แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
มีฝรั่งชาวอังกฤษคนหนึ่งอายุ 21 ปี พบตัวเองว่าเป็นโรคร้าย รักษาไม่หาย โรคนี้ทำให้เกิดความผิดปกติเกี่ยวกับระบบประสาท ทำให้ไม่สามารถควบคุมกล้ามเนื้อส่วนต่างๆของร่างกายได้ แล้วก็ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงลงไปเรื่อยๆจนเป็นอัมพาตทั้งตัว เดินไม่ได้ พูดก็ไม่ได้ ยกไม้ยกมือก็ไม่ได้ ทำได้แค่กระพริบตากับกระดิกนิ้ว สุดท้ายก็ต้องตาย เพราะว่าปอดก็ไม่ทำงาน
ตอนที่เขาเริ่มมีอาการ มันก็แย่แล้ว เพราะโรคลามเร็วมาก ต้องไปรักษาตัวที่โรงพยาบาล ที่จริงไม่ได้เรียกว่ารักษาเป็นแค่การเยียวยาตามอาการ ปรากฏว่าทุกข์ทรมานมาก เพราะว่าโรคนี้อยู่ได้ไม่เกิน 2-3 ปี โรคนี้ทุกวันนี้ก็ยังรักษาไม่ได้ ตอนที่เขาอยู่โรงพยาบาลเขาทุกข์ทรมานมาก ทุกข์ทั้งกายทุกข์ทั้งใจ มีชีวิตเหมือนรอวันตาย หมดอาลัยตายอยากในชีวิต
จนกระทั่งวันหนึ่งเขาพบว่า เด็กคนหนึ่งซึ่งป่วย นอนอยู่บนเตียงใกล้ๆเขา อายุก็ไม่มากตาย เพราะลิวคีเมีย มันทำให้เขาได้คิดเลยว่า ถึงแม้เขาจะแย่อย่างไร เขาก็ยังโชคดีกว่าเด็กคนนี้ที่มีชีวิตอยู่ได้ไม่กี่ปีก็ตายแล้ว ส่วนเขายังอยู่ได้จนกระทั่งเข้ามหาวิทยาลัย พอคิดได้อย่างนี้ ก็เกิดมีกำลังใจฮึดสู้กับความเจ็บปวดหรือความเจ็บป่วย
พอสำนึกได้ว่านี่เรายังโชคดีกว่าเด็ก ก็ทำให้เขาสามารถที่จะเยียวยาอาการต่างๆลงได้ อาการก็ยังคงลุกลาม แต่ว่าลุกลามแบบช้าๆ พอเขากลับมาฮึดสู้กับชะตากรรม เขาก็กลับมาสนใจในเรื่องการเรียน ฝรั่งคนนี้ชื่อ สตีเฟน ฮอว์คิง ใครที่สนใจวิทยาศาสตร์หรือเรื่องจักรวาล จะรู้จักคนนี้ดี เพราะเขาเป็นนักวิทยาศาสตร์ระดับโลก
นอกจากเขารอดพ้นจากความตายเพราะว่ามีกำลังใจฮึดสู้แล้ว เขายังสามารถที่จะสร้างสรรค์ผลงานทางวิชาการ โดยเฉพาะทางฟิสิกส์อย่างที่คนธรรมดาทำไม่ได้ มีคนเปรียบเขากับไอน์สไตน์ กับนิวตัน ไอน์สไตน์กับนิวตันถือว่าเป็นอัจฉริยะทางด้านฟิสิกส์ ทฤษฎีของเขาที่อธิบายเรื่องการเกิดบิกแบง(หลุมดำ) หรือการกําเนิดจักรวาล จนเป็นที่ยอมรับ
หนังสือของเขาขายดีมาก ทั้งที่อ่านยาก แปลเป็นไทย อาตมาอ่านบางทีก็ไม่ค่อยรู้เรื่อง ประวัติย่อของกาลเวลา รวมทั่วโลกน่าจะขายได้ถึงร้อยล้านเล่มไปแล้ว จากคนซึ่งหมดอาลัยตายอยากกับชีวิต กลายเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงระดับโลก แล้วก็สามารถที่จะอยู่ได้จนถึงอายุ 76 ปี เพิ่งตายไปเมื่อสองสามปีที่แล้ว
