แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
วันนี้เป็นวันแรกของการปฏิบัติธรรมเพื่อเป็นอาจาริยบูชาแด่หลวงพ่อคำเขียนซึ่งได้ล่วงลับไปเมื่อ 7 ปีที่แล้ว ปกติทุกปีเราก็จะมีการปฏิบัติธรรมหรืองานอาจาริยบูชาแด่หลวงพ่อที่สวนโมกข์กรุงเทพฯและวัดป่าสุคะโต แต่ว่าปีนี้เราทำอย่างนั้นไม่ได้เพราะว่าสถานการณ์โควิดตอนนี้รุนแรงมาก
เพราะฉะนั้น ที่เคยมีการมาปฏิบัติธรรมร่วมกัน ทั้งที่สวนโมกข์หรือแม้แต่ที่นี่ที่วัดป่าสุคะโต ก็ต้องเปลี่ยนรูปแบบไปเป็นการปฏิบัติธรรมที่บ้าน โดยอาศัยระบบออนไลน์หรือว่าการถ่ายทอดสดเป็นสื่อ
ช่วงนี้แม้กระทั่งการมาวัดปฏิบัติธรรมตามปกติในช่วงเข้าพรรษา มันก็ทำได้ยากเพราะว่าโควิดตอนนี้ระบาดไปทั่ว แต่ในเวลาเดียวกัน การแพร่ระบาดของโควิด ก็ ทำให้ความสำคัญของการปฏิบัติธรรมเด่นชัดขึ้น โดยเฉพาะการเจริญสติ เพราะในยามนี้ถ้าเราไม่มีสติหรือขาดสติ เราก็ตกอยู่ในความเสี่ยงมากขึ้น
เสี่ยงที่ว่าประการแรก คือเสี่ยงที่จะติดเชื้อโควิดจนล้มป่วย เพราะว่าถ้าเราไม่มีสติ เราก็อดรนทนไม่ได้ ออกไปเพ่นพ่านข้างนอก ไปเที่ยวเตร่ ไปพบปะผู้คนตามปกติที่เคยทำ ก็อาจจะติดเชื้อ ล้มป่วยได้ จริงอยู่แม้จะมีหน้ากากอนามัย หรือว่ามีเจลล้างมือมีแอลกอฮอล์ฆ่าเชื้อ แต่ว่ามีเท่านั้นไม่พอ ต้องมีสติด้วยจึงจะปลอดภัย
ถ้าไม่มีสติ มีหน้ากากอนามัยก็อาจจะไม่ใส่หรือใส่ไม่กระชับ มีแอลกอฮอล์ ก็อาจจะไม่ได้ล้างเพราะความเผลอ หรือว่าเผลอไปอยู่ใกล้ผู้คน ไม่เว้นระยะห่าง เอามือสัมผัสใบหน้าหรือว่ามือจับอะไรต่ออะไร ไม่รู้ตัว ขาดสติ
ตอนนี้ มีหน้ากากอนามัย มีเจล มีอะไรสารพัด ก็ไม่พอ หรือแม้แต่จะฉีดวัคซีนมาแล้ว มันยังไม่พอ ต้องมีสติด้วย จึงจะปลอดภัยไกลจากโรคโควิด แต่ถึงแม้จะไม่ออกไปข้างนอก เก็บตัวอยู่ในบ้าน ระมัดระวังอย่างดี ก็อาจจะมีความเสี่ยงถ้าขาดสติ
ความเสี่ยงที่ว่านี้คือการที่ใจถูกท่วมท้นไปด้วยความเบื่อ ความเหงาหรือว่าถูกเผาลนด้วยความโกรธ มีความเครียดกดถ่วงหน่วงทับ หนักอกหนักใจ เพราะว่าพอมาเก็บตัวอยู่ในบ้านแล้วไม่มีเพื่อนฝูงได้มาพูดคุยเหมือนเมื่อก่อน ต้องทำอะไรซ้ำๆกันวันแล้ววันเล่าเป็นเดือน
