แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
เมื่อหลายสิบก่อน มีนักคณิตศาสตร์ชาวอเมริกันคนหนึ่งที่ฉลาดปราดเปรื่องมากในขั้นอัจฉริยะชื่อ จอห์น แนช อายุ 21 ปี คิดค้นทฤษฎีซึ่งมีความสำคัญมากในปัจจุบันและก็ใช้อยู่ทุกวันนี้ในวงการธุรกิจหรือว่าองค์การเศรษฐกิจ คือ ทฤษฎีเกม เมื่อ 50 ปีก่อน ต่อมาได้รางวัลโนเบลจากผลงานที่ว่า
แต่หลังจากที่คิดค้นทฤษฎีที่คิดค้นได้ไม่นาน เขาป่วยเป็นโรคจิตเภท เขาใช้เวลารักษาตัวอยู่นานทีเดียว เรื่องราวของเขาทำเป็นหนังใหญ่ ทำได้ดีมาก ในหนังเรื่องนี้ก็มีการถ่ายทอดความเจ็บป่วยของเขาว่า เขามีภาพหลอน เป็นบุคคล 3 คน คนหนึ่งเป็นเพื่อนที่เคยอยู่หอพักด้วยกัน อีกคนหนึ่งเป็นลูกของเพื่อน ทั้งสองคนนี้ตายไปแล้ว
คนที่ 3 เป็นสายลับของรัฐบาล ที่คอยมาชักชวนให้เขามาร่วมทำจารกรรม โดยใช้ความรู้ทางคณิตศาสตร์สุดยอดของเขา แล้วภาพหลอนทั้ง 3 ภาพนี้ก็มีอิทธิพลต่อชีวิตของเขามาก บงการให้เขาทำอะไรหลายอย่างซึ่งคนรอบข้างก็แปลกใจ เป็นเวลาหลายปีกว่าที่เขาจะพบว่า สามคนที่ว่านี้ไม่มี มันเป็นภาพหลอนอันนี้จะเรียกว่าเป็นจิตวิปลาส อย่างที่เคยพูดไว้เมื่อหลายวัน
ทั้งที่เขารู้ แต่เขาก็ยังไม่สามารถที่จะตัดออกไปจากใจได้ มิหนำซ้ำก็เข้ามารบกวนรังควานจิตใจเขาอยู่เรื่อย ตอนหลังเขาก็พยายามขับไล่เวลาเห็นภาพหลอน แต่ไม่ไป ไม่ไปก็ต้องผลักไส ก็ยังไม่ไป แถมดื้อด้านหนักข้อ โดยเฉพาะตัวภาพหลอนที่เป็นสายลับ ตอนหลังถึงกับลงไม้ลงมือกัน พันตูปลุกปั้นกับมัน
ซึ่งก็ทำให้สถานการณ์แย่ลง เพราะว่าคนรอบข้างเห็นเขาเตะต่อยชกลมอยู่คนเดียว หรือไม่ก็ปลุกปล้ำกับใครอยู่คนเดียว อย่างนี้ก็เป็นคนบ้าในสายตาคนรอบข้าง เขาเองสู้รบตบมือกับภาพหลอนพวกนี้ไม่ไหวสุดท้ายก็ยอมเข้าโรงพยาบาลจิตเวชรับการบำบัด ใช้เวลาอยู่หลายปีทีเดียวกว่าที่จะมีการอาการดีขึ้น แต่ที่ดีขึ้นส่วนใหญ่ก็เพราะใช้ยา
พอออกมาจากโรงพยาบาล เขาก็พยายามงดกินยา แล้วก็ปรับใจในการรับมือกับภาพเหล่านั้น ทำอย่างไร ก็คือ ไม่ไปสนใจภาพหลอนนั้น ไม่ว่าจะเป็นภาพเพื่อนก็ดี ลูกของเพื่อนก็ดี มาวิงวอนชวนเขาคุยอย่างไร เขาก็พยายามไม่ไปคุยด้วย พยายามไม่สนใจ แต่บางทีก็อดใจไม่ได้พอถูกวิงวอนมากๆ จะเมินเฉย หันหลังให้ได้อย่างไร ก็หันไปคุยด้วย ก็ยาวเลยกว่าจะรู้ตัวว่าทำอะไรที่แปลกประหลาดหรือว่าพิกลในสายตาของคนรอบข้าง
