แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
วัยรุ่นกับมอเตอร์ไซค์ เป็นของคู่กัน โดยเฉพาะตามหมู่บ้าน สังเกตเวลาวัยรุ่นขี่มอเตอร์ไซค์ไม่เฉพาะแต่ในหมู่บ้านชนบท ในเมืองด้วย ถ้าหากว่าทางสะดวก เขาจะมีความสุข สีหน้าจะมีความสุขที่ได้ขี่มอเตอร์ไซค์ ก็สงสัยว่าที่เขามีความสุขเพราะอะไร อาจจะเป็นเพราะว่า ได้ขับรถกินลม มีลมปะทะหน้าปะทะตัวแล้วเย็นสบาย
แต่ว่าเกือบทุกคัน เสียงมอเตอร์ไซค์ดังมาก สนั่นเลย ขนาดอยู่ไกลๆ ยังรู้สึกว่าเสียงดังมาก จนบางคนรู้สึกหงุดหงิด แล้วยิ่งคนขับด้วยเสียงจะดังขนาดไหน แต่ทำไมเขามีความสุข คงไม่ใช่เป็นเพราะว่ามีลมเย็นมาปะทะ อาจจะเป็นเพราะว่า เสียงดังนั้นแหละที่ทำให้เขามีความสุข ยิ่งดังเท่าไหร่ก็ยิ่งมีความสุข บางทีไปเบิ้ลให้มันดังขึ้นไปอีก ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น
ทำไมเสียงดังของมอเตอร์ไซค์ทำให้วัยรุ่นมีความสุข ก็อาจจะเป็นเพราะว่า เป็นการประกาศให้คนโดยรอบได้รู้ว่า ฉันมาแล้ว มันเป็นสิ่งที่ดึงดูดให้คนมาสนใจ คนขับยิ่งดังเท่าไหร่ คนรอบข้างก็ยิ่งหันมาให้ความสนใจคนขับคนขี่มากเท่านั้น หรือคล้ายๆกับว่าเป็นการประกาศตัวตน ว่ากูมาแล้ว กูอยู่นี่ ซึ่งที่จริงแล้ว มันก็เป็นธรรมดาของมนุษย์ อย่าว่าแต่วัยรุ่นเลย เด็กๆก็เหมือนกัน
สมัยก่อน มีเด็กหลายคนที่เขาทำกัน จะเอากระป๋องนมมาผูกกัน แล้วก็ลากไป วิ่งไปตามตรอกตามซอย เพื่อให้มีเสียงดัง แค่มีเสียงดังเด็กก็มีความสุขแล้ว ก็คงเป็นวิธีการประกาศตัวตนแบบหนึ่งของเด็ก ให้รู้ว่ากูมาแล้ว กูอยู่นี่
ธรรมชาติของคนเราไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่มันก็อยากจะแสดงตัวตนออกมา อยู่ที่ว่าวิธีการจะหยาบหรือประณีต แต่เด็กนั้น เสียงดังทำให้เขามีความสุข นอกจากเป็นการบอกประกาศให้คนในซอยรู้ว่ากูมาแล้ว กูอยู่นี่ เขามีความสุขที่มีอำนาจในการทำให้เกิดเสียงดัง
คงคล้ายๆกับเด็กจำนวนหนึ่ง เวลาพ่อแม่ต่อว่า เด็กจะเถียง แล้วยิ่งพ่อแม่ต่อว่าหนักขึ้น บางทีถึงกับขึ้นเสียงตะโกน หรือแสดงอาการฉุนเฉียว เด็กแทนที่จะยอมแพ้ กลับพูดยั่วยุพ่อแม่หนักขึ้น บางทีพ่อแม่ก็ไม่เข้าใจว่าทำไมลูกของตัวเองเป็นอย่างนี้
มีคนอธิบายว่าเพราะเด็กมีความสุขที่ได้มีอำนาจ สามารถทำให้พ่อแม่ฉุนเฉียวได้ อาจจะเป็นเด็กที่ถูกพ่อแม่กำราบจนกระทั่งทำให้ตนเองรู้สึกด้อย ต้องเป็นเบี้ยล่าง อัตตาตัวตนมันทนไม่ได้ จนต้องประกาศ ต้องการแสดงว่า มีตัวกูอยู่ด้วยนะเว้ย ต้องการแสดงอำนาจ
