แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
เวลาเรามอง เรามักจะคิดว่า เราเห็นความจริงที่อยู่เบื้องหน้าเรา แต่บ่อยครั้งมันก็ไม่ได้เป็นอย่างนั้น สิ่งที่เราเห็นกับความเป็นจริงเบื้องหน้า บ่อยครั้งมันก็ไม่ได้ตรงกัน
มีผู้ชายคนหนึ่งเล่าว่า วันหนึ่งได้ไปฟังบรรยายของอาจารย์ท่านหนึ่ง อาจารย์ไม่บรรยายอะไรมาก ให้ดูคลิปแค่นาทีเสร็จๆ เป็นคลิปเกี่ยวกับชายหญิง 6 คน 3 คนสวมเสื้อสีขาว อีก 3 คนสวมเสื้อสีดำ ทั้งสองทีมมีลูกบอลเป็นบาสเกตบอล ทีมเสื้อขาวก็โยนลูกบอลผ่านไปทางคนในทีมเดียวกัน ส่วนคนทีมเสื้อดำก็เช่นเดียวกันโยนลูกบอลให้กับคนในกลุ่มเสื้อดำ
อาจารย์บอกว่าให้นักศึกษาลองนับดูว่า ทีมชุดขาว เขาโยนลูกบอลให้กับเพื่อนในทีมรวมทั้งหมดกี่ครั้ง ก็ต้องตั้งใจดู เพราะว่าทั้งสองทีมไม่ได้อยู่นิ่งๆ เคลื่อนขยับไปขยับมา อยู่ใกล้ๆกัน หลังจากที่ได้ดูคลิปประมาณ 1 นาที ก็หยุด แล้วก็ถามคนในห้องว่า ตกลงทีมเสื้อขาวเขาโยนลูกบอลให้กับเพื่อนในทีมทั้งหมดกี่ครั้ง บางคนบอกว่า 13 ครั้ง บางคนก็ว่า 14ครั้ง บางคนก็ว่า 15 ครั้ง
อาจารย์ก็เฉลยว่า 15 ครั้งบางคนแปลกใจว่า 15 ครั้งหรือ นึกว่า 14 ครั้ง หรือบางคนก็ยังคิดว่า 13 ครั้ง ยังไม่ทันเถียงกัน อาจารย์ก็ถามขึ้นมาว่า แล้วพวกคุณเห็นกอลิล่าไหม นักศึกษาก็เลยงงว่ามีด้วยหรือ เขาก็เห็นแต่ทีมเสื้อขาวกับทีมเสื้อดำโยนลูกบอลให้กัน มาได้อย่างไร กอลิล่าใจ อาจารย์ก็เลยกรอเทปกลับเริ่มต้นมาดูใหม่
ก็ปรากฏว่าผ่านไปครึ่งนาที มันมีกอลิล่าคือคนใส่ชุดกอลิล่าสีดำเดินมา จากมุมซ้าย จากมุมขวา แล้วก็มาอยู่ที่หน้ากล้อง หน้าจอ อยู่กลางจอ แล้วก็ทำทีตบหน้าอก แล้วค่อยๆเดินไปทางมุมซ้าย ทั้งหมดนี้ใช้เวลาประมาณ 5 วินาทีหรือ 10 วินาที คนในห้องส่วนใหญ่ก็งงเลยว่า ทำไมเรามองไม่เห็น ทั้งๆที่พอมาดูครั้งที่ 2 เห็นชัดเจนเลย
ก็กลายเป็นว่าสิ่งที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าของคนเหล่านี้เขากลับมองไม่เห็น แล้วก็ไม่ใช่เฉพาะนักศึกษากลุ่มนี้ เอาคลิปไปให้กลุ่มไหนดู ผลก็คล้ายๆกัน 80 ถึง 90 เปอร์เซ็นต์ คือไม่เห็นกอลิล่าเลย พอเปลี่ยนกอลิล่าเป็นหมีตัวสีดำ ก็ได้ผลเหมือนกัน คนส่วนใหญ่ 70 - 80 หรือ 90 เปอร์เซ็นต์ ตอนที่ดูครั้งแรก ไม่เห็นหมีหรือกอลิล่า
ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น เพราะว่าทุกคนสายตาไปจับจ้องอยู่กับคนใส่เสื้อขาวที่กำลังโยนลูกบอลใส่กัน ไม่ได้จับจ้องเปล่าๆ คอยนับด้วย โจทย์ที่ให้คนดูคอยนับว่า เขาโยนลูกบอลให้แก่กันกี่ครั้ง มันก็ทำให้คนแทบทั้งหมดตัดความรับรู้เกี่ยวกับสิ่งอื่นออกไป แม้ว่ามันจะมีกอลิล่าตัวใหญ่ๆโผล่ขึ้นมา ก็มองไม่เห็น