มันก็เป็นธรรมดาที่จะมีความเครียดเกิดขึ้น มีความเหงามีความเบื่อแบบสุดๆ ยิ่งไม่มีอะไรทำ แล้วมาเปิดโทรศัพท์ดูข้อมูลข่าวสาร ใช้โซเชียลมีเดียก็เห็นแต่ข่าวที่ทำให้สลดหดหู่บ้าง ทำให้หนักอกหนักใจบ้าง ทำให้คับแค้นบ้าง รวมทั้งนึกถึงปัญหาที่จะตามมาในวันข้างหน้า นึกถึงวันเวลาที่ยังไม่มีลู่ทางหรือแสงสว่าง ว่าเมื่อไหร่จะสิ้นสุดเสียที
ภาวะแบบนี้ก็ทำให้ผู้คนจำนวนไม้น้อยตกอยู่ในความทุกข์ จนกระทั่งบางคนอดรนทนไม่ไหว ออกไปข้างนอก ออกไปเปลี่ยนบรรยากาศ อันนี้คือการเสี่ยงประการที่ 2 คือ การที่ใจตกอยู่ในความทุกข์ที่ไม่เคยเจอมาก่อนเพราะว่ามันยืดเยื้อเรื้อรัง
แต่ถ้าหากว่าเรามีสติ มันก็ช่วยทำให้การเก็บตัวอยู่ในบ้าน มันเป็นสิ่งที่ไม่ได้เลวร้าย ก็ยังรักษาใจให้ปกติได้ ไม่ถูกอารมณ์ต่างๆที่ว่ามารบกวน รวมทั้งความกลัว ความตื่นตระหนก หลายคนแม้ว่ากายจะปลอดภัยจากเชื้อโควิด แต่ว่าจิตไม่ได้ปลอดภัยเลย ถูกโควิดเล่นงาน จนกลัวจนตื่นตระหนก
คนเดี๋ยวนี้ทุกวันนี้เหมือนกับหนีเสือปะจระเข้ หนีโควิดมาเก็บตัวอยู่ที่บ้าน ก็ไปเจอความทุกข์ใจนานาชนิด จนแทบว่าหาทางออกไม่เจอ แต่ว่าเราไม่จำเป็นต้องหนีเสือมาปะจระเข้ก็ได้ แม้ว่าจะหนีโควิดมาอยู่ที่บ้าน เราก็ไม่จำเป็นต้องทุกข์ก็ได้ จิตเราก็ไม่จำเป็นต้องตกเพราะความเครียด รุ่มร้อนถ้าเรามีสติ
มีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย มีหนังให้ดู มีเพลงให้ฟัง มี steamออนไลน์ สามารถที่จะดูหนังได้ 24 ชั่วโมง แต่ก็ยังทุกข์อยู่ แม้กายไม่ป่วย แต่ถ้าหากว่าเรามีสติด้วย ก็จะออกจากความทุกข์เหล่านั้นได้ไม่ยาก หรือสามารถจะรักษาใจไม่ให้ทุกข์ ไม่ให้ตกอยู่ในความเสี่ยงทั้งกายและใจ
เพราะฉะนั้น การเจริญสติในยามนี้จึงมีความสำคัญมาก มันมีความสำคัญที่เด่นชัดยิ่งกว่าช่วงก่อนจะมีโควิดเสียอีก เพราะฉะนั้น ช่วงที่เรามาบำเพ็ญอาจาริยบูชาแด่หลวงพ่อคำเขียนระหว่างวันที่ 19-23 สิงหาคมนี้ มันเป็นช่วงเวลาที่ไม่เพียงแต่เราจะได้บูชาคุณหลวงพ่อคำเขียนด้วยการปฏิบัติเท่านั้น แต่ยังเป็นการช่วยรักษากายและใจของเราให้มีความสุขสวัสดีด้วย