และวิธีการแสดงอำนาจของเด็ก ก็คือการพูดจายั่วยุหรือแสดงอาการที่ทำให้พ่อแม่โมโหหนักขึ้น เด็กก็พอใจแล้วทั้งที่ถูกพ่อแม่ว่า แต่การที่พ่อแม่โมโหฉุนเฉียวนั่นแหละ มันไปสนองปรนเปรอความรู้สึกในส่วนลึกของเด็ก ก็คือ ฉันมีอำนาจ เป็นการชดเชยที่ถูกกด จนกระทั่งรู้สึกว่าตัวเองไม่มีอำนาจอะไรเลย ก็คงไม่ใช่เด็กทุกคน แต่จำนวนไม่น้อยก็เป็นอย่างนี้
เพราะฉะนั้น การทำอะไรที่มีเสียงดังจากสิ่งรอบข้างนี้ มันทำให้คนบางคนมีความสุข ไม่ใช่เฉพาะเด็ก รวมถึงวัยรุ่นและผู้ใหญ่ด้วยมีความสุข เพราะธรรมชาติของตัวกูหรือตัวตน ต้องการประกาศให้โลกรู้ว่า มีกูอยู่ในโลกนี้ หรือว่ากูอยู่นี่เว้ย หรือมิเช่นนั้นก็ต้องการแสดงอำนาจ ฉันนี่มีอำนาจ สามารถจะทำให้เกิดเสียงดังได้ หรือว่า ลึกๆก็ต้องการอยากมีอำนาจ แล้วพอมีอำนาจขึ้นมา ก็ต้องประกาศให้คนอื่นได้รับรู้
แต่ละคนก็มีวิธีการในการประกาศตัวตนแตกต่างกันไป สุดแท้แต่ว่าตัวกูจะครองจิตครองใจได้แค่ไหน เพราะว่าความปรารถนาของมันก็คือ ต้องการแสดงว่า กูเก่ง กูดี กูแน่ หรือบางทีต้องการประกาศว่า กูมีดี อันนี้ทำให้คนเราอยากอวด หลายคนหรือส่วนใหญ่เลย พอมีดีอะไรสักอย่างก็อยากจะอวดที่มีดี ก็อาจจะเป็นโทรศัพท์มือถือ เป็น iPad หรือถ้าเป็นผู้ใหญ่ ก็เป็นสินค้าราคาแพง แบรนด์เนม จะเป็นกระเป๋าสะพาย กระเป๋าถือยี่ห้อดังๆราคาแพงๆเป็นหมื่นเป็นแสน มีแล้วก็อยากจะอวด ว่าฉันมีดี
แต่คนเราก็มีวิธีการอวดที่แตกต่างกันไป บางคนก็ไม่ได้อวดว่าตนเองมีของดี มีสินค้าราคาแพง แต่จะอวดอย่างอื่น เช่น เวลามีคนชม เวลาประสบความสำเร็จ ได้เกรดสูงๆ หรือว่าได้รางวัลจากการเรียน จากการทำงาน มันอยากจะประกาศให้โลกรู้ คือ อยากจะอวด อวดให้คนรู้ว่าฉันมีสิ่งเหล่านี้ ฉันได้รับรางวัล ฉันได้รับเหรียญทอง ฉันได้รับเกียรตินิยม และเดี๋ยวนี้ประกาศตัวตนได้ง่ายเพราะมันมี Facebook
แต่ก็มีคนบางคน อาจจะมีวิธีการประกาศอีกแบบหนึ่ง คืออวดว่าตัวเองมีดี แต่ว่าเนียนหน่อย เช่น อวดว่า ฉันได้ไปพบครูบาอาจารย์มา ฉันได้ไปเจอคนดัง เพราะฉะนั้นฉันต้องถ่ายรูปเอาไว้ แล้วก็เอาภาพมาอวด เดี๋ยวนี้มันอวดได้ง่ายมาก อวดทาง facebook ได้ไปพบคนดัง ได้ไปกราบครูบาอาจารย์ที่มีชื่อเสียง แล้วเวลาไปไหนเจอคนดัง เจอครูบาอาจารย์ที่คนรู้จัก มีชื่อเสียง ก็อยากจะถ่ายรูปด้วย ถ่ายให้ได้เลย เพื่อจะได้ไปอวดกับเพื่อนๆว่าฉันได้รู้จักคนนั้นคนนี้ที่มีชื่อเสียง หรือว่าฉันเป็นลูกศิษย์อาจารย์คนนั้นคนนี้
