แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ช่วงนี้กำลังมีมหกรรมกีฬาที่ประเทศญี่ปุ่น ไม่ใช่โอลิมปิกแต่เป็นพาราโอลิมปิก คือ มหกรรมกีฬาโอลิมปิกสำหรับคนพิการ ซึ่งกำลังจะสิ้นสุดอาทิตย์หน้า คนที่มาร่วมแข่งขันก็ล้วนแต่เป็นคนพิการไม่ด้านใดก็ด้านหนึ่ง การที่คนเหล่านี้มาแข่งขันแสดงทักษะความสามารถทางกายก็ถือว่าเป็นเรื่องที่น่าทึ่ง เพราะหลายคนมีความสามารถยิ่งกว่าคนปกติธรรมดาด้วยซ้ำ
การที่เขาสามารถที่เอาชนะขีดจำกัดทางด้านร่างกายได้ มันสะท้อนให้เห็นถึงความเข้มแข็งของจิตใจ ที่จริงอย่าว่าแต่มีความสามารถมากกว่าคนปกติธรรมดา เพียงแค่เขาใส่ใจแล้วก็มีทักษะทางด้านกีฬา ทั้งๆที่พิการ แขนขาดบ้างขาขาดบ้าง ในทำนองนี้ อันนี้ก็เป็นเรื่องน่าทึ่งแล้ว
ธรรมดาคนเราเวลาสูญเสียเช่นอวัยวะแขนขา หรืออวัยวะส่วนใดของร่างกาย ก็จะจมอยู่ในความทุกข์ ท้อแท้ อย่าว่าแต่ ออกกำลังกายหรือฝึกฝนร่างกายให้มีชีวิตอยู่ ก็เป็นเรื่องยากแล้ว แต่คนเหล่านี้สามารถที่จะใช้ชีวิตตามปกติไม่แตกต่างจากคนทั่วไป เขาก็ยังสามารถพัฒนาทางกายให้มีเพิ่มขึ้น อันนี้สะท้อนถึงจิตใจที่เข้มแข็งและก็มีทัศนคติที่ทำให้ก้าวข้ามความทุกข์หรือข้อจำกัดทางกายได้
เพราะฉะนั้น คนพิการเหล่านี้เรียกว่าแทบทุกคน มีอะไรที่สามารถจะสอนอะไรเราได้มากมาย เพราะว่าเขาสามารถที่จะทำหลายสิ่งหลายอย่างที่จะว่าไปแล้วคนเราธรรมดาทำไม่ได้ด้วยซ้ำ
มีนักแม่นปืนคนหนึ่ง แกมีความหมายมั่นที่จะได้เป็นแชมป์โอลิมปิกได้เหรียญทอง แต่ปรากฏว่าก่อนแข่งขันเพียงปีสองปีเกิดอุบัติเหตุเสียแขนข้างขวา เขาถนัดขวา ก็ปรากฏว่าต้องเลิกล้มความคิดที่จะไปแข่งขันโอลิมปิก ก็เศร้าเสียใจในระหว่างที่อยู่โรงพยาบาลหลายเดือน
ผ่านไปหลายปี เขาก็มาปรากฏตัวในสนามแข่งขันยิงปืน เพื่อนๆนึกว่าเขามาชมการแข่งขัน ที่ไหนได้เขาเป็นผู้แข่งขันคนหนึ่ง เขาไม่มีแขนขวาแล้วแต่เขามีแขนซ้าย ช่วงเวลาที่ผ่านมาหลังจากหายท้อหายทุกข์ เขาก็ซ้อมยิงปืนอย่างจริงจังที่แขนซ้าย แต่ก่อนเขาไม่เคยใช้แขนซ้าย แม้กระทั่งตักข้าวใส่ปาก ยังทำยากเลย แต่ตอนนี้แขนซ้ายของเขาเรียกว่ามีทักษะมาก
