แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
วันนี้นอกจากเป็นวันแม่แล้ว ยังเป็นวันคล้ายวันเกิดของหลวงพ่อคำเขียน ถ้าหลวงพ่อคําเขียนยังมีชีวิตอยู่วันนี้ก็อายุครบ 85 ปีพอดี
จะว่าไปหลวงพ่อก็ได้ทำประโยชน์มากมายตลอดช่วงเวลาที่ท่านมีชีวิตอยู่ โดยเฉพาะนับตั้งแต่ท่านได้บวชปฏิบัติกับหลวงพ่อเทียน จนได้เข้าถึงธรรม เมื่อท่านจากไป ท่านก็ทิ้งมรดกไว้มากมาย มรดกที่ว่านี้ก็ไม่ใช่เป็นทรัพย์สินข้าวของอะไร แต่เป็นมรดกธรรม
มรดกธรรมมากมาย เช่น การเป็นแบบอย่างแห่งคุณงามความดี แห่งการดำเนินชีวิต รวมทั้งคำสอนซึ่งมีทั้งหนังสือมากมายหลายเล่ม CD คำบรรยาย ทั้งที่เป็นเสียง เป็นภาพ และมรดกทางปัญญาอีกอย่างหนึ่งก็คือ วัดป่าสุคะโต ที่จริงหลวงพ่อไม่ได้เป็นผู้ก่อตั้งวัดนี้ ผู้ที่ก่อตั้งคือหลวงพ่อบุญธรรม ส่วนหลวงพ่อคำเขียนมารับช่วงต่อ
แล้วท่านก็ได้ดูแลรักษารวมทั้งฟื้นฟูป่าที่อยู่ในพื้นที่ของวัด จนกระทั่งยังคงสภาพป่าที่ร่มรื่นจนถึงทุกวันนี้ รอบๆนี้ก็กลายเป็นไร่ กลายเป็นสวน หรือกลายเป็นบ้านเรือนผู้คนเต็มไปหมด แต่พื้นที่ 500 ไร่นี้ก็ยังมีต้นไม้ปกคลุมหนาแน่นเกือบเต็มพื้นที่ หลวงพ่อท่านก็ดูแลเป็นหลักเป็นประธานของที่นี่มา 40 ปีจนกระทั่งมรณภาพไปเมื่อ 7 ปีที่แล้ว
ตอนที่ท่านมาปักหลักที่สุคะโต ตอนนั้นหลวงพ่อเทียนไม่ค่อยเห็นด้วย ก่อนหน้านั้นท่านไปช่วยงานหลวงพ่อเทียนในการแสดงธรรมสอนธรรมแก่ญาติโยม หลวงพ่อเทียนเน้นหนักการสอนธรรมแก่ผู้คนในเมือง วัดที่ท่านไปอยู่หรือว่าปักหลักก็ล้วนแต่เป็นวัดที่อยู่ใกล้เมือง เช่น วัดโมก วัดสนามใน
เพราะเห็นคนในเมืองเริ่มสนใจธรรมะ และก็ได้อาศัยลูกศิษย์อย่างหลวงพ่อคำเขียนมาช่วยสอน ก็เรียกว่ามีงานตลอดทั้งปีเลยก็ว่าได้ แต่หลวงพ่อคำเขียน ท่านเห็นว่าป่ามีความสำคัญสำหรับการส่งเสริมและการเผยแผ่ปฏิบัติธรรม ท่านก็เลยปลีกเวลามาอยู่ที่วัดป่าสุคะโตแล้วก็บุกเบิก
การสอนธรรม ช่วยหลวงพ่อเทียนก็ยังทำอยู่ ตามเมืองใหญ่ๆ กรุงเทพ ขอนแก่น เมืองจันท์ หาดใหญ่ แต่ว่าว่างเมื่อไหร่หลวงพ่อคำเขียนก็มาที่สุคะโต
