แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ผู้หญิงคนหนึ่งอายุ 20 กว่าๆ อยู่กับแม่สองคน ทุกคืนก่อนนอน เธอก็จะนวดแม่เป็นประจำ อยากให้แม่หลับสบาย มีคืนหนึ่งเธอกลับจากที่ทำงาน เหนื่อยมาก แต่ก็ไม่ลืมที่จะทำกิจวัตรคือการนวดแม่ แม่เห็นว่าเธอเหนื่อย ก็เลยบอกลูกว่า ลูกพักเถิดน่ะ คืนนี้ไม่ต้องนวดแม่ก็ได้ เธอก็ยืนกรานจะนวดแม่ให้ได้ แม่ถามว่าทำไม
เธอบอกว่าเธออยากให้แม่หลับสบาย แม่ก็เลยบอกว่า เอาเถิดน่ะ คืนนี้ไม่ต้องนวดก็ได้ พักก่อนพรุ่งนี้ค่อยนวดก็แล้วกัน เธอตอบว่า หนูไม่รู้ว่าพรุ่งนี้แม่จะตื่นมาให้หนูนวดหรือเปล่า พอเจอคำพูดแบบนี้เข้า แม่ก็ยอม
ที่เธอพูดประโยคนี้น่าสนใจ หนูไม่รู้ว่าพรุ่งนี้ แม่จะตื่นมาให้หนูนวดหรือเปล่า มันไม่ใช่เป็นการแช่งว่าพรุ่งนี้แม่อาจจะไม่ตื่น หรือเปล่า แต่มันเป็นการแสดงถึงความไม่ประมาท แม่อายุก็ยังไม่มาก 60 กว่า แต่ว่าหญิงสาวคนนี้ตระหนักดีว่า ความตาย มันสามารถจะเกิดขึ้นกับคนที่เรารักได้ตลอดเวลา วันนี้ยังยิ้มยังหัวเราะ ยังพูดคุยกับลูกได้ พรุ่งนี้ก็อาจจะหมดลมไปแล้วก็ได้ เธอคิดว่าอะไรๆมันก็เกิดขึ้นได้
เพราะฉะนั้น วันนี้ คืนนี้ในเมื่อแม่ยังอยู่กับเรา ก็อยากจะดูแลแม่ ปรนนิบัติแม่ให้ดีที่สุด เธอก็เลยยืนกรานที่จะนวดแม่ให้ได้ในคืนนี้ แม่ก็เข้าใจจึงให้เธอนวด
มีอีกรายหนึ่ง ลูกสาวมาเยี่ยมแม่ช่วงสงกรานต์ อยู่กับแม่ประมาณ 4-5 วัน ก่อนที่จะกลับไปทำงานที่กรุงเทพฯ มีคืนหนึ่งประมาณทุ่มสองทุ่ม แม่บอกว่าอยากกินก๋วยเตี๋ยว ลูกช่วยไปซื้อที่ตลาดให้หน่อย ลูกก็บอกแม่ว่า มันค่ำแล้ว พรุ่งนี้ก็แล้วกัน ปรากฏว่าวันรุ่งขึ้น แม่ไม่ตื่น หัวใจวาย ที่ลูกตั้งใจว่าวันรุ่งขึ้นจะไปซื้อก๋วยเตี๋ยวให้แม่ เป็นอันว่าก็เป็นหมัน เพราะไม่มีแม่ให้ดูแลแล้ว
เธอเสียใจมาก รู้สึกผิดอย่างยิ่ง ถ้าคืนนั้นเธอไปซื้อก๋วยเตี๋ยวให้แม่ หากว่าแม่จะจากไปในคืนนั้นหรือในวันรุ่งขึ้น เธอคงจะไม่รู้สึกผิดหรือว่ารู้สึกเศร้าโศกเสียใจอย่างที่เป็น ที่ลูกสาวผัดผ่อน เพราะไปคิดว่า วันรุ่งขึ้นแม่ก็ยังเป็นเหมือนวันนี้ คือยังมีลมหายใจ พูดคุย เดินเหินได้ เธอนึกไม่ถึงเลยว่าแม่จะจากไปในคืนนั้น
