แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
เมื่อวานได้พูดเรื่องการส่งจิตออกนอก เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญที่เราควรจะตระหนัก เพราะว่าความทุกข์ทั้งมวลที่เกิดขึ้นกับพวกเราหรือว่าทุกคนก็ว่าได้ โดยเฉพาะความทุกข์ใจ ล้วนแต่มีที่มาจากการส่งจิตออกนอก ปัญหาหรือความทุกข์ของมนุษย์ ล้วนแล้วแต่เกี่ยวข้องมาจากการส่งจิตออกนอก
อย่างที่พูดไปแล้วเมื่อวาน ส่งจิตออกนอก ความหมายหนึ่งคือส่งจิตออกนอกตัวจนลืมกายลืมใจ หรือว่าส่งจิตออกนอกตัว ออกนอกปัจจุบัน ไปจมอยู่กับอดีตหรือพะวงอยู่กับอนาคต หรือแม้กระทั่งการจมเข้าไปอยู่ในความคิด เพราะว่าหลุดเข้าไปในความคิดแล้วก็ลืม ลืมว่ากำลังทำอะไรอยู่ในปัจจุบัน ไม่ว่ากินข้าวหรือว่าฟังธรรม สวดมนต์ อาบน้ำ หรือทำงาน อ่านหนังสือ
สิ่งที่ทำในปัจจุบันลืมไปเลย เพราะว่าไปอยู่กับอดีตหรือไม่ก็อนาคต หรือแม้แต่ หลุดเข้าไปในความคิด แล้วที่จริง การที่ไหลไปในอดีต ลอยไปในอนาคต ที่จริงก็คือ หลง หลุดเข้าไปในความคิด อดีตก็คือความคิดเกี่ยวกับเรื่องราวที่ผ่านมา อนาคตก็คือสิ่งที่ปรุงแต่งเกี่ยวกับอนาคตที่ยังมาไม่ถึง หรือจะพูดรวมๆว่าส่งจิตออกนอกคือออกนอกความมีสติ หรือความรู้สึกตัว
เมื่อใดที่รับรู้อะไรก็ตาม แล้วขาดสติ ไม่มีความรู้สึกตัว อันนี้ก็เรียกว่าส่งจิตออกนอก แต่ว่า ถ้าเกิดรับรู้สิ่งภายนอก ไม่ว่าด้วยตาด้วยหู แต่ว่ายังมีสติ ไม่ลืมกายไม่ลืมใจ ก็ไม่ถือว่าส่งจิตออกนอก โดยเฉพาะถ้าหากว่ามารู้ว่าส่งจิตออกนอกแล้วรู้จักใคร่ครวญ เกิดปัญญา หรือได้คติธรรม อันนี้ก็เรียกว่าเป็นสิ่งที่สมควรทำ
ส่งจิตออกนอก ก่อปัญหาหลายอย่าง อย่างไร เมื่อเราส่งจิตออกนอกจนลืมกาย ลืมว่ากำลังทำอะไรอยู่ มันก็อาจจะมีปัญหาตามมา เช่น กำลังเดินอยู่ เห็นคนกำลังมุงอยู่ข้างหน้า เขากำลังมุงอะไรกัน ตาก็จ้องไปที่ภาพข้างหน้าที่คนกำลังมุง ตอนนั้นหากว่าลืมกายไม่รู้ว่ากำลังเดินอยู่ ก็อาจจะเดินสะดุดหกล้ม หรือว่ากำลังข้ามถนนอยู่ เห็นหญิงสาวนุ่งน้อยห่มน้อย ตาไปจับจดที่ตรงนั้น ลืมไปว่ากำลังข้ามถนน รถชนเจ็บป่วยพิการไป อันนี้เรียกว่าส่งจิตออกนอกจนลืมกายใจ