วัดป่าสุคะโตใหม่ๆก็มีพระน้อย ยังไม่ต้องพูดถึงโยมแทบไม่มีเลย พระก็มีแค่รูปสองรูป หลวงพ่อคำเขียนคงเห็นว่าป่าหรือธรรมชาติเป็นสิ่งสำคัญ ส่งเสริมการปฏิบัติธรรมได้ ท่านเคยพูดว่าการเจริญสติปัฏฐาน 4 ก็คือการคืนสู่ธรรมชาติ ธรรมชาติของกายและใจ เมื่อเราเจริญสติ เราก็ได้เห็นธรรมชาติของกายและใจเห็นรูปเห็นนาม เห็นความไม่เที่ยง เห็นความไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน หรือว่าอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
และท่านก็บอกว่า คนเราถ้าหากว่าได้เห็นว่าแท้จริงตัวเองก็เป็นธรรมชาติ เห็นชีวิตของตนคือธรรมชาติอย่างหนึ่ง ก็จะหลุดพ้นจากทุกสิ่งทุกอย่างรวมทั้งความทุกข์ด้วย ท่านไม่ได้เห็นแค่นั้น ท่านยังเห็นว่าธรรมชาติที่เป็นป่าเป็นเขา มันก็มีความสำคัญเพราะสามารถจะช่วยส่งเสริมให้คนที่ปฏิบัติธรรมเจริญสติได้คืนสู่ธรรมชาติ เห็นธรรมชาติของกายและใจได้ง่ายขึ้น
ท่านก็เลยคิดว่าควรจะมีพื้นที่ที่เป็นป่าเป็นธรรมชาติที่สงบสงัด ให้คนได้มาค้นพบธรรมชาติของกายและใจ อันนี้ก็เลยเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ท่านมาปักหลักที่สุคะโต อีกส่วนหนึ่ง ท่านมีความผูกพันกับธรรมชาติอยู่แล้ว ผูกพันในที่นี้หมายถึงเห็นคุณค่าของธรรมชาติ และก็มีความรักในธรรมชาติจะเรียกว่าเป็นความชอบส่วนตัวก็ได้
ท่านก็อาจจะคงเห็นว่า ต่อไปคนในเมืองก็อาจจะยอมดั้นด้นขึ้นมาบนเขา มาปฏิบัติธรรมถึงที่นี่ก็ได้ แม้ว่าการเดินทางจะลำบาก แต่ต่อไปคนแบบนี้ก็จะมีมากขึ้น เพราะฉะนั้นแม้สุคะโตจะอยู่ไกลเมือง แต่ว่าถ้าหากว่ารักษาให้ดี มันก็จะเป็นที่ๆผู้คนได้มาไม่เพียงมาพักพิง หนีร้อนมาพึ่งเย็น แต่ว่าได้มาปฏิบัติเพื่อที่จะได้เห็นธรรมชาติของกายและใจ
และสิ่งที่ท่านได้ทำเอาไว้ บุกเบิกเอาไว้เรียกว่าไม่ได้สูญเปล่า เพราะว่าตอนหลังๆโดยเฉพาะช่วง 30 ปีหลังมานี้ คนก็พากันมาที่วัดป่าสุคะโตกันมากขึ้น มาเพื่อค้นพบธรรมชาติของกายและใจ จนกระทั่งรู้ว่ามันไม่มีตัวกู มันไม่มีตัวเรา ทั้งเนื้อทั้งตัวมีแต่กายและใจ และรูปกับนามก็ไม่เที่ยง ก็เป็นทุกข์ มันก็ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน แล้วก็ไม่ใช่เราไม่ใช่ของเรา
ซึ่งการค้นพบธรรมชาตินี้แหละ ที่จะทำให้คนเราเป็นอิสระจากความทุกข์ และความยึดติดเกาะเกี่ยวในสิ่งทั้งปวง ซึ่งเป็นที่มาแห่งทุกข์ ในยามที่มันผันผวนแปรปรวนไป