อันนี้เราจะเรียกว่าเป็นความพลั้งเผลอ ไม่ได้ตั้งใจ ไม่ได้คิดจะละเลยแม่ แต่เพราะคิดว่าพรุ่งนี้แม่ก็ยังมีชีวิตอยู่ อันนี้เป็นความประมาท ความประมาทต่อความตาย ประมาทอย่างนี้แหละทำให้เกิดความผิดพลาด ทำให้เกิดความเศร้าโศกเสียใจ ซึ่งบางทีอาจจะติดค้างไปโดยเฉพาะความรู้สึกผิด ติดค้างไปจนตลอดชีวิตก็ได้
ผู้หญิงคนแรก เธอระลึกถึงความตายอยู่เสมอ ว่าเป็นของที่เกิดขึ้นได้กับคนที่เรารัก อันนี้เรียกว่าเป็นความไม่ประมาทเพราะว่าได้เจริญมรณสติก็ได้ อาจเป็นสิ่งที่ไม่ได้เรียนรู้จากพระหรือว่าจากการเข้าวัด แต่อาจจะเกิดจากการที่ได้สังเกต ได้เรียนรู้จากเรื่องราวชีวิตของผู้คนจำนวนมากที่จู่ๆก็ตายแบบปุบปับ อาจจะเพราะอุบัติเหตุ หรือว่าจะเพราะโรคปัจจุบันทันด่วนก็ได้
แต่ว่าคนจำนวนไม่น้อย เรียกว่าตายใจเพราะว่าไม่ได้คิดถึงความเปลี่ยนแปลงแบบฉุกละหุก อย่าว่าแต่คนที่ตายแบบปุบปับเช่น หัวใจวาย แม้กระทั่งเจ็บป่วยแล้วก็รักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลเป็นเวลาหลายวันหรือหลายอาทิตย์ แต่ก็มีคนจำนวนไม่น้อยที่ประมาท ประมาทว่าผู้ป่วยยังอยู่ได้อีกนาน เพราะฉะนั้น สิ่งที่ควรทำก็เลยไม่ได้ทำ
พยาบาลคนหนึ่ง เธอมีป้าซึ่งเลี้ยงดูเธอมาตั้งแต่เล็ก แม่ไม่ค่อยว่าง ทำมาค้าขาย ป้าก็เลยช่วยเลี้ยงหลานจนหลานจบมัธยมแล้วเรียนต่อพยาบาลในอีกจังหวัดหนึ่ง เรียนจบเป็นพยาบาลมาก็ไม่ได้มีโอกาสมาเยี่ยมบ้านเยี่ยมป้าอีกเลย ที่จริงไม่ได้มีโอกาสเยี่ยมมาตั้งแต่เรียนพยาบาล ยิ่งเรียนจบพยาบาลได้งานทำอีกจังหวัดหนึ่ง ยิ่งไม่มีเวลามาเยี่ยม
จนกระทั่งป้าป่วยหนัก มารักษาตัวที่โรงพยาบาลที่เธอทำงาน เธอก็ดีใจว่าจะได้มีโอกาสดูแลป้า แต่วอร์ดที่รักษาตัวอยู่คนละวอร์ดกับเธอทำงาน เธอก็เลยไม่ค่อยได้มีโอกาสไปเยี่ยมป้าเท่าไร ผ่านไปเป็นอาทิตย์ทีเดียว ตั้งใจว่าเสาร์อาทิตย์หยุดงานจะแวะไปเยี่ยมป้าสักหน่อย แต่พอถึงเช้าวันศุกร์ เพื่อนชวนไปเที่ยวพัทยา เธอไม่เคยได้เที่ยวทะเล ก็เลยไปกับเพื่อน ศุกร์เสาร์อาทิตย์
