องเข้าใจให้ดี ถ้าเราเข้าใจไม่ถูกต้อง เราก็จะปฏิบัติผิดพลาด อยู่กับปัจจุบันก็ยังรวมถึว่า ทำปัจจุบันให้ดีที่สุดด้วย
- พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมเย็นวันที่ 12 กันยายน 2564