แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
มีครอบครัวหนึ่ง มีพ่อแม่และลูก 4 คน ก็ยังเด็กๆทั้งนั้น คนโตก็แค่ 11-12 ขวบ ครอบครัวนี้ฐานะไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แต่ว่ามีความรักใคร่กลมเกลียวกัน วันหนึ่งขณะที่กินอาหารเย็น แม่ก็ตักข้าวใส่จานให้กับลูกๆ พี่สาวก็ยื่นจานไปรับข้าว แต่ว่าเร็วไปหน่อย มันก็เลยไปกระทบกับจานคนน้องที่เดินไปรับเหมือนกัน
จานของพี่สาวก็เลยเกิดรอยบิ่นที่ขอบจาน มันก็รอยบิ่นเล็กๆน้อยๆ พี่สาวก็ไม่สบายใจ เพราะว่าบ้านนี้มีเงินไม่มาก จานแต่ละใบก็ต้องรักษาให้ดี พอจานบิ่นมันก็ต้องใช้ ใช้กันทั้งบ้าน จะทิ้งก็ไม่ได้ พี่สาวก็เสียใจเพราะว่าตัวเองสับเพร่าด้วย ของที่มีน้อยอยู่แล้ว มันก็ควรจะรักษาให้ดี
วันต่อมา ตอนกินข้าว ปรากฏว่าน้องสาวคนสุดท้องได้จานบิ่นใบนั้น เธอก็เสียใจ แล้วก็บ่นว่าโชคร้ายจังเลยที่ได้จานบิ่น ตัวพี่สาวซึ่งเป็นคนที่ทำให้จานบิ่น ก็รู้สึกเสียใจ ตอนหลัง พอคนในบ้าน เด็กๆ พอได้จานบิ่นเมื่อไรก็จะบ่นว่าโชคไม่ดีเลยไม่อยากได้เลยจานใบนี้ อยากได้จานใบสวยๆ บรรยากาศก็เลยไม่ค่อยดีเท่าไหร่
แล้วมีวันหนึ่ง พอมีเด็กคนไหนได้จานบิ่น ยังไม่ทันจะบ่นเลยว่าโชคไม่ดี ผู้เป็นพ่อก็ลุกขึ้นมาเลย แล้วก็มาหอมแก้มลูกสาวคนที่ได้จานบิ่น แล้วก็บอกว่าต่อไปนี้ ถ้าคนไหนได้จานบิ่น คนที่เหลือในบ้านก็ต้องมาหอมแก้มคนนั้น นับจากวันนั้นมา คนไหนที่ได้จานบิ่น โดยเฉพาะเด็กๆจะไม่บ่นแล้ว เพราะว่ารู้ว่าเดี๋ยวก็จะมีพี่น้องเข้ามาหอมแก้ม
บรรยากาศก็เลยดีขึ้น ตอนหลังบ้านนี้เขาก็มีฐานะดีขึ้นเรื่อยๆ เพราะว่าพ่อแม่ขยันขันแข็งทำมาหากิน ก็เลยมีจานหลายชุด ส่วนจานที่บิ่น เวลาผ่านไปมันก็ต้องโละทิ้งตามสภาพ แต่ว่าทุกวันนี้แม้ว่าเขาจะมีจานดีๆใช้ หลายคนก็ยังนึกถึงจานบิ่น
แล้วมีวันหนึ่ง ลูกๆก็โตกันแล้วเป็นวัยรุ่นแล้ว บ้านก็มีฐานะดี ก็เลยพาครอบครัวไปกินอาหารที่ภัตตาคารตอนที่เตรียมจะเสิร์ฟอาหาร ลูกคนหนึ่งก็สังเกตนะว่า จานตรงหน้าของพ่อมีรอยบิ่นเล็กน้อย แต่แทนที่จะไปบอกให้พนักงานหรือบริกรเปลี่ยนจาน ต่างพาชวนกันไปหอมแก้มไปกอดพ่อ อย่างที่พ่อเคยทำกับลูก แล้วก็มีความสุขมากเลย แม่ก็มีความสุขด้วยเหมือนกัน ก็กลายเป็นว่าจานบิ่นที่มันจะเป็นเครื่องหมายของความโชคไม่ดีหรือว่าเป็นสิ่งที่ไม่พึงปรารถนา กลับกลายเป็นสิ่งที่ทำให้คนมีความสุข
ย้อนไปตอนหนึ่งในเรื่องนี้ที่ว่า ตอนที่ยังเด็กๆ เวลาลูกคนไหนมีความทุกข์ เครียด กลับมาบ้าน พี่น้องก็จะชวนกันไปหอมแก้ม เหมือนกับว่ากำลังได้จานบิ่น เพราะฉะนั้น ใครมีความทุกข์กลับมาบ้าน ก็มั่นใจได้ว่า เดี๋ยวจะรับการได้รับความรักความอบอุ่น ความทุกข์ก็หายไปเลย