และในที่สุดเขาก็สามารถที่จะทำตามความฝันได้สำเร็จ ก็คือได้เหรียญทองโอลิมปิกจากกีฬายิงปืนด้วยแขนซ้าย ซึ่งเพิ่งฝึกมาไม่กี่ปี อันนี้เรียกว่าเขามีทัศนคติบางอย่างที่น่าทึ่งมาก ซึ่งคนทั่วไปน่าจะได้เรียนรู้จากเขา
มีผู้ชายคนหนึ่ง แกเป็นคนที่มีน้ำใจดีมาก ชอบพานักศึกษาเยาวชนไปบำเพ็ญจิตอาสาในชนบทในโรงเรียนหรือหมู่บ้านไกลๆ มีคราวหนึ่งพาไปแม่ฮ่องสอน พอเสร็จงานเขาก็ขับรถตู้กลับ แม่ฮ่องสอน ถนนจะวกวนเพราะว่าเป็นภูเขามีหลายโค้งมาก ปรากฏว่าเขาโชคไม่ดี รถตกถนนซึ่งอยู่สูงจากไหล่เขา 10-20 เมตร ตอนที่ตกถนนเขาก็ภาวนาขอให้เยาวชนที่เขาพามา ปลอดภัย แล้วก็ปลอดภัยทุกคนยกเว้นตัวเขา
ปรากฏว่า ตัวเขาได้รับการกระแทกอย่างแรงตั้งแต่เอวลงไป เพื่อนๆหลายคนที่รู้ข่าวเห็นสารรูปของเขาแล้ว หลายคนก็ตัดท้อว่านี่ขนาดไปทำบุญยังเกิดอุบัติเหตุ พูดทำนองว่าทำดีไม่ได้ดี แต่ว่าผู้ชายคนนี้ชื่อ โสภณ ฉิมจินดา แกบอกว่า ก็เพราะไปทำบุญน่ะสิ ถึงเหลือขนาดนี้ เหลือขนาดนี้ก็คือเหลือครึ่งตัว ถ้าหากไม่ได้ทำบุญก็อาจไม่เหลือเลย ทัศนคติของเขาดีมาก แทนที่จะเป็นทุกข์กลับรู้สึกตัวเองโชคดี
เพราะว่า เขาไม่ได้ไปมองสิ่งที่เสียไป แต่เขามองสิ่งที่ยังมีอยู่ แล้วเขาก็รู้สึกว่าขอบคุณที่เขายังเหลือตั้งครึ่งตัว มีนักปั่นจักรยานคนหนึ่ง แกเป็นนักปั่นจักรยานข้ามประเทศ ปั่นจากประเทศไทย ไปพม่า ไปเนปาล แล้วก็ไปแถวเทือกเขาหิมาลัย เขาพบว่ามีคนจำนวนมากขี่จักรยานเพื่อที่จะไปสัมผัสกับธรรมชาติแถวภูเขาหิมาลัยโดยเฉพาะบริเวณใกล้ๆเทือกเขาเอเวอเรสต์ Everest นี่เป็นยอดเขาที่สูงมากและหนาว
หลายคนที่เป็นคนพิการ แขนขาดบ้าง ขาขาดบ้าง ผู้ป่วยระยะท้าย เป็นมะเร็งก็มี แต่เขามีความเพียรพยายามมาก แล้วเขาก็มีความสุขกับการที่ได้ขี่จักรยานฝ่าฟันความลำบาก นักปั่นจักรยานคนไทยคนนี้ก็สงสัยว่า อะไรที่ทำให้คนเหล่านี้ทำสิ่งที่ยากสำเร็จได้ เขาก็ได้ข้อคิดว่า คนเรา หากจะคิดก้าวไปข้างหน้าต้องไม่นึกถึงสิ่งที่หายสิ่งที่ขาดหรือว่าสิ่งที่เป็นข้อด้อย แต่ให้มองสิ่งที่มี