อันนี้ถ้าพูดทางภาษาธรรมะก็คือ มันไม่เกิดจักขุวิญญาณในการรับรู้กอลิล่า แม้ว่าสิ่งที่ปรากฏคือกอลิล่ามาปรากฏอยู่ข้างหน้าแล้ว ภาพมากระทบตาแน่นอน แต่ว่าใจไม่ได้ไปรับรู้ภาพนั้น เพราะว่าใจไปจดจ่ออยู่กับคนหรือนักกีฬาที่ใส่เสื้อขาวที่โยนลูกบอลให้กันและกัน
อันนี้ชี้ให้เห็นเลยว่า สิ่งที่มากระทบสายตาเรามันไม่ใช่ว่าเราจะเห็นหรือเราจะรับรู้ไปทุกอย่าง มันอยู่ที่ใจด้วย ถ้าใจตอนนั้นไปจดจ่อสิ่งอื่นแทน ทั้งๆที่ภาพนั้นโจ่งแจ้งชัดเจน แต่ว่าเรากลับมองไม่เห็น อันนี้เรียกว่ามองแต่ไม่เห็น เพราะว่าใจไม่รับรู้ หรือจะพูดอีกอย่างหนึ่งก็ได้ว่า สิ่งที่เรามองเห็น กับความเป็นจริง มันไม่ตรงกัน
การเห็นของเรา มันไม่ได้แปลว่า เราจะเห็นความจริงไปเสียหมด คนมักคิดว่า อย่างที่พูดตั้งต้นว่า เมื่อเรามอง เราก็จะเห็นความจริงเบื้องหน้า แต่จริงๆ แล้ว สิ่งที่เราเห็นกับความเป็นจริง ไม่ได้ตรงกันไปเสียทีเดียว อันนี้เป็นสิ่งที่คนไม่ค่อยตระหนักเท่าไร เพราะเรามักจะคิดว่า เราเห็นสิ่งต่างๆตามความเป็นจริง ตาเราก็ไม่บอด เราคิดว่าเราเห็นทุกอย่างตามความเป็นจริง
แต่ว่าที่จริงแล้ว มันมีความจริงหลายอย่างที่เรามองไม่เห็นทั้งๆที่มันอยู่เบื้องหน้าเรา เป็นเพราะอะไร เป็นเพราะใจ ใจเราไม่ไปรับรู้สิ่งนั้นแม้รูปกระทบตาแต่ว่าจักขุวิญญาณไม่เกิด การรับรู้ก็ขาดตกบกพร่องไป อะไรที่มากระทบตา ไม่ใช่ว่าเราจะรับรู้ไปทุกอย่าง
อันนี้ก็เช่นเดียวกับเสียง เสียงกระทบหู ไม่ใช่ว่าเราจะไปรับรู้ทุกสิ่ง บอยครั้งอย่างขณะนี้มีเสียงจั๊กจั่นเรไรมันดังอยู่ตลอดเวลาแต่ว่าในความรับรู้ของเรา บางครั้งมันไม่ได้ยินเลย อาจจะไม่ได้ยินตลอดชั่วโมงเลยก็ได้ เพราะอะไร เพราะใจไปรับรู้หรือไปจดจ่อสิ่งอื่นแทน เช่น ไปจดจ่อเสียงของอาตมาหรือการบรรยายที่กำลังอยู่ข้างหน้า ถ้าใจไม่ไปรับรู้สิ่งใด สิ่งนั้นก็ไม่ปรากฏในความรู้สึกของเรา
อันนี้ชี้ให้เห็นถึงข้อจำกัดของคนเรา ไม่ว่าจะเป็นการรับรู้ทางตาทางหู เพราะว่าการรับรู้ของเราไม่ได้อยู่ที่ว่ามีภาพกระทบตา มีเสียงกระทบหูหรือเปล่า มันยังอยู่ที่ว่าใจเปิดรับหรือเปล่า ถ้าใจไม่เปิดรับ มันก็ไม่ได้ยิน แล้วมันก็ไม่เห็น