ที่จริงธรรมชาติภายนอกกับธรรมชาติภายใน มันเกี่ยวพันใกล้ชิดกันมาก ธรรมชาติภายนอกไม่เพียงแต่ช่วยทำให้เราเห็นธรรมชาติภายใน ธรรมชาติของกายและใจเท่านั้น ธรรมชาติภายนอกก็ยังสามารถจะเป็นบ่อเกิดแห่งธรรมะ หรือสัจธรรม ที่ช่วยเปิดใจเราให้เป็นอิสระในใจได้
หลวงพ่อคำเขียน บอกว่าในธรรมชาติก็มีธรรมะ และธรรมะก็คือตัวธรรมชาตินั้นเอง อย่างที่ท่านเขียนท่านพูดเอาไว้ว่าธรรมะก็คือตัวธรรมชาตินั้นเอง ไม่ได้นอกเหนือจากธรรมชาติที่ไหน เราอาจจะบรรลุธรรมได้จากการสังเกตธรรมชาติ อย่างข้อความนี้ มันชี้ให้เห็นเลยว่าธรรมะกับธรรมชาติเป็นเรื่องเดียวกัน ไม่เพียงแต่การที่เรารู้จักธรรมชาติภายในคือธรรมชาติของกายและใจ ที่ทำให้เราเข้าถึงธรรม
ธรรมชาติภายนอกก็เหมือนกัน ถ้าหากว่าจิตใจเราพร้อม มีสติมีความรู้สึกตัวก็สามารถที่จะเห็นธรรมหรือเข้าถึงธรรมจากธรรมชาติได้ อันนี้เป็นเหตุผลที่ทำให้หลวงพ่อคำเขียนทุ่มเทการรักษาธรรมชาติมากควบคู่ไปกับการสอนกรรมฐาน
ท่านเคยกล่าวไว้ว่า ชีวิตของท่านที่เหลืออยู่ ครึ่งหนึ่งเจียดไว้ให้กับป่า อีกครึ่งหนึ่งเจียดไว้ให้กับคน เจียดไว้กับป่าคือการอนุรักษ์ป่า ฟื้นฟูป่า แต่สองอย่างนี้ ไม่ได้ขัดแย้งกันหรือว่าเป็นคนละเรื่องกัน ดูแลป่าก็ช่วยเป็นการส่งเสริมธรรมให้กับคน เป็นการส่งเสริมปฏิบัติธรรมของผู้ใฝ่ธรรม
ที่จริงจนถึงมาวันนี้ ทุกปีเราจะมีการปลูกป่า แต่ปีนี้เราจำเป็นต้องงด เพราะว่าสถานการณ์ covid ไม่น่าไว้วางใจ ถ้าหากว่าเหตุการณ์บรรเทาเบาบางลง ปีหน้าเราก็คงได้มาปลูกป่าเพื่อบูชาคุณหลวงพ่อ
แต่ว่าถึงแม้ว่าเราจะไม่ได้ปลูกป่าเนื่องในวันเกิดของหลวงพ่อคำเขียน และมีการปฏิบัติธรรมเนื่องในวันคล้ายวันมรณภาพของหลวงพ่อ ซึ่งก็จะทำทุกปี เริ่มตั้งแต่ปี 2557 แต่ปีก่อนๆ เราทำที่สวนโมกข์กับจัดงานที่สุคะโต ปีนี้เราไม่ได้จัดงานทั้ง 2 ที่แต่เราจะใช้วิธีระบบซูมมาแทน ก็คือ อยู่ที่บ้านก็ร่วมงานบูชาคุณหลวงพ่อได้เพราะว่าจะมีการถ่ายทอดการบรรยายธรรมช่วง 19-23 สิงหานี้ ทั้งที่สุคะโตและที่อื่น
อันนี้ก็จะเชิญชวนพร้อมๆกันร่วมกันมาปฏิบัติธรรมบูชาคุณหลวงพ่อคำเขียน ด้วยการใช้โทรศัพท์มือถือ หรือคอมพิวเตอร์ระดับฟังธรรมะร่วมปฏิบัติธรรมที่บ้านช่วงวันที่ 19-23 นี้ รายละเอียดหาได้จากเพจของวัดป่าสุคะโต และจากวัดอีกหลายวัด
- พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมก่อนฉันเช้าวันที่ 12 สิงหาคม 2564