ส่งจิตออกนอกแล้วลืมใจก็เหมือนกัน กำลังฟังธรรมหรือกำลังนั่งสมาธิ มีเสียงโทรศัพท์ดังจากเครื่องของใครไม่รู้ ใจก็ไปจับที่เสียงนั้น เกิดความไม่พอใจ ความหงุดหงิดขึ้นมา แต่ก็ไม่รู้ตัวว่ากำลังหงุดหงิด ก็อาจจะเกิดโทสะอดรนทนไม่ได้ถึงกับตะโกนด่าเจ้าของโทรศัพท์เครื่องนั้นก็ได้ ทั้งๆที่อยู่วัดทั้งๆ ที่กำลังฟังธรรม กำลังนั่งสมาธิ อันนี้เป็นเพราะว่าลืมใจ ไม่รู้ว่ามีความหงุดหงิดเกิดขึ้นในจิตใจ แล้วก็ปล่อยให้มันครอบงำ จนกระทั่งกำกับการกระทำและคำพูดของเราบงการให้ด่าต่อว่าก็เกิดความเสียหายขึ้นมา อันนี้เรียกว่าส่งจิตออกนอกแล้ว
พอทำอย่างนี้บ่อยๆ เวลาเกิดอะไรขึ้น ตากระทบรูป หูได้ยินเสียง ก็มัวแต่ไปสนใจสิ่งที่อยู่ข้างหน้า อาจจะเป็นใครบางคนที่ทำไม่ถูกใจ หรือว่ามีเสียงที่ไม่พึงปรารถนามากระทบหู เกิดความโกรธขึ้นมา ไม่รู้เนื้อรู้ตัว ไม่รู้ใจว่ากำลังมีอารมณ์อย่างนั้นเกิดขึ้น ก็ปล่อยให้มันครอบงำเผารนจิตใจ ความทุกข์ของผู้คนโดยเฉพาะความทุกข์ใจก็เพราะอย่างนี้แหละ การส่งจิตออกนอก
แล้วไม่ว่าทำอะไรก็ตาม ทำไม่สำเร็จ ส่วนหนึ่งก็เพราะว่าเกิดจากการที่ใจไม่ได้อยู่กับปัจจุบัน แล้วส่งใจออกนอก นักเรียนอ่านหนังสือไม่ได้หรือไม่สนใจเรียนเลยเพราะว่าใจไปจดจ่อจับจ้องอยู่กับเกมวิดีโอเกมหรือว่าเที่ยว ไม่สามารถที่จะมีสมาธิอยู่กับการอ่านหนังสือ
ผู้ใหญ่ก็เช่นกัน เป็นเพราะปล่อยจิตไปจมอยู่กับเรื่องนอกตัว หรือว่าสิ่งที่เป็นอดีต หรืออนาคต จนลืมปัจจุบัน ก็ไม่สามารถที่จะทำงานได้ จะทำรายงานจะทำวิทยานิพนธ์ก็ทำไม่เสร็จสักทีเพราะว่าใจมันเผลอหลุดลอยไปข้างนอก นอกตัวหรือปัจจุบันก็แล้วแต่ สุดท้ายก็ขาดสติ ไม่มีสมาธิ แล้วพอส่งจิตออกนอก มีปัญหาอะไรก็มักจะโทษสิ่งภายนอก ไม่ค่อยได้กลับมามองตน กลับมาดูตัวเองเท่าไหร่
หลวงพ่อชาท่านพูดไว้ว่า เวลาคนเราเอามือล้วงเข้าไปที่ก้นหลุม เวลาล้วงไม่ถึง ร้อยทั้งร้อยก็จะบอกว่าเป็นเพราะหลุม แทนที่จะบอกว่าแขนเราสั้น อันนี้ก็เป็นเพราะว่าส่งจิตออกนอก เพราะอะไร ที่ทำอะไรไม่สำเร็จหรือมีปัญหาหรือเกิดความทุกข์ขึ้นมาก็จะไปโทษสิ่งภายนอก