ก็ต้องถอยกลับมาใหม่ แต่ที่ลำบากกว่านั้นคือ ภาพหลอนของสายลับ ที่พยายามมายั่วยุเขา เขาไม่สนใจอย่างไร ก็มาพูดจา ตะโกน ท้าทาย ด่าว่า หมิ่นประมาท ยั่วยุให้เขาโกรธ พอเขาโกรธก็ต้องมีการต่อล้อต่อเถียง คราวนี้ก็ยิ่งเสียท่าภาพหลอนสายลับนั้นเลย ก็เกิดโรมรันพันตู ยาวเลย
ตอนหลังเขาก็พยายามไม่สนใจ เมินเฉย ทำทีเป็นไม่ได้ยิน ปรากฏว่าได้ผล ภาพหลอนเหล่านั้นก็ทำอะไรเขาน้อยลง แต่ก่อนพัวพันกันเป็นชั่วโมง เป็นวัน แต่ตอนหลังก็ใช้เวลาไม่นาน มันก็หายไป มารบกวน มาวิงวอน มายั่วยุ ไม่กี่นาที มันก็หายไป ที่เคยมาถี่ ก็ค่อยๆห่าง หลายปีผ่านไป ก็ยังมา มาหลอกหลอน มาเรียกร้องความสนใจ มายั่วยุ แต่เขาก็เมินเฉย ไม่สนใจ
ผ่านไปเป็นสิบปีก็ยังมาอีก แต่ว่ามาน้อยลง แต่ก็ทำอะไรเขาไม่ได้ เพราะว่าเขาเรียนรู้ที่จะรับมือกับภาพหลอนเหล่านั้น ไม่ใช่ด้วยการผลักไส แต่ด้วยการไม่สนใจ ก็เลยอยู่กับภาพหลอนนั้นด้วยสันติ
อันนี้เป็นแง่คิดที่ดีสำหรับพวกเรา ถึงแม้ว่าเราจะไม่ได้มีอาการจิตเภทจิตหลอนอย่างเขา แต่มันก็มีสิ่งที่คอยมาหลอกหลอนรบกวนจิตใจเราอยู่เรื่อยๆ สิ่งนั้นก็คือ ความคิดและอารมณ์ ความคิดที่ฝังใจเกี่ยวกับเรื่องราวในอดีต ไม่ว่าจะเป็นความสูญเสียพลัดพราก การถูกรบกวน ถูกรังแก ถูกเอาเปรียบ หรือว่าความรู้สึกผิดที่เคยกระทำกับผู้มีพระคุณ ความคิดเหล่านี้ก็จะคอยมารบกวนผู้คน หรือคนทั่วไปอยู่เนืองๆ
แล้วมันไม่ใช่แค่ความคิดเกี่ยวกับเรื่องราวในอดีต บางทีมีความคิดที่เกี่ยวกับอนาคตที่สร้างภาพในทางลบทางร้าย รวมทั้งความระแวงที่มาคอยรบกวนจิตใจ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการงาน ความสัมพันธ์เรื่องลูกเรื่องหลาน เรื่องสุขภาพ เรื่องเศรษฐกิจ เหตุการณ์บ้านเมือง รวมทั้งเรื่องโควิด ที่คอยมาหลอกหลอนที่ทำให้อยู่ไม่เป็นสุข
เพราะว่ามันไม่ใช่แค่ความคิดอย่างเดียว มันมีอารมณ์พ่วงติดมาด้วย เช่น ความโกรธ ความเศร้า ความรู้สึกผิด ความวิตกกังวล แม้กระทั่งความหงุดหงิดรำคาญใจ สิ่งเหล่านี้ จะว่าไปก็ไม่ต่างอะไรจากภาพหลอนของแนชที่มันเกิดจากการปรุงแต่งของจิต แม้จะเป็นเรื่องราวในอดีต แต่มันก็มีการปรุงแต่งเกินเลยจากความเป็นจริง หรือคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง ก็ไม่น้อย มันก็เป็นการปรุงแต่งแบบหนึ่ง