เป็นชีวิตที่อัศจรรย์เหมือนกัน ทั้งๆที่พิการขนาดนี้ แล้วก็ไม่น่าจะมีชีวิตได้ยืนยาว แต่เขาก็สามารถประคองตัวเองจนได้อายุ 76 ปี แล้วก็ไม่ได้มีอายุยืนยาวเปล่าๆแต่สร้างสรรค์ผลงานที่มีคุณค่ามาก จุดเปลี่ยนชีวิตของเขาคือตรงนี้ เขาบอกว่า เวลาที่ผมสงสารตัวเอง หรือว่าน้อยเนื้อต่ำใจกับตัวเอง ผมจะนึกถึงเด็กคนนี้ (เด็กที่ตายเพราะลิวคีเมียข้างเตียงเขา) เพราะว่าพอนึกถึงเด็กคนนี้ทีไร ก็จะรู้สึกว่าฉันยังโชคดีที่ยังไม่ได้ป่วยหนักจนตายเหมือนเด็กคนนี้
เป็นมุมมองที่เปลี่ยนชีวิตเขา แล้วก็ทำให้สร้างสรรค์ผลงานได้มากมาย ทั้งๆที่ร่างกายหมดสภาพไปแล้ว แต่ว่าสมองเขายังดีอยู่ เนื่องจากเขายังกระพริบตาได้ และขยับนิ้วได้ ก็ใช้สิ่งที่มีนี้อย่างเต็มที่เลย ไม่มีความรู้สึกท้อแท้ น้อยเนื้อต่ำใจ ใช้สมองอย่างเต็มที่ จนกระทั่งสามารถที่จะก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในวงการฟิสิกส์ได้
อันนี้จะเห็นได้ว่าคนเราแม้จะทุกข์อย่างไร หรือแม้จะลำบากอย่างไร แต่ถ้าใจรู้จักมอง มันก็สามารถที่จะทำให้ไม่เพียงแต่คลายความทุกข์ แต่ว่ายังสามารถที่จะใช้ชีวิตให้เกิดคุณค่าขึ้นมา คนที่จะทุกข์แบบเขานี้หายาก แต่ว่าขนาดเขายังมองว่า ฉันยังโชคดีกว่าคนอื่นที่ทุกข์มากกว่าฉัน
คนป่วยเหล่านี้มีอะไรที่น่าศึกษาน่าเรียนรู้ อาตมาเคยพาจิตอาสาไปเยี่ยมผู้ป่วยหนัก รวมทั้งผู้ป่วยระยะท้ายที่โรงพยาบาล มีผู้ป่วยคนหนึ่ง เด็กอายุ 14 เป็นมะเร็งสมอง ผมร่วงหมด เพราะว่าจะผ่านการฉายแสง ผ่านการฉีดคีโม จิตอาสาที่ไปเยี่ยมประหลาดใจว่า ผู้ป่วยคนนี้ซึ่งอายุก็ไม่มาก หน้าตาแจ่มใส ว่างๆเธอก็วาดรูป ยังชวนจิตอาสาวาดรูปกับเธอเลย
จิตอาสาก็แปลกใจว่า เธอเป็นมะเร็งสมอง จะตายเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ แต่ไม่ได้มีความเศร้าโศกเสียใจอะไร หรือมีความกลัดกลุ้ม เธอก็โอภาปราศรัยดีเด็กคนนี้ คุยไปคุยมาก็บอกว่าหนูโชคดีที่ไม่ได้เป็นมะเร็งมดลูกเหมือนญาติ ญาติคนนั้นเป็นแล้วก็ปวดมากเลย หนูโชคดีเป็นแค่มะเร็งสมอง