ตั้งใจว่ากลับจากพัทยาจะแวะไปเยี่ยม พอวันอาทิตย์เธอกลับจากพัทยาถึงโรงพยาบาลก็เย็น ตรงเข้าไปที่วอร์ดที่ป้ารักษาอยู่ ก็ไปสวนกับเพื่อนพยาบาลที่อยู่วอร์ดนั้น ก็เลยทราบว่าป้าเสียชีวิตไปแล้วในเช้าวันอาทิตย์ เธอเข่าทรุดเลย เสียใจมากไม่มีโอกาสได้ไปเยี่ยมป้าตั้งแต่ป้ายังสุขสบายดี เธอก็ยังไม่ได้มีโอกาสไปเยี่ยม พอมารักษาที่รพ.เธอ เธอก็ไม่มีเวลา
ครั้นจะมีเวลาเธอกลับไปทำอย่างอื่นคือไปเที่ยว สุดท้ายเวลาผ่านเลยไป ช่วงที่ไปเยี่ยมป้าก็สายไปเสียแล้วก็ทำให้เกิดความรู้สึกผิด เกิดความเศร้าเสียอกเสียใจเป็นเวลานานทีเดียว เรื่องราวแบบนี้เกิดขึ้นบ่อย อย่างอีกคนหนึ่ง จะไปเยี่ยมยายตอนยายป่วยหนัก เดินทางจากกรุงเทพฯไปเยี่ยมยาย พอไปถึงปากซอยทางเข้าบ้านยายก็คือบ้านเก่าของตัว เจอเพื่อนเก่าที่ไม่ได้เจอกันมานาน เพราะว่าย้ายจากบ้านไปทำงานที่กรุงเทพฯ 10 ปี
พูดคุยสนทนา สังสรรค์กันกับเพื่อนเก่าอยู่นาน พอเข้าบ้านของตัวเองซึ่งยายป่วยอยู่ ปรากฏว่ายายเสียชีวิตไปแล้วก่อนหน้านั้นแค่ 2 ชั่วโมง อันนี้เรียกว่าเป็นความประมาท คิดว่ายังมีเวลา ยายยังไม่ตายหรอก ทั้งที่ป่วยหนักอยู่แล้ว พูดคุยสังสรรค์กับเพื่อนที่ไม่ได้เจอกันมานาน คิดว่ายายนั้นรอได้
เป็นเพราะความประมาท ประมาทในความตายของคนที่เรารัก ถ้าคนที่ไม่ประมาทเขาจะไม่รอเลย ทันทีที่มีเวลาหรือทันทีที่มีโอกาส ก็จะฉวยโอกาสนั้นทันที เพราะว่าความตายจะมาเมื่อไหร่ก็ได้ ไม่เฉพาะความตาย รวมทั้งอย่างอื่นด้วย อะไรๆก็เกิดขึ้นได้ สิ่งหนึ่งที่จะช่วยเตือนใจผู้คนก็คือว่า เมื่อคนรักหรือผู้มีพระคุณยังอยู่กับเรา ให้ถือว่าปฏิบัติกับท่านเหล่านั้นเหมือนกับว่าวันนี้เป็นวันสุดท้ายของท่าน
ถ้าเตือนใจแบบนี้อยู่เสมอว่า วันนี้เป็นวันสุดท้ายของท่าน ปฏิบัติต่อพ่อแม่ ทำราวกับว่าวันนี้เป็นวันสุดท้ายของท่าน ประเภทที่จะรอผัดวันประกันพรุ่ง เดี๋ยวค่อยไปซื้อก๋วยเตี๋ยวในวันรุ่งขึ้น เดี๋ยวค่อยไปเยี่ยมยายที่บ้านวันรุ่งขึ้น มันจะไม่มีในหัว หรือจะมี มันก็ไม่สามารถที่จะทำให้เกิดความชะล่าใจ หรือโน้มใจให้ละเลยสิ่งที่ควรทำได้