และที่สำคัญก็คือว่า มันก็เหมือนกับภาพหลอน ตรงที่ว่า ถ้าไปสนใจ ก็เท่ากับตกอยู่ในอำนาจของมัน แต่พอไม่หันไปสนใจมัน มันก็ค่อยๆหมดพิษสงลง หรือว่าค่อยๆจางคลาย ลองสังเกตดู ความคิดใดก็ตามที่พาเราเคลิ้ม หรือว่าฉุดเราจมไปอยู่ในความทุกข์ ทันทีที่เรารู้ทันมัน เห็นมัน มันก็ค่อยๆจางคลายไป
แต่ถ้าเราไปพัวพันกับมัน ไม่ว่าจะเป็นการไหลตามมัน หรือว่าผลักไส กดข่มมัน มันยิ่งมีอำนาจเหนือเรา กลายเป็นว่าสิ่งที่เราทำหรือไปผลักไสมัน กลับทำให้มันมีอำนาจมากขึ้น จอนห์ แนช เขาเรียนรู้จากประสบการณ์ว่า ภาพหลอนพวกนี้ มันมีอิทธิพลเหนือจิตใจเขาได้ ก็เพราะเขาไปสนใจมัน ไม่ว่าจะสนใจในทางบวกหรือทางลบ
อย่างเช่น เพื่อนมาชวนคุย เอาเรื่องราวเก่าๆที่เคยเอามาปรึกษามาชวนสนทนาด้วย เขาก็เพลิน เคลิ้ม หันไปคุยด้วย อย่างนี้ก็พลาดท่าแล้ว ทำให้ภาพหลอนที่เป็นเพื่อน หรือภาพหลอนลูกของเพื่อนครอบงำจิตตอนหลังเขารู้ เขาไม่สนใจคุยด้วยแล้ว มันมีความอยากจะคุย ก็รู้ทันความอยากนั้น หักห้ามใจ ไม่ไปคุยเล่น
ภาพหลอนก็วิงวอน ทำไมไม่คุยกับฉัน เด็กที่เป็นลูกเพื่อนก็วิงวอน พอใจอ่อนเข้า หันไปคุยด้วย หันไปเล่นด้วย เสร็จเลย ตอนหลังเขาทำใจเข้มแข็ง ไม่สนใจ เมินเฉย พวกเราคงเคยเป็น เวลามีความคิดที่ชวนให้เพลิดเพลิน ความคิดหรือความทรงจำในอดีต เกี่ยวกับเหตุการณ์ในอดีตที่มันหอมหวาน เคยสนุกสังสรรค์กับเพื่อน หรือกับคนรัก แฟนเก่า มันเพลินเหลือ
แต่พอจะเมินเฉยกับความคิดนั้น มันก็ได้ชั่วคราวสักพักก็มีความคิดว่า ทำไมใจแข็งเหลือเกิน ทำไมไม่ไปคิดถึงเรื่องนั้นต่อ มันจะมีเสียงในหัว ต่อว่าเราว่าเราใจแข็งเหลือเกิน หันไปคิด ไหลไปอยู่กับเรื่องราวนั้นไม่ได้หรือ มันจะมีเสียงวิงวอน ถ้าเราไม่ใจแข็งเราก็พลาด เราก็เสียท่า เราก็หลงเข้าไปในความคิดนั้น
แต่อันนั้นยังไม่ยากเท่ากับเสียงที่ยั่วยุหรือว่าท่าทีที่ชวนให้เราอยากจะผลักไสมัน สิ่งที่จอนห์ แนช ลำบากใจมากที่สุดคือการรับมือกับสายลับ เพราะมันคอยมายั่วยุ คอยมาตะโกนด่า ที่ทำให้เขาอยากจะไปสู้รบตบมือ ไปพันตู ไปผลักไสมัน แต่ทันทีที่อยากจะไปผลักไสขับไล่ ก็เสียท่าสายลับนั้นเลย