เวลามีความทุกข์เมื่อได้ยินเสียงดังก็ไปโทษที่ต้นเสียง เช่น หมาเห่า เสียงโทรศัพท์ เสียงคนคุย แต่ไม่ได้กลับมาที่ดูใจของตัว เป็นเพราะปล่อยให้ความหงุดหงิด ความโกรธเข้ามาเล่นงาน เวลารถติด ใจก็ไปโทษรถคันนั้นคันนี้ หรือว่ารถทั้งหลายทั้งมวลที่ออกันจนแน่นถนน แล้วก็โทษว่าเป็นเพราะรถติดที่ทำให้จิตเราตก แต่ไม่ได้กลับมาดูใจของตัวเลยว่า ปล่อยให้ความหงุดหงิดมันมาเล่นงานจิตใจได้อย่างไร
เวลามีใครมาต่อว่าด่าทอ ก็โทษว่าที่เราทุกข์เพราะเขา แต่ไม่ได้มองว่า ใจเราไปจดจ้อง หรือยึดติดเก็บเอาคำพูดของเขามาทิ่มแทงตัวเองซ้ำแล้วซ้ำ แล้วไปโทษเป็นเพราะว่าคำพูดของเขา แต่เพราะใจที่ไม่รู้จักปล่อยไม่รู้จักวาง ถ้าส่งจิตออกนอกแล้วกลับมาดูใจ ก็จะเห็นว่าเป็นเพราะว่าใจเราแท้ๆเลยที่ปล่อยให้ความโกรธ ความหงุดหงิด ความเศร้าความโศกมาเล่นงานจิตใจ รวมทั้งใจที่ไปแบกไปยึดเอาการกระทำ คำพูดของคนนั้นมาทิ่มแทงจิตใจตัวเอง
มันไม่ใช่แค่ความทุกข์ การผิดศีล หรือว่าความชั่วที่ผู้คนกระทำ จะว่าไปแล้วก็เพราะมาจากการที่ส่งจิตออกนอกทั้งนั้นแหละ ไปเห็นของ อยากได้ ไม่รู้ทันความอยากหรือตัณหาที่ก่อตัวขึ้นมาในใจ หรือว่าเห็นใครบางคนแล้วเกิดความไม่พอใจ ก็ไม่รู้ทันความโกรธที่มันก่อตัวขึ้นมาในใจ ก็ปล่อยให้ความโลภ ความโกรธ หรือกิเลส มาครอบงำกำกับจิตใจของตัว จนกระทั่งไปลักขโมย คดโกง คอรัปชั่นหรือว่าทำร้ายเขา
คนเราถ้าไม่ส่งจิตออกนอกจนลืมตัว การที่จะทำผิดศีลหรือว่าทำชั่ว มันก็เป็นไปไม่ได้ เพราะว่ามันจะไม่เปิดโอกาสให้โลภะ โทสะเข้ามาบงการจิตใจเราได้เลย การที่กิเลสทำอย่างนั้นได้ ก็เพราะว่าใจส่งออกนอกจนขาดสติ แล้วก็ไม่รู้สึกตัว ไม่รู้เนื้อรู้ตัว ถ้ามีสติ ความรู้สึกตัวเมื่อไหร่ มันก็ทำชั่วผิดศีลไม่ได้
เพราะฉะนั้นจึงบอกว่า เรื่องการส่งจิตออกนอก เป็นเรื่องสำคัญมากทีเดียวที่คนส่วนใหญ่มองข้าม ทำอย่างไร จึงจะไม่ส่งจิตออกนอก สำหรับปุถุชนนั้นยาก เพราะว่ามันก็เป็นธรรมดาที่เราจะเผลอ เราจะขาดสติ ปล่อยใจลอย ฝันกลางวัน หรือว่าไปจดจ่อจดจ้องอยู่กับสิ่งที่มันทำให้เกิดความไม่สบายกายไม่สบายใจ
แต่ว่าสิ่งที่เราทำได้คือว่า เมื่อมันเผลอส่งไปข้างนอกแล้ว ให้รีบกลับมาไวๆ ไม่ปล่อยให้ใจหลงลอยอยู่กับสิ่งนอกตัว หรือนอกปัจจุบัน