ความคิดแบบนี้เป็นสิ่งที่มีประโยชน์มาก ปฏิบัติกับพ่อแม่หรือผู้มีพระคุณเสมือนว่า วันนี้เป็นวันสุดท้ายของท่าน มีหนุ่มคนหนึ่ง มีเรื่องระหองระแหง มีปากเสียงกับแม่เป็นประจำ ตอนหลังเมื่อได้มาเรียนรู้เรื่องความตาย การรับมือกับความตาย แกก็เปลี่ยนความคิดหรือได้ความคิดใหม่ว่า ต่อไปนี้ฉันจะทำกับแม่เหมือนกับว่าวันนี้เป็นวันสุดท้ายของแม่
มันเป็นสิ่งที่ช่วยเตือนใจเขาได้เยอะ เพราะว่าเขาเป็นคนที่ใจร้อนวู่วาม ชอบเอาแต่ใจตัว แต่พอนึกถึงประโยคนี้หรือความตั้งใจที่ว่านี้ ก็ทำให้ยับยั้งชั่งใจ ไม่เอาความเห็นหรือความต้องการของตัวเองเป็นใหญ่ และจะใส่ใจความรู้สึกของแม่ ทำให้เขานุ่มนวลอ่อนโยนกับแม่มากขึ้น ปรากฏว่าช่วยทำให้ความสัมพันธ์ของเขากับแม่ดีขึ้น
แม่ยังไม่ตาย แม่ยังอยู่จนถึงทุกวันนี้ แต่ว่าความสัมพันธ์ดีขึ้น แล้วก็เชื่อแน่ว่า ถ้าเกิดแม่เจ็บป่วยขึ้นมาเพราะโควิด ไม่มีโอกาสที่จะดูแลอยู่ข้างเตียง หรือไม่มีโอกาสแม้กระทั่งกล่าวคำอำลา บอกรักบอกลาเป็นครั้งสุดท้ายก็ไม่เสียใจ เพราะว่าก่อนหน้านั้น อะไรที่ควรทำก็ได้ทำไปเรียบร้อยแล้ว
ที่จริง ไม่ใช่เฉพาะการทำหรือการปฏิบัติกับท่านเหล่านั้นราวกับว่า เป็นวันสุดท้ายของท่าน ดียิ่งกว่านั้นก็คือว่า เตือนตัวเองอยู่เสมอว่า เราควรมีชีวิต หรือใช้ชีวิตในวันนี้เหมือนกับว่า วันนี้เป็นวันสุดท้ายของเรา วันนี้อาจจะไม่ใช่วันสุดท้ายของท่าน แต่อาจจะเป็นวันสุดท้ายของเราก็ได้ เพราะฉะนั้น ก็ควรใช้ชีวิตให้อยู่ในความไม่ประมาท
คนเรา ถ้าหากว่าเตือนตัวเองอยู่เสมอว่า วันนี้อาจจะเป็นวันสุดท้ายของเรา เพราะฉะนั้น อะไรที่ควรทำแต่ยังไม่ได้ทำ ต้องรีบทำเสีย อะไรที่ยังทำไม่มากพอ ก็ต้องทำให้มากขึ้น มันจะช่วยทำให้เราจัดลำดับความสำคัญได้ว่า อะไรควรทำก่อนอะไรควรทำหลัง
บ่อยครั้งสิ่งที่เราทำก่อน มันไม่ใช่เป็นสิ่งสำคัญเลย แต่สิ่งที่สำคัญ เรากลับผลัดไว้ไปทำที่หลัง เพราะคิดว่ายังมีเวลาอยู่ เช่นอะไรบ้าง เช่น การดูแลพ่อแม่ การเยี่ยมพ่อแม่ คิดแต่ว่ายังมีเวลาอยู่ สิ่งที่ต้องรีบทำตอนนี้คือทำงานให้เสร็จ เพราะเส้นตายคือวันพรุ่งนี้ คนเราใช้ชีวิตเพื่อการบรรลุเส้นตายจนกระทั่งลืมสิ่งที่อาจจะสำคัญกว่า เพราะว่ามันยังไม่ได้เร่งรีบ ดูเหมือนว่า มันยังผัดผ่อนได้ อันนี้เป็นเหตุที่ทำให้คนละเลยคนสำคัญในชีวิตไป ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่ หรือลูก