ฉันใดก็ฉันนั้น อารมณ์ที่มีอิทธิพลต่อจิตใจ และรับมือยากที่สุดคือ ความโกรธ ความเกลียด หรือว่าความรู้สึกผิด ความอิจฉา ความหนักอกหนักใจพวกนี้ เพราะว่าเป็นอารมณ์ที่สร้างความทุกข์ให้กับจิตใจ และมันก็ทำให้เราอยากจะไปขับไล่ไสส่งมัน แต่ถ้าเราทำอย่างนั้นมันก็จะกลับมามีอำนาจเหนือเรา สิ่งเดียวที่จะช่วยเราได้ดีที่สุด ก็คือ การหันหลังให้ ไม่สนใจมัน
หรือว่าถ้าพูดอย่างหลวงพ่อเทียน หลวงพ่อคำเขียนคือ ให้รู้ซื่อๆเท่านั้นแหล่ะ คือให้รู้เฉยๆ ไม่ต้องไปสู้รบตบมืออะไรกับมัน ไม่คล้อยตามนี้ก็ยากแล้ว แต่การที่ไม่ไปสู้รบตบมือพันตูขับไสมัน อันนี้ยากกว่า
แต่สิ่งที่ช่วยเราได้คือสติ สติช่วยทำให้เราสามารถที่่จะเมินเฉยกับมันได้ แล้วพอเมินเฉยมัน มันก็ยอมแพ้ การที่รู้เฉยๆหรือการมีสติเห็นมัน คือไม้ตายเลย ไม้ตายของจิตในการที่จะรับมือกับภาพหลอน รวมไปถึงเสียงแว่ว รวมทั้งความคิดและความรู้สึกที่คอยมารบกวนจิตใจของเรา
ในการรับมือกับสิ่งเหล่านี้ มันก็มีวิธีการหลายอย่าง เช่น ขันติ ความอดทน สมาธิ ในความหมายที่ว่า จิตแน่วแน่อยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เช่น ลมหายใจ จะได้ไม่ไปเผลอคิดถึงมัน ไม่เผลอปรุงให้เกิดความคิดและอารมณ์เหล่านั้น หรือการแผ่เมตตาที่ช่วยลด บรรเทาความโกรธ ความเกลียดลงได้ แต่ว่าที่ดีที่สุดก็คือ สติ หรือว่าการที่เห็น หรือรู้ทัน รู้ทันแบบรู้ซื่อๆ รู้เฉยๆ อันนี้เป็นไม้ตายเลย
ในการฝึกวิทยายุทธ หรือว่า ต่อยมวย ใช้กระบี่กระบองใดก็ตาม เราต้องเรียนรู้หลายกลยุทธ์ หลายท่วงท่า แต่ก็ต้องมีไม้ตายด้วย แต่ละคนก็มีไม้ตายของตัวเอง ที่เรียกว่า ถ้าเจอกับปรปักษ์แล้ว ไม้ตายนี้ให้ผลชงักเลย
ที่จริงเราไม่ควรจะมองอารมณ์พวกนี้ว่าเป็นปรปักษ์ ไม่ว่าอารมณ์บวกหรืออารมณ์ลบ โดยเฉพาะอารมณ์ลบหรือความคิดลบ มันก็ไม่ใช่ปรปักษ์ มันก็เป็นแค่สภาวะที่ผ่านเข้ามาในใจ แต่ว่าเพื่อไม่ให้มันมารบกวนหรือทำให้เราไม่ตกอยู่ในความหลง ก็ต้องมีไม้ตายในการรับมือ สติถือว่าเป็นไม้ตายที่จะรับมือกับความคิดและอารมณ์เหล่านั้น ที่จะช่วยทำให้เราอยู่เป็นปกติสุขมากขึ้น
ไม่ใช่ว่าห้ามมัน ไม่ให้มันเกิด ยากสำหรับปุถุชน มันก็เกิดขึ้นมาได้ แต่ว่ามันเกิดขึ้นมาแล้ว มันมามีอิทธิพลบงการจิตใจเราไม่ได้ เพราะว่าเรารู้วิธี ก็เหมือนกับแนช เขาก็ยังต้องเจอกับการมาของภาพหลอนอยู่ แม้ว่าเวลาผ่านไปหลายปี มันก็ยังมา มันไม่หายไปเลยหรือหายไปเด็ดขาด แต่ว่ามันทำอะไรเขาไม่ได้แล้ว เพราะว่าเขามีไม้ตาย