การเจริญสติที่หลวงพ่อคำเขียน ท่านแนะนำและพาทำ ไม่ใช่เรื่องยากอะไร ไม่ได้เรียกร้องเงื่อนไขอะไรมากมาย เพียงแต่ว่ามีกายและใจก็พอแล้ว ถ้าใครมีกายและใจ เท่านี้ก็เพียงพอแล้วสำหรับการเจริญสติ เพราะการเจริญสติไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าการมาดูกายดูใจ เวลากายเคลื่อนไหวก็ให้รู้ว่ากายกำลังทำอะไร
ก็มีการกำหนดอิริยาบถหรือว่ารูปแบบสำหรับการใช้กายเคลื่อนไหว อย่างที่เราทราบดี เดินจงกรมกลับไปกลับมา ยกมือเคลื่อนไหวเป็นจังหวะ 14 จังหวะ ก็ให้ใจมารู้เวลากายเคลื่อนไหว ใจมารู้กายเคลื่อนไหวได้ ต้องเอาใจมาอยู่กับเนื้อกับตัว
ถ้าใจลอยออกไปนู่นไปนี่ หรือว่าถลำเข้าไปในความคิด มันก็ไม่รู้สึกตัว มันก็ไม่รู้ว่ากายทำอะไร อันนี้ก็เป็นวิธีการง่ายๆในการที่จะทำให้เกิดความรู้สึกตัวขึ้น ก็คือให้ใจมาอยู่กับกาย มารู้ว่ากายกำลังทำอะไร มีส่วนใดที่กำลังเคลื่อนไหว รู้ที่ว่าเป็นความรู้สึก แม้จะปิดตาก็ยังรู้ว่ามือเคลื่อนไหว หรือรู้ว่า เท้ากำลังขยับ ตัวกำลังเขยื้อน
กายทำอะไร ใจก็รู้สึก บางทีท่านก็ใช้คำว่า เห็นกายเคลื่อนไหว แต่ไม่ใช่เอาใจไปจ้องไปเพ่งอยู่ที่ส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย ไม่ต้องถึงกับขนาดนั้น ไม่ต้องเอาใจไปจดจ่อที่เท้าหรือที่มือ อันนั้นเรียกว่าจ้องหรือเพ่ง ให้รู้สึกแบบสบายๆ โดยไม่ไปบังคับจิตว่า จะต้องอยู่กับกายไปตลอด ให้อิสระกับใจในการอยู่หรือไปก็ได้
ทำใหม่ๆ ให้ใจอยู่กับกาย รู้สึกว่ากายทำอะไร แต่พอผ่านไปสักพัก สักครู่หนึ่ง เดี๋ยวมันก็ไปแล้ว อันนี้เรียกว่า ส่งจิตออกนอกหรือไหลไปตามความคิดโดยไม่ได้ตั้งใจ พอใจมันไหลออกไป มันก็จะเรียกว่าไม่รู้เนื้อรู้ตัวแล้ว ไม่รู้สึกตัว ไม่รู้ว่ากายกำลังเคลื่อนไหว ไม่รู้สึกถึงกายที่กำลังเขยื้อนขยับ
ตรงนี้แหละที่เป็นช่วงเวลาของการได้ฝึก ให้มีสติรู้ใจ หรือให้มีสติรู้ทันความคิดและอารมณ์ที่มันพาใจเตลิดออกไป การที่เราไม่บังคับจิตให้มันอยู่กับกาย ก็เพื่อให้ใจว่ามีอิสระที่จะไหลออกไปข้างนอก แล้วนั่นก็เป็นโอกาสที่ได้ฝึกสติ ให้สติได้มารู้ทันความคิดและอารมณ์
ทันทีที่เห็นความคิดและอารมณ์เกิดขึ้น ความรู้เนื้อรู้ตัวก็จะกลับมาเลย เพราะว่าใจก็จะหวนกลับมาที่กาย เพราะตอนนั้นความคิดและอารมณ์ที่พาจิตเตลิดออกไป มันก็จะเรียกว่าดับไฟหรือว่าละลายหายไป จิตก็จะกลับมาอยู่กับเนื้อกับตัว เกิดความรู้สึกตัวขึ้นมาใหม่