เคยพาคนเดินจงกรมเช้าตรู่บนทางหน้าวัด เดินไปกลับ 45 นาที เสร็จแล้วก็ถามถึงความรู้สึกขณะที่เดินว่ารู้ตัวไหม เสร็จแล้ว พอถามว่าเมื่อตะกี้ได้ยินเสียงจิ้งหรีดหรือเปล่า หลายคนบอกว่ามีด้วยหรือจิ้งหรีด ไม่เห็นได้ยินเลย ทั้งๆที่จิ้งหรีดมันก็ร้องระงมตลอดทางทั้งขาไปขากลับ ที่ยังเช้าตรู่ ทำไมถึงไม่ได้ยิน
เพราะว่าใจลอย ใจคิดโน่นคิดนี่ คิดเรื่องงานเรื่องการ คิดเรื่องปัญหาการเงิน คิดถึงเรื่องเหตุการณ์บ้านเมือง หรือคิดถึงเรื่องไปเที่ยว ใจลอยหรือว่าใจไปจดจ่อกับเรื่องอื่น แม้เสียงจะเข้าหู แต่ใจก็ไม่ไปรับรู้ด้วย พอไม่ไปรับรู้ก็ไม่ได้ยิน พอซักพอถามก็เลยงง แปลกใจว่ามีเสียงจิ้งหรีดด้วยหรือ
การรับรู้ของคนเรามีข้อจำกัดมาก แต่คนเราก็มักจะไปเชื่อว่า สิ่งที่เรารับรู้มาหรือการรับรู้ของคนเราถูกต้อง 100% มันตรงตามความเป็นจริง 100% ทั้งๆที่จริงไม่ใช่ บางทีเราก็เห็นเกินเลยจากความเป็นจริง หรือไม่ก็เห็นน้อยกว่าความเป็นจริง หรือว่าไม่เห็นเลยในความจริงบางสิ่งบางอย่าง
การทดลองเมื่อสักครู่ที่เขาทำให้ดู พวกเราอย่าไปเชื่อสิ่งที่เราเห็น 100% เพราะว่าสิ่งที่เราเห็น มันอาจจะไม่ตรงกับความเป็นจริงก็ได้ และเรื่องนี้ก็ชวนให้คิดต่อว่า คนเราถ้าหากว่าไปจดจ่อเรื่องใด เรื่องอื่นแม้มันจะปรากฏอยู่ข้างหน้าหรือว่าเกิดขึ้นกับเรา แต่เราก็อาจจะไม่รับรู้เสมือนว่ามันไม่ได้เกิดขึ้นเลยก็ได้ ทั้งๆที่มันมี
อย่างเช่นคนที่มัวแต่ไปจดจ่อกับความทุกข์ มัวแต่จดจ่ออยู่กับปัญหา หรือว่าความทุกข์เกี่ยวกับสุขภาพ ปัญหาเกี่ยวกับการงาน ปัญหาความสัมพันธ์ในครอบครัว ถ้าจดจ่อกับมันมากๆ จนบางครั้งก็จะรู้สึกว่าฉันอาภัพอับโชค ทำไมชีวิตฉันมีแต่ความทุกข์ทั้งนั้นเลย ทั้งที่จริงไม่ใช่ ไม่ใช่มีแต่ความทุกข์หรือความอับโชค ความสุขหรือว่าโชคมันก็มี ไม่ใช่ไม่มี แต่มองไม่เห็น
ก็เหมือนกับคนที่จดจ้องอยู่กับนักกีฬาเสื้อขาวที่กำลังโยนลูกบอลให้กัน คนเหล่านั้นไม่เห็นกอลิล่าตัวสีดำที่มันยืนอยู่กลางจอ คนที่จดจ่ออยู่กับความทุกข์อาจจะไม่เห็นความสุขที่มันเกิดขึ้นกับตัวเองเลย ไม่ใช่ว่าไม่มีความสุข มี แต่ว่าไม่เห็น ก็เลยคิดว่าฉันเป็นคนโชคร้ายหรือว่าชีวิตฉันเต็มไปด้วยความทุกข์
มีคนหนึ่งอวยพรเพื่อนในวันปีใหม่ ว่าขอให้เธอเห็นความสุข ไม่ได้อวยพรว่าขอให้เธอมีความสุข เพราะอะไร เพราะเธอมีอยู่แล้วความสุข เพียงแต่เธอไม่เห็น ในยามนี้ผู้คนมีความทุกข์มาก แล้วก็หลายคนรู้สึกว่าชีวิตฉันเลวร้ายเหลือเกิน ช่วงเวลานี้เป็นช่วงที่เลวร้ายเหลือเกินมีแต่ความทุกข์ไม่เจอสุขเลย ที่จริงสุขก็มีอยู่สำหรับคนส่วนใหญ่ แต่เขามองไม่เห็น เพราะใจไปจดจ้องจดจ่ออยู่กับความทุกข์