คือว่า ไม่สนใจ เมินเฉย ไม่ว่าจะมาวิงวอน ขอความเห็นใจให้ร่วมสนทนาด้วย หรือว่าจะมาตะโกน ยั่วยุ ด่าทอ ก็ไม่สนใจ มันก็ยังมาอยู่ แต่ว่ามาน้อยลง ห่างขึ้น แล้วก็มีพิษสงน้อยลง อารมณ์ที่มาคอยรบกวนจิตใจเราก็เหมือนกัน ไม่ใช่ว่าจะต้องทำให้มันหายไปเลย อันนั้นก็เป็นเรื่องที่เฉพาะพระอรหันต์หรือพระอริยเจ้า ท่านจะทำได้ แต่ปุถุชนอย่างเรา เมื่อมันเกิด ก็ต้องยอมรับว่ามันสามารถจะเกิดขึ้นได้ แต่มันเกิดขึ้นแล้ว แปลว่าเราจะต้องทุกข์อยู่เสมอไป ถ้าหากว่าเรามีสติ รู้ทัน หรือว่ารู้ซื่อๆ มันก็จะค่อยๆเลือนหายไป
อันนี้ก็เหมือนกับเรื่องที่เคยเล่า คนที่มีเสียงอยู่ในหัว เป็นเสียงตะโกนด่าทอพ่อแม่ เป็นเสียงจ้วงจาบครูบาอาจารย์ เป็นเสียงจ้วงจาบพระรัตนตรัย หลายคนเป็นทุกข์มากเลย เพราะว่ามันคอยรบกวน และสิ่งที่คนส่วนใหญ่ทำ หรือเกือบทั้งหมดทำ คือ พยายามกดข่มมัน พยายามที่จะผลักไสมัน โดยหารู้ไม่ว่า ทำอย่างนั้น มันจึงมีพลัง มันจึงมารบกวนบ่อยขึ้น
แต่ก่อนอาจจะรบกวนวันละ 2-3 เวลา ตอนหลังรบกวนวันละ 10-20 ครั้งเลยทีเดียว เพราะว่าไปพยายามผลักไสมัน ซึ่งก็เข้าทางมัน
แต่พอเริ่มที่จะไม่สนใจมัน มันจะมายั่วยุอย่างไร ฉันก็ไม่สนใจ ก็รู้ว่ามันมาอยู่หรือว่ามีเสียงนี้อยู่ในหัว แต่ว่าเมินเฉย เรียกว่าเป็นอุเบกขา แล้วพอทำแบบนี้เข้า เสียงในหัวแบบนี้ก็จะค่อยๆมาห่างลงๆ เสียงเบาลงๆ อาจจะยังอยู่ ไม่ได้หายไปไหน แต่ว่ามารบกวนน้อยลง แล้วก็มีอิทธิพลต่อจิตใจน้อยมาก อันนี้เรียกว่าอยู่กับมันอย่างสันติ ด้วยการแค่รู้ซื่อๆ รู้เฉยๆ ไม่มีวิธีใดที่ดีกว่านี้จึงเรียกว่าเป็นไม้ตาย
ไม่ใช่แค่เสียงในหัวที่จ้วงจาบพระรัตนตรัย ที่เบากว่านั้นก็เช่นกัน อย่างที่บอก อารมณ์โกรธ เกลียด กลัว โลภ อิจฉาน้อยเนื้อต่ำใจก็เหมือนกัน มีคนเคยถามหลวงปู่ดูลย์ อตุโลว่า ทำอย่างไรจึงจะตัดความโกรธให้ขาดได้ เป็นคำถามของหลายคนโดยเฉพาะคนที่ปฏิบัติธรรม หลวงปู่ดูลย์ ตอบว่าไม่มีอะไรตัดให้ขาดได้หรอก มีแต่รู้ทันมัน เมื่อรู้ทัน มันก็จะดับไปเอง
การรู้ทัน จึงเป็นวิธีการที่ทรงพลังมาก รู้ทัน รวมทั้งรู้ทาง แล้วก็รู้เฉยๆ รู้ซื่อๆ มันไม่ต้องทำอะไรมากไปกว่าแค่รู้ ซึ่งง่ายกว่า ใช้พลังน้อยกว่าการไปทำนู่นทำนี่ ด้วยรวมทั้งการไปกดข่ม ผลักไส ต่อสู้ หรือไปห้ามจิตไม่ให้คิด อันนั้นมันยากกว่า เหนื่อยกว่า แต่ก็อย่างที่เคยพูด คนเราชอบทำสิ่งที่ยากมากกว่าสิ่งที่ง่าย สิ่งที่ง่าย ไม่ค่อยทำ ชอบไปทำสิ่งที่ยาก นอกจากมันจะเหนื่อยกว่า แล้วยังไม่ค่อยได้ผลด้วย หรือไม่ได้ผลเอาเลย