อะไรที่จะทำให้จิตที่มันส่งออกนอกไปแล้ว กลับมา นั่นก็คือสติ เมื่อลืมกายลืมใจแล้ว หรือว่าลืมปัจจุบันแล้ว มันกลับมาระลึกได้ว่ากำลังทำอะไรอยู่ อันนี้คืองานของสติ สติทำให้ระลึกได้ในปัจจุบัน ใจมันเผลอไปแล้ว ลอยไปแล้ว ออกจากปัจจุบันไปแล้ว สติเท่านั้นที่จะช่วยกลับมาระลึกรู้ว่าทำอะไรอยู่ในปัจจุบัน มันก็ทำให้จิตกลับมาอยู่ับปัจจุบัน ในทำนองเดียวกัน พอจิตส่งออกนอกไปแล้วจนลืมกายลืมใจหรือลืมตัว เมื่อมีความรู้สึกตัวเกิดขึ้น มันก็กลับมา
ความรู้สึกตัวก็ดี สติก็ดี เป็นพี่น้องกัน มันทำงานช่วยกัน มีสติเมื่อไหร่มันก็หยุดส่งจิตออกนอก กลับมาอยู่กับปัจจุบัน มีความรู้สึกตัวเมื่อไร มันก็หยุดส่งจิตออกนอกจนลืมตัว กลับมารู้เนื่อรู้ตัว การที่ไม่ให้จิตไหลลอยไปข้างนอก มันเป็นไปไม่ได้ แต่สิ่งที่เราทำได้ก็คือพอมันออกนอกตัว หรือออกนอกปัจจุบันแล้ว มีความรู้สึกตัวเกิดขึ้น มีสติเกิดขึ้น จิตก็กลับมาอยู่กับปัจจุบัน กับมาอยู่กับเนื้อกับตัว
แต่บางคนไม่เข้าใจ พยายามไปห้ามไปบังคับจิตไม่ให้ส่งออกนอก ทำอย่างไร ก็ไปบังคับจิตเพ่งอยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เช่น ลมหายใจบ้าง อยู่กับเท้าขณะเดินจงกรมบ้าง อยู่กับมือที่กำลังเคลื่อนไปมาบ้าง ทำแบบนั้นไม่ใช่เป็นวิธีการที่ถูก เพราะว่ามันห้ามไม่ให้จิตออกนอก ทำได้ยาก เหมือนกับคนที่พยายามห้ามจิตไม่ให้คิด มันทำไม่ได้หรอก แม้จะรู้ว่าการส่งจิตออกนอก มันไม่ดี แต่ไปบังคับมันไม่ให้หลุดไปข้างนอกนั้นยาก ทำไม่ได้
ในการฝึกจิตให้มีสติ มีความรู้สึกตัว เราต้องยอมให้จิตมันเผลอ หลุดลอยไปข้างนอกบ้าง เพราะว่าเราไม่สามารถบังคับได้ แต่ว่าเมื่อมันส่งออกนอกแล้ว เราก็ส่งเสริมให้สติพามันกลับมา มันคล้ายๆกับเราเลี้ยงหมา หมาที่น่ารักเราก็อยากจะให้เขาอยู่บ้าน แต่เขาก็ชอบออกไปข้างนอก เราจะทำอย่างไร บางคนก็ใช้วิธีการมัดมันเอาไว้ ล่ามโซ่มัน หรือขังมัน วิธีนี้มันได้ผลชั่วคราว เชือกขาดหรือว่าโซ่หลุด หรือปล่อยออกจากกรงเมื่อไหร่มันก็ออกไปข้างนอกทันที แล้วก็จะไม่ยอมกลับมาเลย
แต่ถ้าหากว่าเราลองให้อิสระกับมัน มันจะอยู่ มันจะไปก็ได้ แต่ถ้ามันไปเมื่อไหร่ เราก็ไปเรียกมันกลับมา ใหม่ๆมันก็ไม่ค่อยกลับหรอก แถมยิ่งไปไกลเสียอีก เราก็ต้องตามไป ไปเรียกมันกลับมา ใหม่ๆมันก็อิดออด แต่ตอนหลังมันก็กลับมาได้เร็วขึ้นๆ
