แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ตอนเป็นฆราวาสอาตมาเคยโดนจี้ ตอนนั้นอายุไม่มากแค่ 17 โดนจี้ตอนกลางวันแสกๆ คนที่เอาของแหลม ไม่รู้เป็นมีดหรือเปล่า มาจี้ ก็ได้นาฬิกาไปเรือนหนึ่ง นาฬิกาเรือนนั้นราคาไม่แพง โยมพ่อซื้อให้ ตัวเองไม่มีปัญญาซื้อสมัยเป็นนักเรียน
ก็ยังดีที่ไม่เสียเงิน ที่จริงเขาจะเอาเงินด้วยแต่ว่าคงมีคนเดินผ่านมาไกลๆเขาก็เลยรีบหนีไปก่อน แต่ถ้าเอาเงินไปก็ไม่เท่าไหร่เพราะว่าพกเงินไม่มากเท่าไหร่ ถือว่าโชคดีเสียแค่นาฬิกา เพราะบางรายนอกจากเสียของเสียเงินแล้ว ยังเจ็บตัวอีกเพราะถูกทำร้าย ส่วนหนึ่งก็เพราะว่าต่อสู้ขัดขืน บางรายอาจจะเสียชีวิตเลยก็ได้
ที่จริงแล้วแม้ถูกจี้ไม่จำเป็นต้องลงเอยแบบนั้นก็ได้ ก็คือเจ็บตัวหรือแม้แต่สูญเสียทรัพย์ก็มี หลายรายที่ถูกจี้แล้วไม่ได้เสียอะไรเลยกลับได้เสียอีก
มีคุณยายคนหนึ่งหิ้วของพะรุงพะรัง 2 ถุง สองมือ เดินกลับบ้านกลางดึก พอถึงกลางซอยเปลี่ยวสังเกตมีผู้ชาย 2 คนเดินตามมาข้างหลัง แล้วก็เดินเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ พอชำเลืองดูก็สังเกตผู้ชายคนหนึ่งเอามือล้วงในกระเป๋าคงจะเป็นอาวุธ ทั้งสองคนก็เดินมาประชิด ใกล้ขึ้นเรื่อยๆจนใกล้จะถึงตัว คุณยายทำอย่างไร
แกไม่ได้ร้องตะโกนขอความช่วยเหลือ แน่นอนแกวิ่งไม่ได้อยู่แล้วเพราะว่าอายุมาก ของก็เยอะ สิ่งที่คุณยายทำก็คือ หันกลับไปเผชิญหน้ากับชายหนุ่ม 2 คน แล้วยิ้มให้ชายหนุ่มพร้อมกับพูดว่า โชคดีจัง ฉันกำลังหาคนมาช่วยถือของพอดีเลย ช่วยฉันถือของด้วยสิ แล้วยื่นถุงทั้ง 2 ถุงให้ ชายหนุ่มทั้งสองไม่ทันตั้งตัว ก็รับของจากคุณยายแบบงงๆ
คุณยายก็พูดว่า ใจดีจัง ขอบคุณนะพ่อหนุ่ม แล้วก็ชวนคุยตลอดทาง สองคนนั้นก็เป็นอันว่าช่วยคุณยายถือของส่งถึงบ้าน พอถึงบ้านแล้ว คุณยายก็ร่ำลาจากกันไปโดยที่ไม่ได้อะไรไปเลย ได้แต่คำขอบคุณและรอยยิ้ม
มีผู้ชายคนหนึ่งถูกจี้กลางดึก มิจฉาชีพคนนี้ใช้ปืนจ่อจี้ว่าเอาเงินมา แต่ชายหนุ่มคนนั้นกลับทำท่าไม่สนใจ พูดว่าคืนนี้มันหนาว คุณไม่ได้ใส่เสื้ออะไรเลย เสื้อคุณบางเหลือเกิน เอาเสื้อหนาวผมไปก็แล้วกัน แล้วก็ถอดเสื้อหนาวให้ แล้วก็ยื่นให้โจรคนนั้น หมอนั่นก็รับเสื้อไปแบบงงๆ ชายหนุ่มคนนั้นก็พูดต่อว่า ผมกำลังจะไปกินข้าวอยู่พอดี ไปกินข้าวด้วยกันไหม โจรคนนั้นก็ตามไป ในใจก็สงสัยว่าจะเอาอย่างไรกันแน่