การปฏิบัติก็มีเท่านี้แหละ ซึ่งสูตรสั้นๆว่า รู้กายเคลื่อนไหว เห็นใจคิดนึก เป็นการกระทำที่ไม่ได้บังคับใจให้อยู่กับกาย หรือว่าบังคับจิตไม่ให้คิด มันจะคิดก็เป็นเรื่องของมัน แต่ว่าเราอย่าไปช่วยมันคิด หรืออย่าไปคิดกับมัน มันจะมีอารมณ์ใดเกิดขึ้นต่อจากความคิดนั้น ก็แค่เห็นมัน ไม่ถลำเข้าไปในอารมณ์นั้น รวมทั้งไม่ผลักไสด้วย
ไม่ต้องไปทำอะไรกับความคิด แม้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น ไม่ต้องไปห้ามคิด ไม่ต้องไปเบรคความคิด ไม่ต้องไปผลักไสหรือกดข่มอารมณ์นั้น เพียงแค่เห็นมัน รู้ทันมัน และเป็นการรู้แบบรู้ซื่อๆคือรู้เฉยๆ โดยที่ไม่ผลักไสและไม่ไหลตาม มันเป็นการปฏิบัติที่ไม่ต้องไปเคี่ยวเข็ญบังคับจิตใจอะไรเลย ไม่บังคับจิตให้อยู่กับกาย
และเมื่อมันจะไป ก็เพียงแต่รู้ทันมัน รู้ทันความคิดและอารมณ์ที่พาจิตออกจากความรู้สึกตัว และการรู้ทัน มันก็ไม่ได้เกิดจากความตั้งใจ มันรู้ทันขึ้นเอง เช่นเดียวกับความระลึกได้ว่ากำลังทำอะไรอยู่ อันนี้มันคู่กันเลย
ระลึกได้ว่ากำลังทำอะไรอยู่ในปัจจุบัน เช่น กำลังเดิน กำลังสร้างจังหวะ กำลังสวดมนต์ฟังธรรม กับการรู้ทันความคิดที่ทำให้ใจเตลิดเปิดเปิงออกไป ไม่รู้เนื้อรู้ตัว มันเป็นเรื่องเดียวกันเพราะเป็นงานของสติ
สติ ทำหน้าที่รู้ทันความคิดและอารมณ์ แล้วก็ระลึกรู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่ในปัจจุบัน มันระลึกรู้ได้เอง มันไม่ใช่ว่าจะต้องเจตนาหรืออาศัยความตั้งใจ ไม่เหมือนกับการระลึกได้ว่า เมื่อวานนี้เราไปที่ไหนบ้าง เราไปคุยกับใคร เรากินข้าวกับอะไร ระลึกแบบนั้น จะนึกขึ้นมาได้จะต้องตั้งใจนึก ตั้งใจลำดับทบทวนถึงจะนึกออก
แต่การระลึกได้ว่ากำลังทำอะไรอยู่ในปัจจุบัน มันเกิดขึ้นเอง รวมทั้งการรู้ทันความคิด เห็นอารมณ์ สติมันทำงานเอง เราไม่สามารถจะบังคับบงการให้ทำอย่างนั้นอย่างนี้ได้ แต่ว่าสิ่งที่เราทำได้คือ เปิดโอกาสให้สติได้ทำงาน
การปฏิบัติธรรม การเจริญสติ การเดินจงกรม การสร้างจังหวะ เป็นการเปิดโอกาสให้สติได้ทำงานในแบบของตัวเรา ทำได้แค่นั้น และใหม่ๆสติก็อาจจะงุ่มง่าม เชื่องช้า กว่าจะรู้ทันก็คิดไป 10 เรื่องแล้ว กว่าจะระลึกได้ว่ากำลังทำอะไรอยู่ในปัจจุบันก็เผลอไปไกลแล้ว อันนั้นก็เป็นธรรมดา