ความสุขที่ว่านี่อาจจะเป็นความสุขที่มีสุขภาพดี ไม่เจ็บไม่ป่วย ยังกินอิ่มนอนอุ่น ยังมีคนรักรอบข้าง หรือว่ายังมีงานมีการทำ มันมีสิ่งดีๆหลายอย่างเกิดขึ้นกับชีวิตของเขาในปัจจุบัน แต่เขามองไม่เห็นเพราะใจไปจดจ่ออยู่กับความทุกข์หรือว่ากลัดกลุ้มอยู่กับปัญหาที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต ถ้าเพียงแต่ว่าเปิดใจให้กว้างก็อาจจะพบว่าชีวิตเราก็ไม่ได้เลวร้ายไปเสียหมด ชีวิตก็มีความสุขอยู่
หรือบางคนก็จดจ่อแต่เรื่องแย่ๆของตัวเอง เห็นแต่ด้านลบของตัวเอง แล้วก็รู้สึกว่าตัวเองไม่มีค่าไม่มีน้ำยาอะไรเลย แต่นั่นเป็นเพราะว่าไม่ใช่เพราะว่าเขาไม่มีความเก่งหรือความสามารถหรือข้อดี แต่ใจไปจดจ่ออยู่กับสิ่งตรงข้ามมากกว่า มันก็เลยไม่เปิดใจรับรู้สิ่งดีๆที่ตัวเองมีอยู่ บางทีเป็นแค่เราเปิดใจเป็นกลางๆ ก็จะพบว่าจริงๆก็มีความสุขอยู่ตลอดเวลาหรือมีอยู่รอบตัวเหมือนกัน
มีเพื่อนคนหนึ่งเล่าให้ฟังว่า มีช่วงหนึ่งเขาต้องไปผ่าตัดไส้เลื่อน เขาเป็นคนที่ขยันขันแข็ง มีงานมีการ มีเรื่องให้ทำมีเรื่องให้ครุ่นคิดอยู่ตลอดเวลา แทบจะไม่มีวันหยุดเลย เขาเป็นคนขยันชอบทำงาน แต่พอต้องไปผ่าตัดต้องพักฟื้นอยู่ที่โรงพยาบาล พักฟื้นวันสองวันก็ต้องกลับมาพักฟื้นต่อที่บ้านอีก 1 อาทิตย์ เป็นช่วงที่เขาต้องวางงานการเพราะว่าไม่สะดวกที่จะทำงาน
บ่ายวันหนึ่ง เขาไปนั่งที่ตรงระเบียง จู่ๆเขาก็ได้ยินเสียงนกร้อง ทีแรกร้อง 1 ตัว ต่อมา 2-3 ตัว เป็นนกเขา นกนานาชนิด เขาก็ฟังเสียงนกร้องรู้สึกไพเราะเหลือเกิน ดื่มด่ำจนน้ำตารื้นเลยเพราะว่ามีความปลาบปลื้มมีความสุขมาก และเขาก็เอะใจว่า อยู่บ้านนี้มาตั้งนาน ตั้งแต่ลูกเรียนอนุบาลตอนนี้เรียนมหาวิทยาลัยแล้ว
ทำไมเพิ่งจะได้ยินเสียงนกร้องหรือว่านกเพิ่งร้อง ไม่ใช่ นกมันร้องมานานแล้ว นกร้องทุกวัน อ้าวแล้วทำไมไม่ได้ยิน ก็เพราะว่าไม่ได้เปิดใจที่จะฟังเสียงนกร้อง หรือพูดอีกอย่างหนึ่ง ใจไม่ว่างพอที่จะฟังเสียงนกร้องเพราะใจหมกมุ่นแต่กับเรื่องงานการ ครุ่นคิดแต่เรื่องของปัญหาในที่ทำงาน หรือว่าปัญหาของสังคมบ้านเมือง ก็เลยไม่เคยว่างที่จะรับรู้ถึงความไพเราะของนกร้อง
ประสบการณ์วันนั้นทำให้เขารู้ว่าความสุขอยู่ใกล้ตัว มันอยู่กับเราตลอดเวลา อยู่ที่บ้านนี้ทั้งเช้าจรดค่ำ แต่ว่าเขาไม่รู้ ไม่ใช่ว่าไม่มี แต่ว่าเพราะใจไม่ได้เปิดกว้าง ไม่เปิดรับสิ่งเหล่านี้ ที่จริงงความสุขไม่ได้ต้องไปหาที่ไหนเลย เพียงแค่เปิดใจให้กว้างก็จะพบความสุขที่มันหลั่งไหลพรั่งพรูมาสู่ใจเรา