แต่ถ้าเราตระหนักว่า วันนี้เราจะตั้งใจใช้ชีวิตเหมือนกับว่า วันนี้เป็นวันสุดท้ายของเรา หลายสิ่งหลายอย่างที่สำคัญ เราจะเอามาทำก่อน หรือว่าจะไม่ผัดผ่อนง่ายๆ ไม่ใช่เรื่องของความสัมพันธ์กับคนรอบตัว คนรักอย่างเดียว แต่รวมถึงอย่างอื่นด้วย เช่น การทำความดี หรือว่าการฝึกจิต ปฏิบัติธรรม แม้ว่าจะยังสุขสบายดีอยู่ ยังไม่มีปัญหา ยังไม่มีความทุกข์อะไร
การปฏิบัติธรรมหรือการฝึกจิตเป็นสิ่งที่ไม่ควรผัดผ่อน เพราะว่ามันสำคัญมาก เพราะอะไร เพราะว่าอะไรๆอาจจะเกิดขึ้นกับเราเมื่อไหร่ก็ได้ โดยเฉพาะความเจ็บความป่วย ความแก่มันเกิดขึ้นตลอดเวลาแต่คนอาจจะยังไม่รู้สึก มันจะค่อยๆปรับตัวได้ไม่มากก็น้อย แต่ความเจ็บป่วยนี่สิ ใครจะไปรู้ว่ามันจะเกิดขึ้นกับเราเมื่อไหร่ อาจจะเกิดขึ้นกับเราในวัยหนุ่มหรือเมื่ออายุถึงวัยกลางคนก็ได้ หรือเมื่อแก่ชราก็ได้
คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยได้เตรียมตัวเตรียมใจ อาจจะเตรียมตัวเรื่องการรับมือกับความเจ็บป่วยเช่น ทำประกัน แต่ไม่ค่อยได้เตรียมใจเท่าไร ความเจ็บป่วยอาจจะเกิดจากอุบัติเหตุจนพิกลพิการ หรือว่าเจ็บป่วยที่เฉียบพลันอย่างโควิด หรือโรคต่างๆอีกมากมาย
รวมทั้งความเจ็บป่วยที่อาจจะเกิดจากความเสื่อมของร่างกาย เช่น มะเร็ง ไตวาย เบาหวาน หัวใจวาย สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นแน่กับคนส่วนใหญ่ประมาณ 90 เปอร์เซ็นต์ ในทุกวันนี้จะต้องเจอกับโรคเหล่านี้ไม่ว่าโรคใดก็โรคหนึ่งเป็นโรคที่รักษาให้หายได้ยาก แต่ไม่ค่อยได้เตรียมตัวหรือไม่ค่อยเตรียมใจ
อย่างที่เราสวดมนต์ทุกวัน เราทั้งหลายเป็นผู้ที่ถูกความทุกข์หยั่งเอาแล้ว มีความทุกข์เป็นเบื้องหน้าแล้ว ความทุกข์ที่รอเราอยู่เบื้องหน้าพวกเราตอนนี้คือ ความเจ็บความป่วย ไม่รวมความพลัดพรากสูญเสีย แล้วถามตัวเองว่าเราเตรียมตัวบ้างหรือเปล่าในการรับมือกับความเจ็บป่วยชนิดที่ว่าต้องนอนเตียง ใช้เครื่องช่วยหายใจ ต้องใช้อุปกรณ์นานาชนิด รวมทั้งต้องไปรักษาตัวที่ห้อง ICU
