แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
มีเด็กเวียดนามคนหนึ่ง ตอนอายุ 11 ปีก็ต้องอพยพ ออกจากบ้านเกิดเมืองนอน เพราะว่าเวียตนามเกิดศึกสงคราม ตอนหลังก็ต้องไปตั้งรกรากที่ประเทศเนเธอร์แลนด์ ซึ่งเป็นประเทศที่อยู่คนละทวีปกับเวียดนาม ภาษา วัฒนธรรมก็แตกต่างกันมาก เด็กคนนี้เขารู้สึกเหมือนกับว่าอยู่ตัวคนเดียว ท่ามกลางผู้คนที่แปลกหน้า ทั้งๆที่พอจะพูดภาษาของเขาได้แล้ว แต่ก็ยังรู้สึกว่าคนรอบตัวไม่ค่อยเป็นมิตรเท่าไร
แล้วก็คิดไปถึงว่า เด็กๆร่วมโรงเรียนหรือร่วมชั้นก็ไม่เป็นมิตรกับเขา คิดที่จะข่มเขา หรือเอาเปรียบเขา เขาก็เลยพยายามป้องกันตัวด้วยการแสดงตัวก้าวร้าว รวมไปถึงมีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกับเพื่อนร่วมชั้นอยู่บ่อยๆ การแสดงอำนาจของเขาก็เพื่อให้คนเหล่านี้กลัวเขา จะได้ไม่มาข่มขี่เขา เขาก็ทำอย่างนี้เป็นอาจิณทะเลาะเบาะแว้งกับเพื่อน
จนกระทั่งวันหนึ่งมีเพื่อนของเขาอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน ก็มาพูดกับเขาว่าเราอย่าทะเลาะกันเลยน่ะ เราเป็นเพื่อนกันน่ะ คำพูดอย่างนี้กระทบใจเขาอย่างแรงเหมือนกับว่าสายฟ้าฟาด โดยเฉพาะคำว่าเราเป็นเพื่อนกันนะ เพราะว่าเขาไม่เคยมีความคิดอย่างนี้มาก่อนเลย ไม่เคยแม้กระทั่งจินตนาการว่าเด็กๆที่อยู่รอบตัวเขาเป็นเพื่อนกันกับเขา มันทำให้เขาลดความก้าวร้าวลง แล้วก็หันมาเป็นมิตรกับเพื่อนๆมากขึ้น
มีเหตุการณ์หนึ่งที่เรียกว่าเปลี่ยนแปลงชีวิตของเขาได้ หรือว่าทำให้เขาได้คิด ครั้งหนึ่งก็คือ เขาไม่ชอบครูคนหนึ่ง แล้วเขาก็คิดว่าครูคนนี้จ้องจะใช้อำนาจกับเขา วันหนึ่งเขาก็เลยไปบอกครูว่า ครู ผมไม่กลัวครูหรอก เขาพูดอย่างนี้ ครูก็เลยพูดขึ้นมาว่า แล้วทำไมหนูต้องกลัวครูด้วยล่ะ เราเป็นเพื่อนกันนะ
อันนี้ก็เป็นอีกครั้งหนึ่งที่เขารู้สึกเลยว่าไม่เคยนึกมาก่อน แล้วก็มีผลต่อจิตใจเขาอ่อนโยนลง แล้วก็มองผู้คนด้วยความรู้สึกที่ดีมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนร่วมชั้น ร่วมโรงเรียน หรือว่าผู้ใหญ่ ที่เขาว่ามันเป็นสิ่งที่กระทบใจเขามาก เพราะลึกๆเขาต้องการเพื่อน เขาอยากมีเพื่อน
แล้วเขาก็รู้สึกว่า คนรอบข้างเขาไม่ค่อยเป็นมิตรเท่าไร แต่นั่นมันเป็นความคิดของเขาเอง พอมีเพื่อนมาบอกว่า เราเป็นเพื่อนกันนะ หรือว่าพอครูบอกว่าเราเป็นเพื่อนกันนะ มันก็ทำให้เขาลดความระแวงลง ภาษาสมัยใหม่ใช้คำว่าลดการ์ดลงแล้ว มันก็ทำให้ชีวิตของเขามีความสุขมากขึ้น
ที่จริงไม่เฉพาะเด็กอย่างเด็กคนนี้ ผู้ใหญ่ก็เหมือนกัน ผู้ใหญ่จำนวนมากเดี๋ยวนี้ก็รู้สึกว่า ตัวเองอยู่ตัวคนเดียว โดยเฉพาะสังคมสมัยนี้มันประเภทว่า ตัวใครตัวมัน ทุกคนต่างก็ดูเหมือนว่าชิงดีชิงเด่นกัน ไม่รู้สึกเป็นมิตรกับใครเลย แม้กระทั่งเพื่อนบ้านที่อยู่ติดรั้วเดียวกันหรือว่าอยู่รั้วเดียวกัน อันนี้มันทำให้ผู้คนโหยหาเพื่อน แล้วพอรู้ว่ามีใครสักคนเป็นเพื่อนเขา หรือมี 2-3 คนเป็นเพื่อนเขา จะรู้สึกว่าอบอุ่นใจมากขึ้น
แล้วมันช่วยทำให้ความรู้สึกก้าวร้าวหวาดระแวงลดน้อยลง อันนี้ขนาดคนที่ไม่ได้เป็นอะไร มีชีวิตตามปกติยิ่งถ้าคนที่ประสบความสูญเสีย ประสบความพลัดพราก มีความเศร้า มีความสุข มีความเสียใจ คนเหล่านี้ยิ่งต้องการเพื่อนเข้าไปใหญ่