ใจของเราก็เหมือนกัน ไม่อยากให้มันออกไปเพ่นพ่านข้างนอก เราจะไปบังคับด้วยการเพ่ง หรือว่าด้วยการมัดมันเอาไว้กับลมหายใจ กับคำบริกรรม หรือว่ากับอวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่ง มันได้ผลชั่วคราว แต่จะดีกว่าถ้าเราปล่อยให้เป็นอิสระ ถ้ามันออกไปข้างนอก ก็ไปตามมัน แต่ว่าเราไม่ใช่ไปตามมัน ให้สติไปตามมันกลับมา
สติ ทีแรกก็ไปช้า มันงุ่มง่ามเหมือนกัน แต่เราก็ต้องให้โอกาสเขาได้ทำงานได้แสดงฝีมือ อย่างที่พูดไว้ เราต้องไว้ใจสติ ให้สติทำงาน เขาจะทำงานได้ไวขึ้น เหมือนกับหนู ปล่อยให้ไปหาเนย หรืออาหารที่เราซ่อนเอาไว้ ใหม่ๆมันก็ใช้เวลานานกว่าจะหาเจอ แต่พอมันทำบ่อยๆ มันก็จะหาได้ไวขึ้น ขนาดหนูยังพัฒนาความสามารถในการหาอาหารที่ถูกซุกซ่อนเอาไว้ได้
สติจะทำไม่ได้เชียวหรือ ถ้าให้โอกาสสติ เขาก็จะใช้เวลาในการตามหาใจที่หลุดลอยได้เร็วขึ้นๆ แล้วก็พาใจกลับมาอยู่กับเนื้อกับตัว กลับมาอยู่กับปัจจุบันได้ไวขึ้นๆ เพราะฉะนั้นในการฝึกจิตไม่ให้ส่งจิตออกนอก เราไม่ได้ไม่ให้ออกนอกไปเลย มันไปได้ แต่จะพามันกลับมาไวๆ อาศัยสตินี่แหละพากลับมา พากลับมาอยู่กับเนื้อกับตัว มาอยู่กับปัจจุบัน
หรือพูดอีกอย่างหนึ่งคือ ให้เกิดความรู้สึกตัวได้ไวขึ้นๆ แต่ก่อนไม่รู้จักความรู้สึกตัว ก็เลยไม่รู้ว่าความหลงเป็นยังไง ก็เหมือนกับความมืด ก็ไม่รู้จักความมืดหรอก ต่อเมื่อเขาเห็นแสงสว่างหรือความสว่าง เขาก็จะรู้ว่าความมืดเป็นอย่างนี้แหละ คนเราถ้าได้สัมผัสกับความรู้สึกตัวบ่อยๆก็จะได้รู้ว่าความหลงเป็นอย่างนี้เอง แต่ก่อนอยู่กับความหลงมาช้านาน ไม่รู้จัก จนมารู้จักความรู้สึกตัว ถึงจะมารู้ว่าความหลงเป็นอย่างนี้
พอหลงไปเพราะว่าส่งจิตออกนอกแล้ว มันก็จะรู้ตัวได้ไว ว่านี่หลงไป แล้วทันใดนั้นเองความรู้สึกตัวก็จะมา เกิดความรู้สึกตัวขึ้นมา อันนี้เป็นวิธีที่จะช่วยทำให้จิตไม่เถลไถลออกไปข้างนอกได้นาน มันจะกลับมาได้ไว ถ้าเราทำอย่างนี้บ่อยๆ แม้มันจะส่งจิตออกนอกอยู่เรื่อย แต่มันก็จะไปได้ไม่นาน