หลายคนไม่ตระหนัก เพราะไม่คิดว่าวันนั้นจะเกิดขึ้นกับตัวเอง อันนี้เป็นความประมาทอย่างยิ่ง หรือคิดแต่ไม่เอาจริงเอาใจเอาจังกับมันเท่าไร แต่ถ้าลองไปโรงพยาบาลโดยเฉพาะโรงพยาบาลของรัฐ เราจะเห็นคนป่วยนอนกันเป็นแถวในวอร์ด บางคนก็ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ บางคนต้องมีท่อมีสายระโยงระยางมากมาย
ลองนึกว่าถ้าเราเป็นอย่างนั้น เราจะอยู่อย่างไร เราจะทำใจได้ไหม แล้วเราก็จะเห็นว่าคนจำนวนไม่น้อย ป่วยด้วยความทุรนทุราย ไม่ใช่เวทนาอย่างเดียว แต่มีความทุกข์ทางใจด้วย เพราะว่าไม่ได้เตรียมใจไว้เลย เฉพาะทุกขเวทนา ก็เป็นเรื่องที่หนักหนาพอดู ในขณะที่เราอยู่สบายตอนนี้ เราเคยคิดไหมว่า เราจะสามารถรับมือความเจ็บความปวดในยามที่ต้องนอนติดเตียงได้
การไปโรงพยาบาลเห็นคนป่วย มันอาจจะช่วยเตือนสติเราได้ว่า เรามีหน้าที่หรือภารกิจอย่างหนึ่งก็คือ การฝึกใจเอาไว้ เพื่อรับมือกับความเจ็บป่วยและเจ็บปวดซึ่งรอเราอยู่ข้างหน้า อย่าไปหวังพึ่งยา อย่าไปหวังพึ่งหมอ ว่ามันจะช่วยบรรเทาความเจ็บป่วยของเราได้ บางทียาก็เอาไม่อยู่ แต่ถึงตอนนั้นแหละ สติ สมาธิ รวมทั้งปัญญาด้วย สามารถที่จะเอาอยู่ได้ รับมือกับความเจ็บป่วยได้
ในยามที่เรายังไม่เจ็บไม่ป่วยควรจะฝึกเอาไว้ แม้จะไม่ใช่ปัญหาเฉพาะหน้า แต่มันจะเกิดขึ้นกับเราแน่ ในขณะที่เราไม่เจ็บไม่ป่วยก็คือโอกาสที่เราจะได้ฝึกจิตฝึกใจ เพื่อรับมือกับความเจ็บป่วยและความเจ็บปวด ทำอย่างไรถึงจะอยู่กับเวทนาได้ด้วยใจที่ไม่ทุกข์ ทำอย่างไรถึงจะเห็นความปวดแต่ไม่เป็นผู้ปวด
อย่างที่หลวงพ่อคำเขียนท่านเตือนว่าหรือบอกว่า ความเจ็บปวดมันไม่ลงโทษเราหรอก แต่ความเป็นผู้ปวดนั้นแหละที่เป็นผู้ลงโทษเรา ความเจ็บปวดมีไว้ให้เห็น ไม่ใช่เข้าไปเป็น ตอนนี้เราฝึกเอาไว้ ฝึกใจในการรับมือกับความเจ็บปวด อย่าว่าแต่ความเจ็บปวดจนต้องนอนเจ็บปวดอยู่ที่โรงพยาบาลเลย แค่ปวดเมื่อยเพราะนั่งนาน หลายคนก็ยังไม่สามารถที่จะรับมือกับมันได้ พอปวดขา ใจก็ปวดด้วย เป็นผู้ปวดไปด้วย