แต่เพราะความอยากที่จะได้เงินก็เดินตามเขาไปที่ร้านอาหาร ชายหนุ่มก็เลี้ยงอาหาร พอกินอาหารเสร็จก็ควักเงินให้ บอกเอาไปผมให้ ควักเงินให้แต่โดยดีเลย แต่มิจฉาชีพคนนั้นบอกว่าผมไม่เอาเงินจากเพื่อนหรอก กลายเป็นเพื่อนกันไปเสียแล้ว ชายหนุ่มคนนี้นอกจากไม่เสียทรัพย์แล้วเพราะถูกจี้ ก็ปรากฏว่ายังได้เพื่อนอีก
คือ ปกติคนเราเวลาถูกจี้ สัญชาตญาณก็จะถูกกระตุ้นให้เกิดความกลัวบ้าง เกิดความโกรธบ้าง หรือเกิดความรู้สึกเป็นปฏิปักษ์ แล้วบ่อยครั้งก็นำไปสู่การต่อสู้ขัดขืน ซึ่งก็มักจะลงเอยด้วยความเจ็บตัวนอกจากเสียทรัพย์แล้วบางทียังเสียชีวิตด้วย แต่ก็มีหลายคนที่นอกจากไม่เสียทรัพย์แล้ว ยังได้เพื่อน
หลายคนไม่เสียทรัพย์เพราะต่อสู้ อาจจะมีกำลังมากกว่า ก็ต่อยหรือกำราบมิจฉาชีพจนหมอบราบเลย แต่ว่านั่นไม่ใช่วิธีการที่ดีก็ได้ เพราะว่าโจรอาจจะต่อสู้ตอบโต้ แล้วก็อาจจะเอาปืนยิง เอามีดแทง
เวลาถูกจี้ ไม่ได้แปลว่าจะต้องมีฝ่ายหนึ่งเสีย อีกฝ่ายหนึ่งได้เสมอไป อาจจะเป็นไปได้ว่า ได้ทั้งสองฝ่ายเลยก็ได้ โดยเฉพาะได้มิตรภาพ ทั้ง 2 กรณีนี้ เจ้าทรัพย์ไม่ได้แสดงความเป็นปฏิปักษ์ ตรงข้าม กลับแสดงความเป็นมิตร ไม่ว่าด้วยคำพูด รอยยิ้ม หรือความเอื้อเฟื้อ และสิ่งที่ได้กลับคืนก็คือ ความเอื้อเฟื้อจากมิจฉาชีพ อย่างน้อยๆก็ไม่โดนข่มขู่คุกคามทำร้าย
ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่า แม้จะเป็นมิจฉาชีพ แต่ว่ามีความดีอยู่ในตัว คนเราก็มีทั้งความชั่วและความดี มีทั้งกุศลและอกุศลอยู่ในใจ หรือมีทั้งโพธิและกิเลสอย่างที่พูดเมื่อวาน แต่ว่าคนเราบางครั้งก็ทำชั่วเพราะว่าความใฝ่ต่ำ หรือความเห็นแก่ตัว หรือกิเลสมันครอบงำ แต่ถ้าหากว่าเราสามารถจะปลุกความใฝ่ดี หรือว่าโพธิ หรือกุศลให้เกิดขึ้นในใจได้ เขาก็สามารถที่จะเปลี่ยนพฤติกรรมจากผู้ร้ายกลายเป็นมิตร