และหากว่าเรารู้จักคนที่เขากำลังประสบทุกข์หรือมีเพื่อนประสบทุกข์ บางทีเราไม่ต้องทำอะไรมาก แค่นั่งอยู่เงียบๆกับเขาหรือว่ารับรู้ความทุกข์ของเขา อาจจะรับฟังความทุกข์ที่เขาระบายให้เรา เพียงแค่รับฟังด้วยความตั้งใจ รับฟังอย่างใส่ใจและรับรู้ถึงความรู้สึกของเขาไปด้วย แค่นี้ก็ช่วยเขาได้เยอะแล้ว ไม่ต้องไปแนะนำสั่งสอนเขาเลยก็ได้
บางทีการแนะนำสั่งสอนอาจจะไม่เป็นประโยชน์ด้วยซ้ำ เพราะว่าเขาอาจจะรู้สึกว่า เธอไม่ได้เป็นเหมือนฉัน ถ้าเธอลองเป็นเหมือนฉันสิ หรือแกลองมาเป็นแบบข้าสิ จะไม่แนะนำอย่างนี้หรอก อันนี้ไม่ใช่เฉพาะคนที่ทุกข์ยากเศร้าโศกเพราะความสูญเสีย
คนป่วยก็เหมือนกัน เวลาป่วยบางทีเขารู้สึกเหมือนอยู่ตัวคนเดียว เพราะว่าคนอื่นไม่ได้เจ็บปวดไปกับเขา คนอื่นก็ยังหัวเราะสนุกสนานรื่นเริง ไปเที่ยวไหนก็โพสต์ข้อความทาง Facebook ว่าไปเที่ยวนั่นเที่ยวนี่ แต่ฉันสิต้องมานั่งหรือนอนอยู่กับบ้าน หรือว่าอยู่ในโรงพยาบาลติดเตียง ก็รู้สึกเหงา รู้สึกตัวคนเดียว อันนี้ยิ่งทำให้ความทุกข์มันหนักหนายิ่งขึ้น เพราะว่าไม่ใช่ทุกข์กายอย่างเดียว ทุกข์ใจด้วย
คนเหล่านี้เขาต้องการเพื่อน เพราะฉะนั้นแค่มีเพื่อนมาเยี่ยม มาไถ่ถามทุกข์สุข แล้วก็ไม่ต้องพูดอะไรมาก แค่อยู่นิ่งๆรับรู้ถึงความทุกข์ของเขา หรือว่ารับฟังสิ่งที่เขาอยากจะพูด อยากจะเล่า อยากจะระบายซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นความทุกข์ แค่รับฟังอย่างเดียวก็ช่วยเขาได้เยอะ อย่างน้อยก็ทำให้เขารู้สึกว่ามีเพื่อนที่พยายามเข้าใจเขา รับรู้ความทุกข์ของเขา
อันนี้ก็เป็นสิ่งที่มีความหมายมากกับคนที่กำลังมีความทุกข์ ไม่ต้องแนะนำสั่งสอนอะไรเลยก็ได้ ไม่ต้องบอกว่าสู้ๆนะ เข้มแข็งเข้าไว้นะ อดทนเข้าไว้นะ คำพูดแบบนี้บางทีก็ทำให้คนไข้รู้สึกไม่ดี เพราะว่าเหมือนกำลังจะบอกเขาว่าเธออ่อนแอ เธอยังทำไม่พอ เธอยังอดทนไม่พอ ฟังแล้วรู้สึกแย่ แต่ว่าเพียงแค่อยู่นิ่งๆ แล้วทำให้เขารู้สึกว่ามีเพื่อน หรือเพียงแค่แสดงความห่วงใยเขาว่าฉันเป็นห่วงเธอนะ พวกนี้ก็ช่วยได้เยอะ
เพราะฉะนั้น ถ้าเราเข้าใจผู้คนส่วนใหญ่ที่อยู่รอบข้างเรา แล้วเราตระหนักว่า บางทีสิ่งที่เขาต้องการอย่างหนึ่งก็คือเพื่อน แล้วเราก็ปฏิบัติตัวได้ถูกต้อง มันก็ช่วยทำให้เขารู้สึกดีขึ้นอย่างเด็กที่ไปบอกเด็กเวียดนามว่าอย่าทะเลาะกันเลยน่ะ เราเป็นเพื่อนกันนะ เด็กคนนี้ก็น่าสนใจ เพราะว่าถ้าไม่เข้าใจเด็กเวียตนาม ก็จะโกรธแค้น แต่พอเข้าใจว่าที่เขาทำอย่างนี้ ที่เขาก้าวร้าวอย่างนี้ ไม่ใช่เพราะว่าเขาเป็นเด็กเลว
แต่เป็นเพราะว่าเขาเหงา เพราะเขาขาดเพื่อน เขาต้องการเพื่อน แค่ไปยืนยันว่า เราเป็นเพื่อนกัน มันก็ช่วยเขาได้เยอะ เพราะฉะนั้นเวลาเราเจอเด็กก้าวร้าว หรือว่าโวยวาย ชอบทะเลาะเบาะแว้ง ถ้าเรามองทะลุไปถึงความรู้สึกของเขา ว่าจริงๆเขาไม่มีอะไร เขาแค่ต้องการเพื่อน หรือเขารู้สึกระแวงว่าคนอื่น ไม่เป็นมิตรกับเขา และพอบอกย้ำ ให้เขารู้ว่าเราเป็นเพื่อนกันนะ อันนี้ก็ช่วยได้เยอะเลย
- พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมก่อนฉันเช้าวันที่ 8 กันยายน 2564