อย่าไปใจร้อน อย่าไปหงุดหงิด อย่าไปหัวเสีย อย่าไปผิดหวัง ให้ทำไปเรื่อยๆ ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ ถ้าให้โอกาสแก่สติได้ทำงาน ได้มารู้ทันความคิด รู้ทันอารมณ์อยู่เรื่อยๆ ต่อไปเขาก็จะทำงานได้ดีขึ้น ไวขึ้น แต่ก่อนกว่าจะหาใจเจอ ใช้เวลานาน
แต่พอทำบ่อยๆ ก็จะหาใจได้เจออย่างรวดเร็ว หาใจเจอได้ในเวลาไม่นาน เพราะอะไร เพราะว่ามีประสบการณ์ มีความชำนาญ เพราะมีชั่วโมงบินเยอะ เราก็ทำเท่านั้นแหละให้โอกาสสติได้ทำงาน โดยเราจัดเวลาให้ ด้วยการเดินจงกรม ด้วยการสร้างจังหวะอย่างต่อเนื่อง
แล้วเราก็จะพบว่าจะรู้กายเคลื่อนไหวได้ต่อเนื่องนานขึ้น แล้วก็จะเห็นใจคิดนึกได้เร็วขึ้น แล้วคราวนี้มันก็จะมีความสงบ มีความโปร่งใส มีความเบาสบาย มีความรู้สึกตัวมากขึ้น แม้ว่าจะอยู่บ้านอยู่ในที่เดียว ซ้ำๆนานๆ มันก็ไม่มีความรู้สึกเบื่อ ไม่มีความรู้สึกเซ็ง ที่จริงไม่ใช่ไม่มี ความรู้สึกเหล่านี้มันก็มา แต่ว่ามาจู่โจมหรือครอบงำจิตไม่ได้
เช่นเดียวกับ ความหงุดหงิด ความกังวล มันก็มา แต่มันมาแล้ว มันไม่มาครอบงำใจของเรา เพราะอะไร เพราะว่ามีสติรู้ทัน มีสติเป็นเครื่องปกปักรักษาใจก็ได้ เจริญสติหรือปฏิบัติธรรมไม่ได้แปลว่าไม่มีความโกรธ ไม่มีความเครียด ไม่มีความหงุดหงิด มันมี
แต่ว่ามันไม่สามารถทำให้ใจเราเป็นทุกข์ได้ เพราะอะไร เพราะว่าเราเห็นมัน ไม่เข้าไปเป็นมัน มีความโกรธแต่ไม่เป็นผู้โกรธ มีความเหงาแต่ไม่เป็นผู้เหงา มีความเครียดแต่ไม่เป็นผู้เครียด ทำได้ ใหม่ๆเราก็ยังไม่สามารถป้องกันไม่ให้อารมณ์เหล่านี้เกิดขึ้นได้ แต่แม้มันเกิดขึ้นแล้ว มันก็ทำอะไรจิตใจเราไม่ได้ เพราะว่าเรามีสติรู้ทันมันเสียก่อน
เหมือนกับนักย่องเบามาขึ้นบ้าน แต่มันยังไม่ทันขโมยเลย เราก็เห็นมันเสียแล้ว เห็นมันคาหนังคาเขาเลย เท่านั้นแหละมันก็ถอยหนีไปเลย อารมณ์เหล่านี้ก็เหมือนกัน ถ้าเราเห็นมันคาหนังคาเขา มันก็ล่าถอยหายไป
การปฏิบัติ การเจริญสติ ไม่ใช่เวลาเฉพาะตอนเดินจงกรมและตอนสร้างจังหวะ ออกจากการเดินจงกรม สร้างจังหวะ ไปใช้ชีวิตตามปกติ เราก็ยังสามารถเจริญสติได้ เป็นการเจริญสติโดยไม่อาศัยรูปแบบ เช่น อาบน้ำ ถูฟัน กินข้าว ล้างจาน ซักผ้า เราก็เจริญสติได้ เพราะว่าตอนนั้นเราใช้กาย ก็รู้กายเคลื่อนไหว