สิ่งที่คุณยายกับชายคนนั้นทำ ก็คือว่า กระตุ้นหรือเชิญชวนให้คุณธรรมหรือความใฝ่ดีในใจของมิจฉาชีพเกิดขึ้นมามีแรง จนสามารถที่จะเอาชนะความใฝ่ต่ำหรือว่าด้านมืดของเขาได้ เชิญชวนกระตุ้นความใฝ่ดีอย่างไร ก็คือ ด้วยการแสดงความเป็นมิตร โดยแสดงน้ำใจ ยื่นเสื้อหนาวให้ ชวนไปกินข้าว แถมยังให้เงินอีก ไม่ได้แสดงความรู้สึกรังเกียจ หรือเป็นปฏิปักษ์
อันนี้ก็เป็นน้ำใจ ซึ่งมันเป็นสิ่งที่กระตุ้นความใฝ่ดีอยู่ในใจของมิจฉาชีพให้ขึ้นมา จนกระทั่งเปลี่ยนใจไม่เอาแล้ว เกิดความเป็นมิตรขึ้นมาแทนที่ อย่างที่มิจฉาชีพในกรณีที่ 2 บอกว่าผมไม่เอาเงินจากเพื่อนหรอก กลายเป็นเพื่อนไปแล้วเพราะว่าเขาซาบซึ้งในน้ำใจของชายหนุ่มที่เขามีความเป็นเพื่อน เวลาถูกจี้มันไม่จำเป็นต้องลงเอยด้วยการที่เป็นปฏิปักษ์หรือเสียหายกับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
เราสามารถผ่านพ้นเหตุการณ์ไปได้ด้วยดีโดยที่ไม่มีใครสูญเสีย และก็มีแต่ได้ ก็คือได้เพื่อน ได้มิตรภาพและบางครั้งมิตรภาพก็ยั่งยืน ไม่ใช่ว่าเจ้าทรัพย์ได้เพื่อนฝ่ายเดียว ตัวมิจฉาชีพด้วยก็ได้เพื่อนด้วยและเป็นเพื่อนที่ยั่งยืน
มีผู้หญิงคนหนึ่ง ช่วงที่เกิดวิกฤต IMF เมื่อ 20 ปีที่แล้ว ตกงาน แล้วก็คงคิดว่าจะไม่มีงานทำอีกนาน ก็เลยไปเรียนต่อที่อเมริกาใช้ทุนส่วนตัวไปเรียนที่บอสตัน อยู่ที่นั่นก็ต้องประหยัดเงิน เพราะว่าค่าเงินบาทตกต่ำมาก แต่ก่อน 20 บาท แต่ตอนนั้นมันเกือบ 50 บาท ก็ต้องประหยัด อย่างหนึ่งที่ประหยัดได้มากคือค่าอาหาร
เธอเล่าว่า อาหารที่กิน ทำครั้งเดียวกินได้ทั้งอาทิตย์เลย แล้วส่วนใหญ่ก็เป็นไข่ ไข่พะโล้ ไข่ลูกเขย บางทีก็ไข่เจียว เพราะว่าขายในเมืองอเมริการาคาไม่แพง โหลหนึ่งราว 2 เหรียญดอลลาร์ ซื้อมาสัก 2 โหลก็กินได้เป็นอาทิตย์เลย เช้าวันหนึ่งเป็นเช้าวันอาทิตย์ เธอก็ไปจ่ายตลาด เช้าวันอาทิตย์ในบอสตันมันเงียบสงบมาก ไม่มีคนเดินผ่านเท่าไร เพราะว่าคนยังไม่ค่อยตื่นกัน
ออกจากหอพัก ก็ผ่านหน้ามหาวิทยาลัย แล้วก็ข้ามถนน ไปซื้อไข่ที่ซุปเปอร์มาร์เก็ต ช่วงที่ยืนรอไฟเขียวอยู่ที่เกาะกลางถนน ปรากฏว่ามีชายหนุ่มผิวดำเอาปืนมาจี้ บอกว่าเอาเงินมา เธอก็ไม่ขัดขืน ยื่นกระเป๋าเงินให้ หมอนั่นได้กระเป๋าก็เปิดดูปรากฏว่ามีเงินแค่ 20 ดอลลาร์ ก็ไม่พอใจ ถามว่ามีสร้อยไหม มีนาฬิกาไหม มีเครื่องประดับไหม ผู้หญิงคนไทยก็บอกว่าไม่มีเลย มีเท่านี้แหละ