แต่พอเราลองทำสิ่งที่ง่าย คือ แค่ดูมัน เห็นมัน ไม่ไปข้องแวะ สุงสิงกับมัน มันก็หมดพิษสง แต่จะว่ายากก็ยาก เพราะว่าเราไม่ค่อยได้ทำสิ่งแบบนี้ เราไปทำสิ่งที่ยากจนคุ้น มันก็เลยดูเหมือนง่าย แต่ที่จริงมันไม่ง่ายเพราะมันไม่ได้ผล สิ่งที่ง่ายมันเป็นความรู้สึกว่ามันยากสำหรับเรา เพราะมันไม่ใช่สิ่งที่เราคุ้นเคยเพราะฉะนั้น
พออารมณ์พวกนี้มันเกิดขึ้นมาทีไร ก็อดไม่ได้ ถ้าไม่ไหลตาม ก็ผลักไสมัน เพราะเป็นความเคยชิน ไหลตามนั้นยังไม่เท่าไหร่เพราะมันเพลิน แต่ผลักไส มันเหนื่อย แล้วถ้ายิ่งกดข่ม มันก็ยิ่งเหนื่อยเข้าไปใหญ่ แล้วก็ได้ผลชั่วคราว
แต่ว่าที่ทำอย่างนั้นเพราะอะไร เพราะว่ามันเป็นความเคยชิน เพราะว่าเป็นความเผลอด้วย ทำไปโดยไม่รู้ตัว ทำไปโดยอัตโนมัติ สองอย่างนี้มันไปด้วยกัน อัตโนมัติ เคยชิน กับความเผลอ ความหลง
แต่พอเราตั้งสติได้ มันก็จะไม่ทำอย่างนั้นต่อไป หรือว่าจะไม่ทำอย่างนั้นบ่อยๆ มันจะมีความยับยั้งชั่งใจมันอยากจะใจอ่อนคล้อยตาม ก็หักห้ามใจ มันอยากจะไปเข้าไปต่อสู้ผลักไส ก็เตือนใจ ยับยั้งชั่งใจไม่ให้ทำอย่างนั้น แต่จะทำอย่างนั้นได้ ต้องมีการฝึกสติบ่อยๆ
ที่เรามาฝึกสติกันในรูปแบบ ก็เพื่อที่จะได้สติมีกำลัง ถ้าเราใช้สติในการที่จะรู้ทันความคิดในขณะที่เดินจงกรม ให้มีสติรู้ทันกับอารมณ์ต่างๆในขณะที่สร้างจังหวะ พอมันมีอารมณ์เหล่านี้เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน สติที่ฝึกมา ก็จะเข้ามารับมือกับความคิดและอารมณ์เหล่านี้ได้ง่ายได้เร็วขึ้น มันไม่ใช่แค่มามีสติ รู้ซื่อๆในระหว่างที่ปฏิบัติ
แต่ว่า ยังมีสติ รู้ซื่อๆ เมื่อเกิดการกระทบขึ้นในชีวิตประจำวัน หรือเมื่อมีภาพหลอน หรือว่าความคิดและอารมณ์เหล่านี้เกิดขึ้น ซึ่งก็เป็นตัวหลอกหลอนเราเหมือนกัน
เพราะฉะนั้น เราต้องฝึก ฝึกให้เราถนัดในการใช้ไม้ตายนี้ ในการรับมือกับความคิดและอารมณ์ที่มาหลอกหลอนจิตหลอนใจเรา แล้วเราก็จะพบว่าเราสามารถที่จะอยู่กับความคิดและอารมณ์เหล่านี้ได้อย่างสงบและสันติ
- พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมเช้าวันที่ 4 กันยายน 2564