แต่บางคนก็อาจจะเนียนกว่านั้น เช่น อวดว่าฉันรู้ธรรมะ ฉันมีภูมิรู้อยากจะพูด อยากจะบอก อยากจะสอน อันนี้ก็มาจากอัตตาที่ต้องการประกาศตัวตน รวมทั้งอวดแม้กระทั่งว่า ฉันไม่มีตัวกู มันมีคนจำนวนไม่น้อย พอศึกษาธรรมะมากๆ พอรู้ว่าการไม่มีตัวกูเป็นอุดมคติ ก็อยากจะประกาศให้โลกรู้ ให้คนรอบข้างรู้ว่า ฉันไม่มีตัวตน แต่ที่จริง แรงผลักดันนั้นมันก็ตัวกูนั่นแหละ อันนี้เป็นธรรมดาของมนุษย์
แต่ว่ามันก็เป็นสิ่งที่เราควรจะสังเกต ความอยากอวด อวดดี อวดดีหมายถึงว่า อวดว่าตัวเองมีอะไรดีบ้าง อวดว่าตัวเองเก่ง ถ้าเราหมั่นสังเกตอยู่เสมอ มันก็จะช่วยทำให้เรารู้ทันอัตตา รู้ทันตัวกิเลสอย่างละเอียด คือมานะ เพราะถ้าเรารู้ทันรู้ทางมัน การที่มันจะมาครอบงำจิตใจ แล้วก็บงการให้เราทำนั่นทำนี่จนเกิดความทุกข์ขึ้นมา
การที่ได้สังเกตจิตใจของตัวเอง เห็นอัตตาเวลาพองโต เมื่อมีคนชมเมื่อมีของดีอยากจะอวด อันนี้เป็นการบ้านที่น่าจะฝึกไว้ ลองสังเกตดู
ถ้าจะไปเอาตอนที่มันมีความทุกข์เพราะว่าถูกกระแทกถูกด่าถูกว่า หรือว่าสูญเสียอะไรบางอย่าง สูญเสียชื่อเสียงสูญเสียหน้าตาอะไรอย่างนี้ บางทีมันดูยาก
แต่ถ้าดูตอนที่อัตตามันพองโต ถ้าเราสังเกตมัน แค่ดูมันเฉยๆ มันก็ยิ่งทำให้เรารู้ทันรู้ทางมัน แล้วก็ไม่ปล่อยให้มันมาครองจิตครองใจ เพราะถ้าปล่อยให้มันมาครองจิตครองใจ อัตตาพองโตมากๆมันเปราะบาง เหมือนกับลูกโป่ง ยิ่งลูกมันโตมากเท่าไหร่ ไปแตะนิดหน่อย มันก็อาจจะระเบิดได้
ธรรมชาติของตัวกูเป็นอย่างนี้ ซึ่งเราต้องรู้ทันมันเอาไว้ แล้วก็ไม่ปล่อยให้มันครองจิตครองใจ หรือว่า ขึ้นขี่คอเราจนกระทั่งบังคับบงการเราให้ทำในสิ่งที่นำมาซึ่งความทุกข์ในภายหลัง อันนี้คือสิ่งที่เราควรหมั่นสังเกตอยู่เรื่อยๆ เห็นบ้างไม่เห็นบ้าง ไม่เป็นไร เห็นแล้วก็หักห้ามใจบ้าง อย่าไปทำตามมัน มันอยากอวดอยากโชว์ อยากแสดง ก็ยับยั้งชั่งใจไว้
ใหม่ๆก็ทุกข์ มันเหมือนกับว่าอกจะแตก แต่ว่าพอทำไปๆ มันจะเย็น มันจะเบาสบาย และเมื่อถึงเวลาที่อัตตามันถูกกระทบถูกกระแทก เราก็รู้ทัน ใจไม่ทุกข์กับมัน ตัวกูจะทุกข์ก็ทุกข์ไป แต่ว่าใจไม่ทุกข์ด้วย เพราะว่าไม่ได้ไปยึดมั่นว่าเป็นเราเป็นของเรา
- พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมก่อนฉันเช้าวันที่ 15 สิงหาคม 2564