ชายหนุ่มก็ถามว่าทั้งเนื้อทั้งตัวมีแค่ 20 ดอลลาร์หรือ เธอตอบว่าใช่ แล้ว 20 ดอลลาร์เอาไปทำอะไร ก็จะเอาไปซื้ออาหารไง พอหรืออาหาร เธอบอกว่าเหลือเฟือ เพราะไข่โหลละแค่ 2 ดอลลาร์เท่านั้น ทั้งอาทิตย์ ฉันก็กินแต่ไข่ทั้งนั้นแหล่ะ ขณะที่คุยอยู่ตอนนั้น ปรากฏว่ายามที่หน้ามหาวิทยาลัยสังเกตเห็นความผิดปกติที่เกาะกลางถนน ก็เลยทำท่าที่จะโทรศัพท์ คงจะแจ้งตำรวจหรืออะไรสักอย่าง
ผู้หญิงไทยเห็น ก็เลยโบกมือเป็นสัญญาณว่า ไม่มีอะไร เราเป็นเพื่อนกัน ตะโกนบอกไปที่ยาม ยามก็เลยทำงานต่อ วางหูโทรศัพท์ โจรสงสัยขึ้นมาทันทีว่าเราเป็นเพื่อนกันตั้งแต่เมื่อไหร่ หญิงไทยบอกว่า เป็นเพื่อนเมื่อตะกี้นี้ไง แล้วหญิงไทยก็บอกว่ายู(คุณ)ยังโชคดี ถึงแม้จะเป็นประชากรชั้น 2 แต่ประเทศฉันทั้งประเทศเป็นทาส IMF ลำบากมาก มีเงินมาเรียนหนังสือต่อก็ถือว่าโชคดีแล้ว
คุยไปคุยมาปรากฏว่า โจรเห็นใจเลย ทั้งเห็นใจว่าเหยื่อยากจน และขณะเดียวกันก็ซาบซึ้งว่าเขานับเราเป็นเพื่อน ยามจะเรียกตำรวจแล้ว กลับห้าม สุดท้ายลงเอยด้วยการที่ชายผิวดำคืนกระเป๋าเงินให้ แล้วก็พาเธอไปที่ห้างซุปเปอร์มาร์เก็ต ซื้อของ ซื้ออาหารเครื่องปรุงให้ แถมเงินอีก 50 ดอลลาร์ ผู้หญิงไทยคนนั้นนอกจากไม่เสียเงินแล้วยังได้เงินจากโจรอีก กลายเป็นเพื่อนกันเลย
แล้วก็ไม่จบเท่านี้ ผู้หญิงไทยพอได้อาหารมา ก็ปรุงอาหาร ทำต้มยำกุ้ง แล้วก็อาหารไทย และวันต่อมาก็ไปบ้านของชายผิวดำคนนี้ เอาอาหารมาเลี้ยง ก็เลยได้รู้จักครอบครัว เมียของชายผิวดำ แล้วก็ลูกสาว ก็เลยได้คุ้นเคยกันมากขึ้น ตอนหลังลูกสาวไปเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยที่วอชิงตัน เธอบอกว่ากลับเมืองไทยแล้ว เวลาไปอเมริกา ไปวอชิงตันเธอก็จะไปแวะเยี่ยมลูกสาวเขาด้วย กลายเป็นเพื่อนกันทั้งบ้านเลย
เรื่องนี้ดูแล้วก็น่าทึ่ง แต่มันก็เป็นความจริงที่สะท้อนให้เห็นว่า โจรเขาไม่ใช่มีแต่ความชั่วร้าย เขาก็มีน้ำใจเขาก็มีคุณธรรม เพียงแต่ว่าคุณธรรม ความดี มันถูกกลบด้วยความเห็นแก่ได้ เห็นแก่ตัว แต่ถ้าเกิดว่าอีกฝ่ายหนึ่ง ผู้เป็นเหยื่อ เขาทำดีด้วย หรือแสดงความเป็นมิตร มันก็สามารถที่จะดึงเอาความดีในจิตใจของโจรหรือของผู้ร้ายออกมาได้ จนกระทั่งเกิดความเป็นมิตรเกิดความเป็นเพื่อนด้วยกัน