ในขณะที่มือเขยื้อนขยับ ระหว่างที่อาบน้ำ ระหว่างที่ถูฟัน ระหว่างที่ล้างจาน ตอนนั้นถ้าใจยังไม่ได้คิดอะไร ก็อย่าไปจ้องดูว่าใจมีความคิดอะไรไหม ให้ใจมาอยู่กับกาย ต่อเมื่อมันเผลอคิดไปแล้ว เผลอฟุ้งไปแล้ว ถึงค่อยไปตามดูรู้ทันมัน ถ้าเราทำอย่างนี้ กับกิจวัตรประจำวัน ทุกอย่างก็กลายเป็นการปฏิบัติธรรม
อาบน้ำก็เป็นปฏิบัติธรรม ทำครัวก็เป็นการปฏิบัติธรรม กินข้าวก็ยังเป็นการปฏิบัติเลย หรือแม้กระทั่งอุจจาระปัสสาวะก็ยังเป็นการปฏิบัติธรรมได้ถ้าหากว่าเราทำด้วยความรู้เนื้อรู้ตัว ทำอย่างมีสติ ใจมันลอยปุ๊บรู้ทัน กลับมาๆ อันนี้เป็นการทำให้ใจมีที่พึ่งปลอดภัย
ความรู้สึกตัวเป็นที่พึ่งที่ปลอดภัย ที่ความทุกข์ใดๆจะเข้ามาเล่นงานไม่ได้ เมื่อเราหนีเสือคือหนี covid มาเก็บตัวอยู่ที่บ้าน เราไม่จำเป็นต้องมาเจอจระเข้ก็ได้ แต่เพราะว่า เรามีสถานที่ที่ปลอดภัย จระเข้หรืออารมณ์ที่เป็นลบเป็นอารมณ์ร้ายต่างๆก็เข้ามาทำอะไรเราไม่ได้ เพราะว่าเรามีความรู้สึกตัว
เรามีสติ ไม่ใช่ว่ามันไม่มา ไม่ใช่ว่ามันไม่มี แต่ว่ามันทำอะไรเราไม่ได้เพราะว่าเรารู้ทัน ไม่เข้าไปยึด ไม่เข้าไปแบก ไม่ว่าจะเป็นความคิดเกี่ยวกับเรื่องราวในอดีต หรือความวิตกกังวลเพราะคิดถึงอนาคต หรือเพราะว่าหนักอกหนักใจเพราะคิดถึงงานการหรือปัญหาที่คาราคาซังอยู่
มันก็เป็นธรรมดาที่จะนึกถึงเรื่องราวเหตุการณ์เหล่านั้นหรือปัญหาต่างๆ แต่ว่าเมื่อรู้ทันมัน จิตไม่เข้าไปยึดไม่เข้าไปแบก รู้จักวางมัน ใจเราก็ปลอดภัย ใจเราก็ปลอดโปร่ง อยู่บ้านก็อยู่ได้อย่างมีความสุข เพราะว่าไม่ใช่มีแค่บ้านของกายเท่านั้น แต่ว่าใจก็มีบ้านด้วย บ้านนั้นก็คือความรู้สึกตัวที่เกิดจากการมีสติ และสติที่ว่า มันก็เกิดจากการปฏิบัติ
เพราะฉะนั้น ในช่วง 4-5 วันนี้ ขอเชิญชวนทุกท่านได้มาปฏิบัติธรรมเจริญสติเพื่อเป็นอาจาริยบูชาแด่หลวงพ่อคำเขียน และการทำเช่นนั้นแหละ ที่มันจะกลับมาคุ้มครองรักษาใจเราให้เป็นปกติ ปลอดภัยและไกลจากความเสี่ยงทั้งมวล
- พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมเช้าวันที่ 19 สิงหาคม 2564