ปวดท้องก็ไม่ได้ท้องปวดอย่างเดียว ความเป็นผู้ปวดท้องก็เกิดขึ้นด้วย แล้วนับประสาอะไรกับเป็นมะเร็ง มีมะเร็งเกิดขึ้นก็ไม่ได้เห็นว่ามีมะเร็ง แต่สำคัญมั่นหมายว่าฉันเป็นมะเร็ง พอคิดเท่านี้ใจก็เสียแล้ว ทั้งที่ไม่ได้เป็นมะเร็งหรอกเพียงแค่มีมะเร็งอยู่ในตัวเท่านั้นแหละ แต่ใจคิดไปไม่ได้อย่างนั้น มองไม่เห็นอย่างนั้น เพราะว่าไม่ได้ฝึกสติมา
ถ้าเราฝึกจิตโดยเฉพาะกฝึกสติไว้ ถึงเวลาที่เกิดป่วยล้มหมอนนอนเสื่อขึ้นมา ไม่ว่าจะรักษาหายหรือไม่ มันก็ช่วยทำให้เราสามารถที่จะทรงใจเป็นปกติ แม้ว่ากายจะทุกข์มาก อันนี้ไม่นับถึงความเจ็บปวดในวาระสุดท้าย นอกจากความเจ็บป่วยหรือความพลัดพรากคนรักแล้ว ความตายก็เป็นสิ่งที่ต้องเกิดขึ้นกับเราอย่างแน่นอน
ก่อนที่จะตาย จะมีความทุกข์ทรมาน สำหรับคนที่ไม่ได้ฝึกมา มันไม่ได้มีแต่ทุกขเวทนาอย่างเดียว มีความทุกข์ทรมานด้วย เคยคิดที่จะเตรียมตัวเตรียมใจ โดยเฉพาะเตรียมใจเพื่อรับมือกับความเจ็บป่วยและเจ็บปวดในวาระสุดท้ายหรือเปล่า
มันไม่ใช่แค่ทุกขเวทนาทางกายอย่างเดียว มันมีความทุกข์ทรมานทางใจ เพราะว่า ความตระหนักว่าจะต้องตายจากโลกนี้ไป ต้องสูญเสียคนรัก ต้องพลัดพรากจากทุกสิ่งทุกอย่างสำหรับคนที่ไม่ได้ฝึกมา มันน่ากลัวมาก แม้ว่ายาระงับปวดได้ แต่ความทุกข์ใจไม่มียาอะไรที่จะระงับได้นอกจากสติ สมาธิ แล้วก็ปัญญา
คนส่วนใหญ่ ทั้งที่รู้ว่าในที่สุดก็ต้องตาย แต่ก็ไม่เคยคิดจริงจังที่จะเตรียมใจ เพราะว่าความประมาทก็ดี หรือเพราะว่าไม่ได้ใส่ใจที่จะนึกถึงรายละเอียดของมันว่า จะต้องเจออะไรบ้างก่อนที่จะสิ้นลม ถ้านึกเอาไว้ มันก็จะเห็นความจำเป็นของการฝึกใจ การเตรียมใจไม่ใช่แค่การเตรียมตัวอย่างเดียว เตรียมงานศพ หรือทำประกันยังไม่พอ ต้องเตรียมใจด้วย เพื่อว่าจะสามารถเผชิญความตายด้วยใจที่สงบ
ทุกวันนี้ต้องอาศัยความไม่ประมาทเป็นเครื่องเตือนใจอย่างเดียวเลย โดยเฉพาะมรณสติ ไม่เช่นนั้นก็จะหลุดลอยไปกับอะไรต่ออะไรเยอะแยะ ความสนุกสนาน ความเพลิดเพลิน งานการ อันนี้คือสิ่งที่ทำให้ผู้คนจำนวนมาก สุดท้ายก็ตายด้วยความทุกข์ทรมาน
- พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมเช้าวันที่ 11 กันยายน 2564