ลูกศิษย์ของคานธีคนหนึ่งชื่อ วิโนพา ภาเว แกพูดไว้ดี ความดีคือประตู ส่วนความชั่วร้ายคือกำแพง หมายความว่า ถ้าเราจะเข้าไปนั่งในใจของใคร มันก็ต้องเข้าทางประตูของใจเขา ก็คือความดี นั่นคือเห็นความดีของเขา แล้วก็พยายามดึงความดีของเขาออกมา หรือการพูดถึงความดีของเขา ถ้าทำอย่างนั้นก็สามารถที่จะเข้าไปนั่งในใจของเขาได้ เพราะประตูก็จะเปิด
แต่ถ้าไปเห็นแต่ความชั่วร้ายของเขา มันก็เหมือนกับว่าเอาหัวชนกำแพง ก็ไม่สามารถที่จะเข้าไปนั่งในใจเขาได้ มันก็จะแต่ความเป็นศัตรูกัน แต่ถ้าหากว่าเห็นความดี แล้วก็พยายามดึงความดีของเขาออกมา ด้วยการมีน้ำใจเป็นมิตร หรือเปิดโอกาสให้ทำความดีอย่างที่คุณป้ายื่นถุงให้เขาช่วยถือ คล้ายกับว่าขอร้องขอความช่วยเหลือ แล้วก็มั่นใจว่าจะได้รับความช่วยเหลือ
ก็เป็นการกระตุ้นความดีในใจของชายหนุ่มทั้งสองคนนั้น แทนที่จะคิดเอาทรัพย์จากเหยื่อซึ่งบอบบางออกมา ก็กลับช่วยเหลือถือของไปส่งถึงบ้าน
อันนี้ก็ตรงกับที่พระพุทธเจ้าสอน จงเอาชนะความชั่วด้วยความดี เอาชนะตระหนี่ด้วยการให้ เวลาเราเจอคนทำไม่ดีกับเรา สัญชาตญาณก็มักจะออกไปในทางที่ถ้าไม่ป้องกันตัว ก็ต่อสู้ ถ้าไม่ป้องกันตัวก็คุกคามซึ่งก็ไปกระตุ้นความใฝ่ต่ำหรือความชั่วร้ายในใจของเขาให้มีกำลังเพิ่มมากขึ้น
สุดท้ายก็สูญเสียทั้ง 2 ฝ่ายฝ่ายที่เป็นเหยื่อก็อาจจะเสียทรัพย์ เจ็บตัว หรือเสียชีวิต ฝ่ายที่เป็นมิจฉาชีพก็ทำร้ายเขา อย่างที่ตัวเองไม่ได้ตั้งใจ แม้จะมีอาวุธมีปืนก็แค่ขู่ แต่สุดท้ายก็ใช้จริง เสร็จแล้วก็ติดคุก แต่ว่าจริงๆแล้ว เหตุการณ์แบบนี้มันสามารถที่จะลงเอยด้วยการที่วินวิน win-win หรือได้ทั้งสองฝ่ายก็ได้ เพราะใช้ความดี เป็นสื่อ ใช้น้ำใจ
ที่จริงกรณีอย่างนี้เป็นอุทาหรณ์ ศัตรูกลายเป็นมิตรได้ ความดีสามารถที่จะเปลี่ยนศัตรูให้กลายเป็นมิตร เจอเคราะห์สามารถจะกลายเป็นโชคได้ เคราะห์ก็คือว่าซวย ถูกจี้ แต่ว่าก็สามารถกลายเป็นดีได้ ได้เพื่อนซึ่งบางทีก็คบกันยืดยาวเลย อย่างกรณีหญิงไทยกับชายผิวดำ