ผู้หญิงคนที่เล่า บอกว่าจานบิ่นเหมือนกับว่าเป็นสัญลักษณ์แห่งความบกพร่อง แต่ว่าบ้านนี้กลับทำให้มันกลายเป็นสัญลักษณ์แห่งความสุข ใครได้จานบิ่นแล้ววันนั้นจะได้รับการโอบกอดด้วยการหอมแก้ม ความบกพร่องมันไม่ใช่เป็นความบกพร่องเฉพาะคราว บางครั้งคนเราเจอความบกพร่องที่มันยืดเยื้อยาวนาน หลายคนอาจจะไม่ได้เจอจานบิ่นนั้น แต่ว่าก็เจอความทุกข์ หรือความบกพร่องที่หนีไม่พ้น ทั้งๆที่พยายามที่จะหลีกเลี่ยง พยายามเต็มที่แล้ว แต่ว่าก็ต้องเจอแล้วก็ไม่ใช่ชั่วครั้งชั่วคราว แต่ว่ามันยืดเยื้อยาวนาน แต่ว่ามันก็สามารถจะเป็นสื่อแห่งความสุขได้เหมือนกัน
อ่านเรื่องนี้แล้ว ทำให้นึกถึงเรื่องราวของคนๆหนึ่ง ซึ่งหลายคนก็รู้จักดี เป็นนักแต่งเพลงชื่อดัง ชื่อ บอย โกสิยพงษ์ บอยเล่าว่าตอนเด็กๆ เขาหัวทึบมาก ผิดกับพี่น้อง พี่น้องนี่เรียนดีสอบได้คะแนนดี 80 - 90 เปอร์เซ็นต์ ส่วนตัวเขาสอบทีไรไม่บ๊วยก็รองบ๊วย แต่ก็ประคองตัวมาได้ จนกระทั่งเรียนมัธยม แต่พอถึงมัธยม 3 วันหนึ่ง อธิการหรือผู้อำนวยการก็เรียกมา บอกว่าเธอได้เกรดแค่ 1.04 ไปเรียนต่อ ม 4 ไม่ได้ ต้องออก
เพราะว่าเขาหัวทึบมากเลย แต่ว่าพอแม่รู้เข้า แทนที่แม่จะดุด่า ก็บอกว่าโรงเรียนนี้น่าจะไม่เหมาะกับบอยครูอาจจะสอนไม่เก่ง เราไปหาโรงเรียนใหม่ที่เหมาะกับบอยดีกว่า แล้วก็ได้โรงเรียนใหม่ก็เหมือนเดิมเขาบอกต้องออกจากโรงเรียนหลายครั้งเลย แต่แม่ก็ไม่เคยว่า กลับให้กำลังใจบอกว่าดีแล้วที่บอยเรียนไม่เก่งเหมือนพี่น้อง รู้ไหมตอนที่แม่เป็นเด็ก แม่ก็เรียนไม่เก่ง สอบก็ได้ที่โหล่ การบ้านทำไม่ได้เลย
ดีแล้วที่บอยเรียนไม่เก่งเหมือนพี่น้อง เพราะว่าแม่จะได้มีบอยเป็นเพื่อนในบ้านสักคน ที่เป็นเหมือนแม่ บอยฟังแล้วรู้สึกมีกำลังใจขึ้นมาเลย เพราะว่าเขาก็พยายามเรียนหนังสือให้ได้ ตั้งใจเรียน ฉีกหนังสือออกมาท่องทีละหน้า ทีละบท แต่มันก็ท่องไม่ได้ รู้สึกแย่ที่ไม่เหมือนพี่น้อง แต่พอแม่พูด มันก็ทำให้เขารู้สึกว่าโง่เหมือนแม่ก็ดีเหมือนกัน มีแม่เป็นเพื่อน แล้วสุดท้ายก็กลายเป็นมาเอาดีทางด้านการแต่งเพลง
เรื่องนี้ก็เหมือนกับเรื่องรอยจานบิ่น ลูกได้จานบิ่นแทนที่จะเสียใจ กลับได้รับรอยยิ้ม แล้วก็ได้รับการโอบกอด การหอมแก้มของคนในบ้าน ซึ่งทำให้เด็กเห็นว่า ข้อบกพร่องมันก็มีข้อดีเหมือนกัน
ข้อบกพร่องก็มีหลายอย่าง บางคนก็เรียนไม่เก่ง บางคนก็อาจจะมีรูปร่างไม่สมส่วน หรือว่าพิการ แต่ถ้าหากว่าได้สิ่งแวดล้อมหรือครอบครัวที่ดี ก็ไม่รู้สึกด้อย หัวทึบก็ดีเหมือนกัน เพราะว่าได้เป็นเพื่อนแม่ อย่างที่บอกว่า โง่เหมือนแม่ก็ดีเหมือนกัน
มันทำให้คนเกิดกำลังใจ ไม่ดูถูกตัวเอง ไม่รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ แล้วก็ทำให้มีพลังที่จะพัฒนาความสามารถด้านอื่นให้มันเจริญ หรือว่าทำให้สามารถก้าวเดินไปข้างหน้าด้วยความมั่นใจ อันนี้เป็นเรื่องที่ ถ้าเรารู้จักนำไปสอนลูกสอนหลาน หรือสอนตัวเองได้ มันก็จะช่วยทำให้มีกำลังใจ ไม่จมอยู่ในความทุกข์ หรือว่าสมเพชเวทนาตัวเอง
- พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมก่อนฉันเช้า วันที่ 9 กันยายน 2564