คนเราจะประสบความสำเร็จหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับว่าใช้สิ่งที่มีอยู่ได้มากน้อยแค่ไหน อันนี้ก็คล้ายๆกับโสภณที่มองสิ่งที่มี ไม่ได้มองสิ่งที่ขาด แขนหายไปข้างหนึ่ง แต่ยังมีแขนอีกข้างหนึ่ง ขาขาดไป 2 ข้าง แต่ก็ยังมีลำตัว มีแขน 2 ข้าง หรือว่าพิการไปครึ่งตัว แต่อีกครึ่งตัวยังดีอยู่ ก็ใช้สิ่งที่มีอยู่ทำให้เต็มที่ ก็ประสบความสำเร็จได้ อันนี้เป็นสิ่งที่คนพิการเขาได้สอน
มีคนหนึ่งเป็นโปลิโอตั้งแต่เล็ก สมัยก่อนไม่มีวัคซีนป้องกันโปลิโอ เป็นแล้วก็รักษาไม่ได้ ก็พิการตลอดชีวิต แต่ว่าเขาก็เป็นคนที่มีความพยายามมาก พากเพียรจนจบมหาวิทยาลัย และมีงานทำที่ก้าวหน้าเพื่อนๆก็แปลกใจว่าทำไมเขาไม่มีความเศร้าโศก มิหนำซ้ำยังสามารถที่จะพัฒนาตน จนกระทั่งประสบความสำเร็จในการศึกษา มีการงานที่มั่นคง มีหลายคนถามว่าเขาไม่เศร้าเขาไม่ทุกข์โศกหรือ ที่เป็นพิการแบบนี้
เขาพูดดีว่า แต่ก่อนเคยเศร้าเคยโศก แต่ตอนหลังเขาคิดว่า มันไม่ควรใช้ชีวิตที่เหลืออยู่จมอยู่กับความสงสาร ความสมเพชตัวเองด้วยความโกรธ แต่ควรที่จะชื่นชมขอบคุณสิ่งต่างๆ สิ่งต่างๆก็คือสิ่งที่เรายังมีอยู่ ไม่ว่าจะเป็นสุขภาพ ไม่ว่าจะเป็นความรู้ สติปัญญา ตาที่มองเห็น หูที่ได้ยิน ขอบคุณพระเจ้า ขอบคุณพ่อแม่ ขอบคุณหลายสิ่งหลายอย่าง มันก็ทำให้เกิดกำลังใจ เกิดชีวิตชีวา มีความเพียรก้าวหน้าต่อไป
ไม่จมอยู่กับความทุกข์ ไม่จมอยู่กับความน้อยเนื้อต่ำใจ คนเหล่านี้เป็นครูของเราได้ รวมถึงคนพิการอย่างอาจารย์กำพล ทองบุญนุ่ม ที่พิการตั้งแต่คอลงมา แต่เป็นครูทางธรรมของหลายๆคน เพราะว่าแม้ว่าตัวท่านจะพิการแต่ใจแจ่มใส เพราะว่าไม่เอาความทุกข์ของกายมาเป็นความทุกข์ของใจ ไม่มีความรู้สึกว่ากูพิการเลย มีแต่เห็นว่ากายพิการ แต่ใจไม่พิการ แล้วก็สามารถที่จะแนะนำผู้คนที่มีความทุกข์ให้ออกจากความทุกข์ได้ เรียกว่าเป็นอาจารย์ทางธรรมของหลายคน
อันนี้ก็เรียกว่าเป็นครูบาอาจารย์ที่สามารถให้อะไรดีๆกับเราได้ ไม่ใช่แค่ชวนให้เราทึ่งว่าเขามีความสามารถในทางกีฬา แต่เขามีอะไรมากกว่านั้น ซึ่งเป็นเรื่องของทัศนคติ ที่สามารถจะเป็นประโยชน์ให้กับเราได้ด้วย
- พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมก่อนฉันเช้า วันที่ 29 สิงหาคม 2564