จิตอาสาคนนี้ฟังแล้วอึ้งเลย มะเร็งสมองเป็นมะเร็งที่รักษาได้ยาก แต่เธอก็ยังมองว่าเธอยังโชคดีกว่าคนที่เป็นมะเร็งมดลูก ส่วนคนที่เป็นมะเร็งมดลูก ถ้ามองให้ดี ก็มีสิทธิ์ที่จะมองว่าตัวเองโชคดี โชคดีกว่าคนอย่างสตีเฟน ฮอว์คิง เพราะสตีเฟน ฮอว์คิง พูดไม่ได้ ขยับเขยื้อนก็ไม่ได้ เหมือนถูกขังอยู่ในร่างกายที่เป็นอัมพาต ส่วนสตีเฟน ฮอว์คิง รู้สึกว่าตัวเองโชคดีกว่าเด็กคนนั้นที่ตายเพราะลิวคีเมียหรือมะเร็งเม็ดเลือด
อาตมาเคยไปเจอผู้หญิงคนหนึ่ง เธอดูแลแม่ป่วยหนักอยู่ในระยะท้าย เธอเล่าว่าเธอเพิ่งท้องได้ไม่กี่เดือนแล้วก็แท้งลูก เป็นท้องแรกของเธอด้วย แต่เธอก็ไม่ได้เศร้าโศกเสียใจมากเท่าไร เธอกลับมองว่า ลูกในท้องคงสงสารแม่ คือสงสารตัวเธอ ที่ต้องมารับภาระทั้งอุ้มท้อง แล้วก็ดูแลแม่ที่ป่วยหนัก
ลูกในท้องคงจะเป็นห่วงเธอ ก็เลยเลือกที่จะไป ทำให้เธอไม่มีกังวลกับลูกในท้อง จะได้มีเวลาทุ่มเทดูแลแม่ซึ่งกำลังจะจากไป เธอบอกขอบคุณลูกที่ช่วยแม่ ทำให้แม่มีเวลาดูแลบุพการีจนระยะสุดท้าย เธอคิดได้อย่างไร แต่ว่านี่ก็เป็นมุมมองที่ทำให้เธอเมื่อเจอเหตุร้ายแบบนี้ ไม่ซ้ำเติมตัวเอง และรู้สึกขอบคุณที่ลูกช่วยแม่ไว้ ลูกที่อยู่ในท้องที่ช่วยเธอ
คนเราแม้ว่าจะเจอทุกข์แค่ไหน เจอเหตุร้ายอย่างไร ถ้าวางใจถูกวางใจเป็น ใจก็ไม่ทุกข์มาก หรือเผลอๆอาจจะเกิดกำลังใจที่จะต่อสู้กับอุปสรรค เอาชนะชะตากรรมก็ได้ อย่างสตีเฟน ฮอว์คิง ร่างกายไม่ได้ดีขึ้น แถมยังแย่ลงไปเรื่อยๆ แต่ใจเขาเปลี่ยนไป ก็ทำให้เขา จากนักศึกษาที่ไม่เอาใจใส่การเรียน เอาแต่เที่ยว ตอนหลังกลายเป็นนักศึกษาที่เอาจริงเอาจังกับการเรียน การศึกษา ค้นคว้ามาก
มาเปลี่ยนไปตอนที่ป่วยแล้ว แล้วก็ได้สติจากเด็กที่ตายเพราะลิวคีเมียข้างเตียง ในยามนี้ผู้คนมีความทุกข์มาก แต่ถ้ามองให้ดี เราก็อาจจะโชคดีกว่าผู้คนอีกมากมายก็ได้ โชคดีที่ยังไม่ได้แย่หรือทุกข์ไปกว่านี้
คนที่ทุกข์ยากในเวลานี้มากมาย ในแง่หนึ่งก็เป็นครูสอนเรา หรือเป็นครูเตือนใจเราว่า เรายังโชคดีที่เราไม่ได้ทุกข์ยากลำบากอย่างเขา หรือยังโชคดีที่ไม่ได้แย่ไปกว่านี้ ถ้าคิดได้แบบนี้ก็มีกำลังใจ แล้วก็ถือว่าได้เรียนรู้จากคนที่ทุกข์ยากมากมาย เขาช่วยทำให้เรามีกำลังใจที่จะฟันฝ่าอุปสรรคก้าวข้ามความทุกข์ ซึ่งก็ต้องเสื่อมสลายหายไปในที่สุด
- พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมก่อนฉันเช้าวันที่ 5 กันยายน 2564