ซึ่งแท้จริงก็ชี้ให้เห็นว่าอย่าว่าแต่ผู้ร้ายหรือมิจฉาชีพหรือคนที่คิดไม่ดีกับเรา เหตุการณ์ที่ไม่ดีกับเรา เหตุการณ์ที่ไม่เป็นมิตรกับเรา มันก็สามารถกลายเป็นดีได้ เหตุการณ์ที่ไม่เป็นมิตรกับเราเช่น ความเจ็บป่วย พวกนี้เวลามันเกิดขึ้น ถ้าทำอะไรไม่ถูก ขาดสติ มันก็อาจจะเกิดความทุกข์เพิ่มขึ้นซ้ำเติมหนักขึ้นมิจฉาชีพมีความดีฉันใด เหตุร้ายมันก็มีข้อดีฉันนั้น อยู่ที่ว่าเราจะมองเห็นหรือเปล่า
เราสามารถจะเปลี่ยนศัตรูให้กลายเป็นมิตรได้ฉันใด ความทุกข์เราก็สามารถเปลี่ยนได้ให้กลายเป็นความไม่ทุกข์ อย่างที่หลวงพ่อคำเขียนพูดอยู่เสมอ เปลี่ยนทุกข์ให้กลายเป็นไม่ทุกข์ เปลี่ยนได้อย่างไร เปลี่ยนได้ด้วยการที่ไม่ผลักไส ไม่ต่อสู้ ไม่เป็นปฏิปักษ์ แต่ว่ายอมรับ แล้วก็พยายามมองเห็นข้อดีของสิ่งนั้น อย่างที่คุณยายแล้วก็ชายหนุ่มเห็นความดีของโจรที่มาจี้ตัวเอง
หลายคนเวลาเจอความสูญเสียหรือความเจ็บป่วย เขาวางใจได้ถูก วางใจได้เป็น แล้วเขาก็พบว่า มันก็นำสิ่งดีๆมาให้กับชีวิตของเขาได้เหมือนกัน อย่างบางคนพอป่วยก็ได้มีโอกาสครุ่นคิดเกี่ยวกับชีวิต ได้มาหยุดคิด แล้วก็ทำให้เปลี่ยนแปลงชีวิตของตัวได้ ได้มีโอกาสมาอ่านหนังสือธรรมะ ได้ฟังธรรม ได้พบว่าชีวิตของเขาที่ผ่านมาผิดทาง เอาแต่หาเงินหาทอง ทั้งที่ตายแล้วก็เอาอะไรไปไม่ได้
ธรรมะทำให้ได้พบกับความสงบในจิตใจ ทำให้รู้ว่าจุดหมายของชีวิตที่ดีกว่าการหาเงินหาทองมันมีอยู่ พอได้พบธรรมะ พอได้พบความสงบใจ ชีวิตเปลี่ยนเลย บางคนถึงกับบอกขอบคุณที่เป็นมะเร็ง อันนี้ก็เปลี่ยนทุกข์ให้กลายเป็นความไม่ทุกข์ เปลี่ยนเคราะห์ให้กลายเป็นโชค เพราะว่าวางใจไว้ดี คือไม่เป็นศัตรู หรือรู้สึกต่อต้านกับสิ่งนั้น
จะเรียกว่าวางใจให้เป็นมิตรกับสิ่งนั้นก็ได้ โอบรับ ยอมรับมันด้วยใจที่ไม่ผลักไส ก็เลยได้รับสิ่งดีๆจากเหตุการณ์นั้น จะเรียกว่าใจดีสู้เสือก็ได้ ใจดีสู้เสือเป็นสำนวนที่โบราณมาก แต่ทุกวันนี้ก็ยังใช้ได้ดีอยู่เสืออาจจะเป็นโจรหรืออาจจะเป็นมิจฉาชีพ
ต้องทำใจดีกับเสือ คือมีสติ แล้วก็ไม่ปล่อยให้ความชั่ว ความโกรธมาครอบงำ เหตุการณ์ร้ายๆก็เหมือนกับเสือเหมือนกัน ถ้าเราทำใจดีกับมัน เราก็อาจจะพบข้อดีซึ่งสามารถจะเปลี่ยนชีวิตของเราได้
- พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมเช้าวันที่ 12 กันยายน 2564