อย่างไรก็ตามการส่งจิตออกนอกแม้มันจะไม่ดี แต่บางครั้งมันก็อาจจะมีประโยชน์ถ้าหากว่าเรารู้จักใช้มันให้เป็น มีคนจำนวนไม่น้อยเวลาพยายามเพ่งพยายามบังคับจิตไม่ให้ส่งออกนอก พอทำไปนานๆมันเกิดอาการที่ไม่คาดคิด เพราะความสุดโต่ง ไม่อยากให้จิตส่งออกนอก ก็เลยไปบังคับจิต พอบังคับมากๆจิตก็เพี้ยน
หลวงพ่อคําเขียนเคยเล่าว่า มีช่วงหนึ่งไปสอนธรรมะที่วัดโมกข์ มีวันหนึ่งท่านสังเกตว่า โยมผู้ชายคนหนึ่งไม่มาทำวัตรไม่มาฟังธรรม ถึงเวลากินอาหารก็ไม่มา ท่านแปลกใจ แล้วเอะใจว่ามีอะไรผิดปกติ ไปที่กุฏิของเขา เรียกชื่อเขา เขาก็ตะโกนเรียกหลวงพ่อช่วยด้วยๆ แล้วเขาก็บอกต่อว่าตื่นตั้งแต่ตี 3 แล้วก็มาสร้างจังหวะ ปรากฏว่าจู่ๆมือที่ยกสร้างจังหวะมันค้างที่หน้าอก ไปต่อไม่ได้ ทำจนถึงเช้านี้ ขยับไม่ได้ 4-5 ชั่วโมงแล้ว
หลวงพ่อรู้เลยว่า เกิดจากอะไร ท่านก็เลยชวนคุยว่า มีลูกกี่คน มีหลานกี่คน ลูกอยู่ไหน หลานอยู่ไหน คุยเรื่องครอบครัวลูก หลาน เรื่องทำมาหากิน บางทีท่านก็แย้งบ้าง บางทีก็พูดให้กำลังใจ เขาก็แย้ง เขาก็ตอบ คุยอยู่สักพัก อยู่ๆมือเขาก็ตกเลย เขายังไม่รู้เลย จนกระทั่งหลวงพ่อบอกว่ามือตกแล้วนะ เขาดีใจมากเลยที่กลับมาเป็นปกติ
อาการเขาเกิดจากอะไร เกิดจากการเพ่ง ไม่อยากให้จิตส่งออกนอก ก็เลยบังคับจิตให้มาอยู่กับมือ พอทำไปมากๆ นานๆเข้า มันเพี้ยนเลย สิ่งที่หลวงพ่อทำคือ พยายามดึงจิตของเขาออกไปข้างนอก รชวนคุยเพื่อให้จิตออกไปข้างนอก ไม่ให้เพ่งเข้าใน เพราะตอนนั้นจิตดิ่งเข้าไปเรียกว่าเพ่งเข้าใน ก็ต้องแงะมันออก โดยชวนคุยเรื่องครอบครัว ลูกหลาน ชวนให้จิตออกไปข้างนอก มันจะได้หยุดเพ่ง กายจะได้เป็นปกติ
เพราะฉะนั้น บางครั้งการดึงจิตออกไปข้างนอก ก็มีประโยชน์ โดยเฉพาะกับคนที่ติดเพ่งมากๆ เพราะเพ่งมากๆมันเพี้ยนได้ ก็ต้องหาทางออกมา บางทีก็ต้องใช้เวลานาน จิตที่เพ่งจะมีอาการประหลาดๆอยู่เยอะ บางทีต้องใช้เวลาเป็นเดือนเป็นปีจึงจะหาย
วิธีการก็คือดึงจิตออกมารับรู้โลกภายนอก เพราะฉะนั้นบางครั้ง การดึงจิตออกมาออกไปรับรู้สิ่งภายนอก มันก็มีประโยชน์เหมือนกัน แต่มันก็ไม่ใช่เป็นการทำให้หลง แต่เป็นการทำให้กลับมามีสติใหม่
- พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมเย็นวันที่ 12 สิงหาคม 2564