เรื่องของคลิปวิดีโอที่ว่า ยังให้แง่คิดอีกอย่างหนึ่งคือ ขนาดสิ่งที่มาปรากฏอยู่ต่อหน้าต่อตา สิ่งที่เป็นรูปธรรมเห็นชัดเจนเรายังมองไม่เห็นเลย แล้วนับประสาอะไรกับสิ่งที่เป็นนามธรรมที่มันปรากฏขึ้นอยู่ในใจของเราเช่นความคิดหรืออารมณ์ ตาเรายังไม่สามารถเห็นกอลิล่าที่อยู่ต่อหน้าเราเลย มันก็เป็นเรื่องธรรมดาที่ใจเราจะไม่เห็นความคิดและอารมณ์ที่มันเกิดขึ้น ที่ไม่เห็นเพราะไม่ใช่ว่าไม่มี แต่เป็นเพราะว่าใจไปจดจ่อสิ่งอื่นแทน
พูดอีกอย่างหนึ่ง ใจส่งออกนอก พอใจส่งออกนอก สิ่งที่เกิดขึ้นข้างในก็เลยไม่รับรู้ มันก็ธรรมดาใจไปรับรู้สิ่งนอกตัว การที่จะมารับรู้ความคิดและอารมณ์ที่มันเกิดขึ้นในใจ มันก็ยาก แต่ว่าเพราะการไม่รับรู้ความคิดและอารมณ์เหล่านั้น ที่เปิดช่องให้ความคิดลบอารมณ์ร้ายเข้ามาเล่นงานจิตใจเราได้
แต่ว่ามันก็ไม่ใช่เรื่องที่เกินวิสัยถ้าหากว่าใจจะกลับมารับรู้ความคิดลบอารมณ์ร้ายที่มันเกิดขึ้น แล้วก็ไม่เปิดช่องให้มันมาเล่นงานจิตใจ ขอเพียงแต่ว่าไม่มัวแต่ไปรับรู้สิ่งภายนอกหรือว่าส่งจิตออกนอกจนลืมตัว กลับมารู้ทันความคิดเห็นอารมณ์ที่เกิดขึ้น
อันนี้มันทำได้ถ้าหากว่าเราฝึก แต่ถ้าไม่ฝึกเลย มันก็ยากที่จะเห็น เพราะขนาดสิ่งที่ปรากฏเป็นรูปธรรมชัดเจนอยู่ต่อหน้าต่อตา ยังไม่เห็นเลย แล้วสิ่งที่เป็นนามธรรม ใจจะรับรู้ได้อย่างไร อันนี้ก็เป็นสิ่งย้ำเตือนข้อจำกัดของเรา ไม่ว่าตาหูจมูกลิ้นกายใจ
เมื่อเรารู้ข้อจำกัดแล้ว เราก็พยายามขยายสมรรถนะของมัน ด้วยการเริ่มต้นที่ใจ เปิดใจให้กว้าง อย่างน้อยก็รู้ว่า สิ่งที่เรามอง หรือสิ่งที่เราเห็น มันอาจจะไม่ใช่ความจริง เพราะความจริงอาจจะมากกว่านั้นหรืออาจจะน้อยกว่านั้นก็ได้
เช่นเดียวกัน สิ่งที่เกิดขึ้นในใจ ถ้าหากเรารับรู้ รู้ทัน เราก็จะเห็นมันตามที่เป็นจริง การมองเห็นสิ่งต่างๆตามความเป็นจริง เป็นเรื่องที่ไม่ใช่หญ้าปากคอก มันเป็นเรื่องที่ยากทีเดียว ขนาดความเป็นจริงที่อยู่เบื้องหน้าเรา เรายังไม่สามารถจะเห็นได้อย่างชัดเจนถี่ถ้วน แล้วความเป็นจริงของอารมณ์ ความคิด หรือจิตใจ เราจะเห็นได้อย่างถ้วนทั่วหรือเห็นตามความเป็นจริงได้อย่างไร
แต่ถ้าเราไม่เห็นสิ่งเหล่านั้นตามความเป็นจริง การที่จะออกจากทุกข์ก็เป็นเรื่องยาก ต่อเมื่อเราเห็นกายและใจ รูปและนามตามความเป็นจริง การออกจากทุกข์ หรือการเป็นอิสระจากความทุกข์ จึงจะเป็นไปได้
- พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมเย็นวันที่ 18 สิงหาคม 2564